หลังจากที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 (พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.) ได้รับการเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2561 เมื่อครบกำหนด 90 วัน คือวันที่ 11 ธันวาคม 2561 จึงทำให้ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มีผลใช้บังคับแล้ว นี่เป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญฉบับสุดท้ายที่บังคับใช้ และแน่นอนสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ “การเลือกตั้ง” ในปี 2562 ที่ประชาชนรอคอยมานานเกือบ 5 ปี นอกจากนี้ยังมีเรื่องต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นอีกหลัง พ.ร.ป.ฉบับนี้ มีผลใช้บังคับ ไอลอว์รวบรวมเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างน้อยๆ 4 เรื่อง มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
หนึ่ง : การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นภายใน 150 วัน
เมื่อ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มีผลใช้บังคับ ตามบทเฉพาะกาล มาตรา 171 ระบุว่า จะต้องมีการกำหนดวันเลือกตั้ง ภายใน 150 วัน นับแต่วันที่ พ.ร.ป.ฉบับนี้ มีผลใช้บังคับ และจะมีการประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปขึ้นมา ซึ่งจะทำให้เราทราบถึงวันเลือกตั้ง ส.ส. ที่จะขึ้นจริงอย่างเป็นทางการ
ซึ่งตามกรอบระยะเวลา 150 วัน จะทำให้การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นอย่างช้าสุดในวันที่ 9 พฤษภาคม 2562 ขณะที่ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาแถลงถึงปฏิทินการเลือกตั้งว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562
สอง : รู้ว่าใครจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรค
มาตรา 13 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กำหนดว่า พรรคการเมืองต้องแจ้งรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีไม่เกิน 3 รายชื่อ ต่อ กกต. ก่อนปิดการรับสมัครรับเลือกตั้ง และให้ กกต. ประกาศรายชื่อบุคคลดังกล่าวพร้อมกับชื่อพรรคการเมืองให้ประชาชนทราบ ซึ่งจะทำให้รู้ว่า ใครคือผู้นำของแต่ละพรรค
ด้าน สุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยืนยันว่าทางพรรค จะส่งรายชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี อันดับ 1 ของพรรคแน่นอน และจะมีการพูดคุยในพรรคอีกครั้งว่า 3 รายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคมีใครบ้าง
สาม : กกต. เปิดรับสมัคร ส.ส.
มาตรา 11 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กำหนดว่า เมื่อมีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ขึ้นใช้บังคับ กกต. จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 350 คน และดำเนินการให้ได้มาซึ่ง ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อตามระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม (mixed member apportionment system หรือ MMA) (มาตรา 12) และภายใน 5 วัน กกต. จะต้องประกาศกำหนดการเลือกตั้ง และกำหนดวันสมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง โดยเริ่มรับสมัครไม่เกิน 25 วัน นับจากวันที่ พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ใช้บังคับ และต้องกำหนดวันรับสมัครไม่น้อยกว่า 5 วัน
ทั้งนี้ มาตรา 41 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กำหนดคุณสมบัติของ ส.ส. ที่จะสมัครรับเลือกตั้งทั้งเขตเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อ จะต้องสังกัดเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ภายใน 90 วัน นับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในกรณียุบสภา ระยะเวลาจะเหลือ 30 วัน ซึ่งขณะนี้ เรายังไม่ทราบถึงวันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ แต่หากมีการจัดการเลือกตั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ตามที่วิษณุแถลง เท่ากับว่าผู้ที่จะลงสมัคร ส.ส.จะต้องสมัครเข้าสังกัดพรรคก่อนวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมาแล้ว
อย่างไรก็ดี เป็นเรื่องที่น่าจับตาดูว่า คสช. จะมีการใช้อำนาจพิเศษลดระยะเวลาสังกัดพรรคการเมืองหรือไม่ ซึ่งทางด้าน อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้เข้าร่วมประชุมกับแม่น้ำ 5 สาย และตัวแทนพรรคการเมือง ในวันที่ 7 ธันวาคม 2561 อุตตม ระบุว่า หลายพรรคการเมืองเสนอเรื่องให้ คสช. รับไว้พิจารณาว่า อยากให้มีการเลื่อนวันเลือกตั้งเป็นวันที่ 5 พฤษภาคม 2562 และมีการขอให้ คสช. ใช้มาตรา 44 ลดระยะเวลาการสังกัดพรรคการเมือง 90 วัน เหลือเพียง 30 วัน เพื่อให้ลงสมัคร ส.ส.ได้
สี่ : ปลดล็อกพรรคการเมืองหาเสียงได้
การปลดล็อคพรรคการเมืองจะเกิดขึ้นได้ หลังจากมีการประกาศใช้ พ.ร.ฎ. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. จากการให้สัมภาษณ์ของ สรอรรถ กลิ่นประทุม ประธานที่ปรึกษาพรรคภูมิใจไทย ในการประชุมแม่น้ำ 5 สาย เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2561 สรอรรถ ระบุว่า การประกาศ พ.ร.ฎ. อาจเกิดขึ้น ในวันที่ 2 มกราคม 2562 และจะทำให้พรรคการเมืองจะสามารถเริ่มหาเสียงได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบและส่งให้ กกต. ไปดำเนินการต่อแล้ว
อย่างไรก็ดี 11 ธันวาคม 2561 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 22/2561 เรื่อง การให้ประชาชนและพรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมือง
โดยการออกคำสั่งดังกล่าวเป็นไปตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 53/2560 ข้อที่ 8 ที่กำหนดว่า ให้ คสช. พิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกกฎหมายอันเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการเลือกตั้ง หลัง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีผลบังคับใช้ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2561
ข้อ 1 ยกเลิกประกาศ/คำสั่ง คสช. และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ห้ามพรรคการเมืองหรือประชาชนทำกิจกรรมทางการเมือง จำนวน 9 ฉบับ ได้แก่
๐ ยกเลิกคำสั่ง คสช. ที่ 10/2557 เฉพาะ ข้อ 1. ที่ห้าม จาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคไทยรักษาชาติ ทำธุรกรรมทางการเงิน
๐ ยกเลิกคำสั่ง คสช. ที่ 26/2557 ที่ห้าม สมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนำพรรคเกียน และ จ่าสิบตำรวจ ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ทำธุรกรรมทางการเงิน
๐ ยกเลิกประกาศ คสช. ที่ 39/2557 ที่กำหนดให้บุคคลที่มารายงานตัวต่อ คสช. และได้รับการปล่อยตัวต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ คสช. กำหนด ได้แก่ ห้ามเดินทางออกราชอาณาจักร ห้ามเคลื่อนไหวหรือสนับสนุนกิจกรรมทางการเมือง ทั้งนี้ หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ และถูกระงับธุรกรรมทางการเงิน
๐ ยกเลิกประกาศ คสช. ที่ 40/2557 ที่กำหนดให้บุคคลที่ถูกกักตัวตามกฎอัยการศึกต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ คสช. กำหนด ได้แก่ ห้ามเดินทางออกราชอาณาจักร ห้ามเคลื่อนไหวหรือสนับสนุนกิจกรรมทางการเมือง ทั้งนี้ หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ และถูกระงับธุรกรรมทางการเงิน
๐ ยกเลิกประกาศ คสช. ที่ 57/2557 เฉพาะข้อ 2 ที่ห้ามมิให้พรรคการเมืองที่มีอยู่แล้วดําเนินการประชุม หรือดําเนินกิจการใดๆ ในทางการเมือง และการดําเนินการเพื่อการจัดตั้งหรือจดทะเบียนพรรคการเมืองให้ระงับไว้เป็นการชั่วคราว รวมทั้งให้ระงับการจัดสรรเงินสนับสนุนแก่พรรคการเมืองของกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองไว้เป็นการชั่วคราว
๐ ยกเลิกคำสั่ง คสช. ที่ 80/2557 ที่ห้ามแกนนำพรรคเพื่อไทย แกนนำนปช. แกนนำพรรคประชาธิปตย์ และแกนนำ กปปส. รวมทั้งสิ้น 18 คน เดินทางออกนอกราชอาณาจักร หรือทำกิจกรรมทางการเมือง ทั้งนี้ หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ และถูกระงับธุรกรรมทางการเงิน
๐ ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 เฉพาะข้อที่ 12 เรื่อง ห้ามผู้ใดมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้า คสช.
๐ ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 53/2561 เฉพาะข้อ 4, 5 และ 7 เรื่องห้ามพรรคการเมืองดําเนินการประชุม หรือดําเนินกิจการใดๆ ในทางการเมือง เว้นแต่ได้รับอนุญาตหรือปฏิบัติตามเงื่อนไขของคสช.
๐ ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 13/2561 เฉพาะข้อ 6 เรื่องห้ามพรรคการเมืองดำเนินการอันเป็นการหาเสืยงบนโลกออนไลน์ และให้ กกต. และ คสช. เป็นคนกำหนดลักษณะต้องห้ามของการสื่อสารบนโลกออนไลน์
ข้อ 2 การยกเลิกบรรดาประกาศ/คำสั่ง คสช. และคำสั่งหัวหน้า คสช. ตามข้อ 1 ไม่กระทบกระเทือนถึงการดำเนินคดี การดำเนินการ หรือการปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งที่ได้กระทำไปก่อนการยกเลิกโดยคำสั่งนี้
สำหรับข้อที่ 2 ยังมีความไม่แน่ชัดในความหมาย เนื่องจากคำว่า ‘ไม่กระทบกระเทือน‘ นั้นจะมีขอบเขตระดับไหน ซึ่งอาจจะหมายถึง การไม่ยกเลิกคดีความหรือเงื่อนไขที่ คสช. เคยใช้กับพรรคการเมือง นักการเมือง ประชาชน ก่อนหน้าจะมีคำสั่งยกเลิกฉบับนี้ หรือ มีผลยกเลิกการดำเนินคดี หรือการดำเนินการ หรือ การปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่ง คสช. ที่ได้กระทำไปก่อนจะมีคำสั่งยกเลิกนี้ แต่เขียนไว้เพื่อป้องกันการกระทำที่ได้ทำไปก่อนจะมีคำสั่งยกเลิกออกมา
นอกจากนี้ แม้พรรคการเมืองจะเริ่มหาเสียงได้ แต่จะต้องใช้งบประมาณหาเสียงภายใต้กฎเกณฑ์ที่ กกต. กำหนด ซึ่งในบทเฉพาะกาล มาตรา 176 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กำหนดให้ กกต. ต้องจัดประชุมหารือกับหัวหน้าพรรคการเมืองเพื่อกำหนดค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ภายหลังวันที่ พ.ร.ป.ฉบับนี้ มีผลใช้บังคับ