
ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ซึ่งในช่วงแรกประเทศไทยถือว่าเป็น “กลุ่มเสี่ยง” เพราะมีผู้เดินทางเข้าออกจากประเทศระบาดหนักอย่างจีนเยอะ แต่ต่อมากลายเป็นประเทศที่ยอดผู้ติดเชื้อไม่สูงมากนัก วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 กระทรวงสาธารณสุขประกาศให้โควิด 19 เป็นโรคติดต่ออันตรายตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ส่งผลให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจออกคำสั่งกักตัวผู้สงสัยว่าติดเชื้อ หรือสั่งปิดสถานที่เสี่ยงได้ ซึ่งแต่ละจังหวัดก็มีมาตรการแตกต่างกันไป บางแห่งถึงขั้น “ปิดเมือง” ห้ามคนนอกเข้าพื้นที่
ต่อมา 26 มีนาคม 2563 นายกรัฐมนตรีประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ทั่วประเทศ รวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง และตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (ศบค.) ขึ้นมามีอำนาจเต็มที่ ตามมาด้วยคำสั่งปิดสถานบันเทิง ปิดห้างสรรพสินค้า ปิดพรมแดน ห้ามทำกิจกรรมในสถานที่แออัด และในวันที่ 3 เมษายน ประเทศไทยก็ประกาศใช้ “เคอร์ฟิว” ทั่วประเทศ หรือคำสั่งห้ามออกนอกเคหสถาน ตั้งแต่เวลา 22.00 – 04.00 น. และต่อเวลาออกไปอีกครั้งในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 13 เมษายน กระทรวงมหาดไทยยังแจ้งข่าวว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดได้สั่งห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย
- สรุปสาระสำคัญของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และกฎหมายอื่นๆ ที่ใช้รับมือโควิด 19
- สรุปอำนาจรัฐที่จะออกคำสั่งได้ตามกฎหมายอื่นๆ นอกจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
- สรุปข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 3 ระบุกลุ่มคนได้รับยกเว้นให้ยังออกจากบ้านได้หลังสี่ทุ่ม
- สรุปข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 5 และ 6 ข้อห้ามที่ยังคงไว้ และมาตรการผ่อนคลายบางสถานที่
- สรุปข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 8 ยกเว้นให้การเลือกตั้งซ่อมที่ลำปาง
- สรุปอำนาจตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ที่ให้ผู้ว่าฯ สั่งปิดสถานที่ สั่งห้ามทำกิจกรรมได้
- สรุป พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ที่กำหนดโทษสำหรับผู้ขายสินค้าจำเป็นแพงเกินเหตุ
เมื่อประเทศประสบปัญหาใหญ่ และรัฐบาลต้องการงบประมาณอย่างเร่งด่วนมาเพื่อใช้ในงานเฉพาะหน้า หากงบประมาณที่ตั้งไว้ประจำปีไม่ได้มีเพียงพอสำหรับภาวะพิเศษ รัฐบาลจึงต้องอาศัยช่องทางพิเศษให้หาเงินมาเพิ่มได้ ไม่ว่าจะเป็นการโอนงบประมาณจากภารกิจอื่นๆ หรือการกู้เงินเข้ามาเสริม ซึ่งการจะทำสิ่งเหล่านี้ได้ต้องทำผ่านการออกกฎหมาย และการออกกฎหมายในระบบปกติก็ต้องผ่านการตรวจสอบโดยรัฐสภาซึ่งต้องรอการเปิดสมัยประชุมสภาก่อน รัฐบาลชุด คสช.2 จึงใช้ช่อง “ทางลัด” โดยการใช้อำนาจคณะรัฐมนตรีออกเป็นพระราชกำหนด
- ดูทางเลือกที่รัฐบาลมีอยู่ในมือเพื่อเติมสภาพคล่องทางการคลังช่วงโควิด 19
- ดูการออกพระราชกำหนด ช่องทางหาเงินพิเศษของรัฐบาลที่ต้องจับตา
ในสภาวะวิกฤติ รัฐย่อมต้องการอำนาจที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อเร่งแก้ปัญหาอย่างเด็ดขาด และแนวทางที่ปรากฏออกมาก็มักเป็นการ “ออกคำสั่ง” และกำหนดบทลงโทษสำหรับคนฝ่าฝืน โดยในสถานการณ์นี้รัฐบาลไทยก็ชูคำขวัญ “สุขภาพมาก่อนเสรีภาพ” ขณะที่คนไทยบางส่วนมองว่า รัฐบาล คสช.2 ฉวยโอกาสนี้รวบอำนาจมาไว้ในมือตัวเองและควบคุมเสรีภาพของประชาชนคล้ายช่วงการรัฐประหารอีกครั้ง แม้มาตรการที่ออกมาและการบังคับใช้ของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติส่วนใหญ่จะเป็นไปเพื่อการควบคุมโรคเป็นหลัก แต่ก็มีบ้างที่การอ้างอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นไปเพื่อจำกัดเสรีภาพการแสดงออกของประชาชนเกินสมควร
- ความจริงและเสรีภาพ ปัจจัยสำคัญในภาวะโรคระบาดกระจายทั่วโลก
- สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศร้องนายกฯ ให้นักข่าวลงพื้นที่ระหว่างเคอร์ฟิวได้
- ตำรวจอ้าง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คุกคามนักศึกษาขอลดค่าเทอม และชาวบ้านค้านเหมือง
- ดูปัญหาทางกฎหมายของการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และข้อกำหนดที่ออกตามมา
มาตรการป้องกันโรคโควิด 19 ที่สำคัญที่ทุกคนต้องช่วยกันทำ คือ การรักษาระยะห่างทางสังคม และลดกิจกรรมที่ทำให้เกิดการรวมตัวกันจำนวนมาก แต่มีบางสถานที่ที่ไม่สามารถรักษามาตรการเหล่านี้ได้เลย คือ เรือนจำ หรือสถานกักขังของรัฐที่บังคับให้คนต้องอยู่รวมกันอย่างแออัดและเข้าถึงบริการสุขภาพได้ยากลำบาก ซึ่งหลายประเทศก็มีมาตรการลดความแออัดออกมาอย่างเร่งด่วนในช่วงเวลานี้ บางประเทศก็ออกมาช้าไปเมื่อพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากในสถานที่กักขังของรัฐแล้ว
- ข้อเสนอเร่งด่วนยับยั้งการระบาดของโควิด 19 ในเรือนจำ
- ปล่อยนักโทษลดความแออัด อีกหนึ่งมาตรการรับมือโควิด 19 ในต่างประเทศ
- สำรวจมาตรการเรือนจำแมริออน รัฐโอไฮโอ หลังพบนักโทษกว่า 70% ติด COVID-19 แล้ว
- อังกฤษและเวลส์ปล่อยนักโทษกว่า 4,000 คน หนีโควิด
นอกจากประเด็นหลักสำคัญที่ยกมาแล้ว ยังมีกฎหมายน่ารู้อื่นๆ ที่ออกมาและอาจมีผลสำหรับใครหลายคนในสถานการณ์นี้อีกหลายประการ ตัวอย่างเช่น
- กฎหมายใหม่ ประชุมออนไลน์ต้องบันทึกภาพเสียง และเก็บ Log File
- กฎหมายแรงงาน ถ้าถูกไล่ออกเพราะโควิด ต้องได้ค่าชดเชย
ไม่ได้มีแค่ประเทศไทยที่ต้องเผชิญหน้ากับโควิด 19 และคิดค้นมาตรการขึ้นมารับมือ สังคมโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์นี้เช่นเดียวกัน แต่ละประเทศก็ตัดสินใจใช้แนวนโยบายที่แตกต่างกัน บางประเทศอาจใช้นโยบายแบบ “อำนาจนิยม” ด้วยการออกกฎหมายมาสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด ซึ่งย่อมสร้างผลกระทบต่อเสรีภาพ เศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน บางประเทศเลือกใช้นโยบายแบบ “เสรีนิยม” ที่เน้นให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพ พยายามคงสภาพการใช้ชีวิตให้ปกติเท่าที่เป็นไปได้ แต่ก็อาจแลกมาด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อที่สูง ระหว่างที่แต่ละประเทศกำลังพยายามเลือกใช้มาตรการที่ “ดีที่สุด” การเหลียวมองการตัดสินใจของประเทศอื่นๆ และผลที่เกิดขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน
- ดูเปรียบเทียบมาตรการรับมือโควิดของไทย กับของชาวโลก
- ดูข้อเขียนจากประสบการณ์ของคนไทยในต่างประเทศ ที่ช่วยกันมองมาตรการของประเทศต่างๆ ทั่วโลก
RELATED POSTS
No related posts