ในสภาวะ “ไม่ปกติ” ไม่ใช่พรรครัฐบาลก็ช่วยสนับสนุนเสียงข้างมากได้

กว่าสี่ปีหลังจากมีการเลือกตั้งทั่วไป 2562 มรดกของคณะรัฐประหาร คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หลายรูปแบบยังคงทรงอิทธิพลและหลอกหลอนการเมืองไทยอยู่เรื่อยมา ที่เด่นชัดที่สุดหลีกหนีไม่พ้นอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลจากการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความยากลำบากต้องผ่านด่าน "ผู้พิทักษ์มรดกคณะรัฐประหาร" ให้ได้ โดยต้องรวบรวมเสียงทั้งรัฐสภาให้ถึง 376 เสียง แทนเสียงเกินครึ่งของ ส.ส. 251 เสียงตามระบบที่ควรจะเป็น
ในสภาวะที่ไม่ปกติ ส.ว. แต่งตั้งยังสามารถกำหนดความเป็นไปของรัฐบาลใหม่ได้เช่นนี้ ส.ส. ทุกคนในฐานะที่มีที่มาซึ่งชอบธรรมจากการเลือกตั้งโดยประชาชนสามารถช่วยรักษาหลักการประชาธิปไตยเสียงข้างมากได้ โดยการยืนยันสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากฝ่ายเสียงข้างมาก โดยไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมรัฐบาล หรือเห็นด้วยกับร่างกฎหมายของรัฐบาลใหม่เสมอไป
เพื่อช่วยกัน "ปิดสวิตซ์" ให้อำนาจนี้ของ ส.ว. ไม่ได้มีผลอะไรในทางปฏิบัติ
ในสถานการณ์ที่มี ส.ว. เลือกนายก โหวตให้เสียงข้างมาก = ยืนยันหลักการเสียงข้างมากโดยประชาชน
ในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาตามปกติ รัฐบาลย่อมต้องได้รับความเห็นชอบจาก ส.ส. เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน หลักการพื้นฐานนี้ก็เพื่อสร้างความยึดโยงของฝ่ายบริหารกับ ส.ส. โดยตรง และกับประชาชนโดยอ้อม แต่ระบอบที่เป็นอยู่ตามบทเฉพาะกาล มาตรา 272 แห่งรัฐธรรมนูญ 2560 คือ สิ่งตรงกันข้ามกับความปกตินั้น เสียงของ ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะทหารถูกเพิ่มเข้ามาให้สามารถยกมือเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับ ส.ส. ที่มาจากประชาชน ทำให้เหล่า ส.ว. แต่งตั้ง กลายเป็นผู้คุมเกมในการจัดตั้งรัฐบาล
ยิ่งเหล่า ส.ว. แต่งตั้งไม่ได้มาจากประชาชน จึงไม่จำเป็นที่จะต้องลงมติโดยให้ความสำคัญกับเสียงประชาชน
ใน “สภาวะที่ไม่ปกติ” เช่นนี้ หลักการประชาธิปไตยเสียงข้างมากยิ่งต้องได้รับการปกป้องอย่างพร้อมใจจากผู้ที่เป็น “ตัวแทน” ของประชาชน ไม่ว่าจะมาจากพรรคการเมืองหรือกลุ่มก้อนใด หากมีกลุ่มพรรคการเมืองที่รวบรวมเสียง ส.ส. ได้เกินกึ่งหนึ่งที่ 251 เสียง และประกาศว่าประสงค์จะจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน ส.ส. จากพรรคการเมืองอื่น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สนับสนุนแนวทางของเสียงข้างมาก แต่ก็ยืนยันในศักดิ์ศรีของผู้แทนที่มาจากการลงคะแนนของประชาชนได้ โดยการสนับสนุนแคนดิเดตจากพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากให้ครบ 376 เสียง 
ไม่ใช่เพื่อให้ตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ และไม่ใช่เพื่อสนับสนุนบุคคลนั้นๆ แต่เพื่อเป็นการยืนยันหลักการประชาธิปไตยที่รัฐบาลต้องมาจากความเห็นชอบของ ส.ส. เสียงข้างมากเท่านั้น
ซึ่ง ส.ส. กลุ่มนี้อาจรวมถึงส.ส. จากพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคอื่นๆ ซึ่งที่ผ่านมา อดีตพรรคร่วมรัฐบาลเหล่านี้โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทยก็เคยสนับสนุนการ “ปิดสวิตช์ ส.ว.” มาแล้ว อย่างน้อย 3 ครั้ง 
พรรคประชาธิปัตย์เคยเป็นแกนนำในการเสนอยกเลิกมาตรา 272 ทั้งมาตรา ซึ่ง ส.ส. จากทุกขั้วก็ให้การสนับสนุนอย่างท่วมท้นในการลงมติเดือนมิถุนายน 2564 โดยได้เสียง ส.ส. รวมกันเกือบทั้งสภา 440 เสียง (เกือบทั้งหมด) และเมื่อภาคประชาชนร่วมกันเข้าชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญตัดอำนาจ ส.ว. เลือกนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในเดือนกันยายน 2565 ส.ส. จากพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทยก็ให้ความเห็นชอบด้วยจนเกินกึ่งหนึ่งของ ส.ส. แต่ต้องตกไปเพราะไม่ได้รับเสียง ส.ว. เพียงพอ
ดังนั้น จึงไม่เกินเลยไปที่จะเรียกร้องให้ ส.ส. จากพรรคการเมืองเหล่านี้ยืนยันหลักการว่า ส.ว. จากการแต่งตั้งเหล่านี้ไม่ควรและไม่มีอำนาจอันชอบธรรมที่จะตัดสินการเลือกนายกรัฐมนตรี
โหวตให้เสียงข้างมาก ≠ เข้าร่วมรัฐบาลใหม่ แต่ยังทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้
หากอยู่ในสภาวะปกติที่หลักการเสียงข้างมากยังทำงานได้ในสภา การงดออกเสียงหรือเสนอชื่ออื่นเพื่อยืนยันการไม่เห็นด้วยกับเสียงข้างมากก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ ดังเช่นหลังการเลือกตั้งทั่วไป 2554 ที่พรรคอันดับสองอย่างประชาธิปัตย์ไม่ส่งผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ใช้การงดออกเสียงแทน ในขณะที่เสียงข้างมากภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยก็ลงคะแนนให้กับยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี
แต่เมื่อหลักการเสียงข้างมากถูกบ่อนทำลายด้วยเสียงจากการแต่งตั้ง พรรคการเมืองที่แม้จะเป็นเสียงข้างน้อยก็สามารถโหวตให้กับแคนดิเดตเสียงข้างมากได้เพื่อช่วยผ่าทางตันไปสู่ระบอบประชาธิปไตย การลงคะแนนให้ความเห็นชอบนายกรัฐมนตรีเป็นเพียงการโหวต “เพื่อยืนยันหลักการประชาธิปไตย” ไม่ได้เป็นการผูกมัดว่าพรรคการเมืองนั้นจะต้องสนับสนุนหรือเข้าร่วมรัฐบาลใหม่ เมื่อใดท่ีระบอบรัฐสภาสามารถหลุดออกจากกับดัก ส.ว. ได้แล้ว ก็ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านที่คอยตรวจสอบรัฐบาลที่อาจมีจุดยืนหรือความเห็นแตกต่างกัน และไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลใหม่ 
อลงกรณ์ พลบุตร แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ เคยสนับสนุนและเรียกร้องให้พรรคลงคะแนนให้กับตัวแทนจากพรรคก้าวไกลที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลให้ถึง 376 เสียง โดยหลังจากนั้นอลงกรณ์ก็ย้ำว่าพรรคประชาธิปัตย์สามารถ “ถ่วงดุลการทำงานของรัฐบาลพรรคก้าวไกล” ต่อไปได้
โหวตให้เสียงข้างมาก ≠ สนับสนุนร่างกฎหมายของรัฐบาลใหม่
ข้อเสนอการปฏิรูปประเทศของกลุ่มพรรคการเมืองที่ประสงค์จะจัดตั้งรัฐบาลถูกนำมาเป็นข้ออ้างของพรรคการเมืองอื่น รวมถึง ส.ว. จำนวนมาก ในการไม่สนับสนุนเสียงข้างมากให้จัดตั้งรัฐบาล โดยประเด็นที่เป็นข้อขวางใจมากที่สุดก็คือร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล แกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ที่พรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็น พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคภูมิใจไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ ต่างหยิบยกขึ้นมาเป็นเหตุผลที่ทำให้ไม่สามารถสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกลได้
อย่างไรก็ตาม การเลือกนายกรัฐมนตรีนั้นคือการเลือกหัวหน้าฝ่ายบริหารที่จะเข้าไปบริหารกลไกต่างๆ ของรัฐบาล แต่การจะผ่านกฎหมายใดก็ตาม โดยเฉพาะประเด็นที่ขัดใจอย่างร่างแก้ไขมาตรา 112 นั้นเป็นการใช้อำนาจในทางนิติบัญญัติ หรือก็คืออำนาจในการลงมติของสมาชิกสภา แม้ว่านายกรัฐมนตรีจะมาจากพรรคการเมืองหนึ่ง แต่หากร่างกฎหมายที่พรรคการเมืองนั้นเสนอไม่ได้รับความเห็นชอบถึงกึ่งหนึ่งจากสภา ก็จะไม่สามารถผ่านออกมาได้ ส.ส. หรือส.ว. ที่ลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในวันนี้ก็ยังมีอำนาจลงมติคัดค้านร่างกฎหมายที่ไม่เห็นด้วยได้ในวันข้างหน้า ตามกระบวนการที่ร่างกฎหมายของรัฐบาลจะต้องนำไปเสนอในสภา อภิปราย และลงคะแนนกันตามระบบของรัฐสภา
ดังนั้น การไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอแก้ไขกฎหมายบางเรื่องจึงไม่ใช่เหตุผลที่ถูกต้องที่จะใช้อธิบายว่าจะลงมติให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่

📍ร่วมรณรงค์

JOIN : ILAW CLUB

ช่องทางการติดตาม

FACEBOOK PAGE

บทความยอดนิยม

วิดีโอแนะนำ

Amnestypeople.com
Join iLaw club
Facebook Fanpage