คำต่อคำ ถอดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้ประยุทธ์รอดปมเป็นนายก 8 ปี


30 กันยายน 2565 ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยกรณีวาระดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าครบ 8 ปีตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดหรือไม่ โดยศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากตัดสินว่าการนับเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้นต้องเริ่มตั้งแต่เมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560

อ่านคำวินิจฉัยแบบถอดคำต่อคำได้ที่นี่

15.04 น. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญขึ้นนั่งบัลลังก์และอ่านคำร้อง เจ้าหน้าที่รายงานการมาศาลของผู้ร้องและผู้ถูกร้อง ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้ร้องมอบหมายให้เจษ อนุกูลโภคารัตน์ ผู้บังคับบัญชากลุ่มงานประสานการเมืองและรับเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานเลขาธิการผู้แทนราษฎร เป็นผู้แทนมาศาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ถูกร้องมอบหมายให้พล.ต.วิระ โรจนวาศ เป็นผู้แทนมาศาล

15.06 น. ตุลาการเริ่มอ่านคำวินิจฉัย รายละเอียดดังนี้

“พิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 มาตรา 170 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อมาตรา 170 ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง เมื่อ (1) ตาย (2) ลาออก (3) สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจ (4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 (5) กระทําการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 186 หรือมาตรา 187 (6) มีพระบรมราชโองการให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีตามมาตรา 171

และวรรคสองบัญญัติว่า นอกจากเหตุที่ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามวรรคหนึ่งแล้ว ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อครบกําหนดเวลาตามมาตรา 158 วรรคสี่ด้วย ด้วยโดย 158 วรรคสี่ บัญญัติว่า นายกรัฐมนตรีจะดํารงตําแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดํารงตําแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตําแหน่ง 

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 มาตรา 158 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่น ๆ อีกไม่เกินสามสิบห้าคน ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน วรรคสองบัญญัติว่า นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบตามมาตรา 159 วรรคสาม บัญญัติว่า ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี

มาตรา 159 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้ง เป็นนายกรัฐมนตรีจากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 และเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสมาชิก ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

วรรคสองบัญญัติว่า การเสนอชื่อตามวรรคหนึ่งต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร วรรคสามบัญญัติว่า มติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีต้องกระทําโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผย และมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร และมาตรา 272 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า ในระหว่างห้าปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ การให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้ดําเนินการตามมาตรา 159 เว้นแต่ การพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 159 วรรคหนึ่ง ให้กระทําในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา และมติที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 159 วรรคสาม ต้องมีคะแนนเสียง มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

วรรคสองบัญญัติว่า ในระหว่างเวลาตามวรรคหนึ่ง หากมีกรณีที่ไม่อาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ใน บัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 ไม่ว่าด้วยเหตุใด และสมาชิกของทั้งสองสภารวมกัน จำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาเข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภา ขอให้รัฐสภามีมติยกเว้นเพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมือง แจ้งไว้ตามมาตรา 88 ในกรณีเช่นนั้น ให้ประธานรัฐสภาจัดให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยพลัน และในกรณีที่รัฐสภามีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาให้ยกเว้นได้ ให้ดําเนินการตามวรรคหนึ่งต่อไป โดยจะเสนอชื่อผู้อยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมือง แจ้งไว้ตามมาตรา 88 หรือไม่ก็ได้

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 กำหนดวิธีการได้มาซึ่งวิธีการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีไว้สองกรณี ซึ่งแตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับอื่น ๆ คือการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 159 และการได้มาซึ่งบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามบทเฉพาะกาล มาตรา 272 การได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 159 มีหลักการสำคัญว่า ให้พิจารณาเห็นชอบบุคคลที่สมควรที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี จากบุคคลที่พรรคการเมืองแจ้งรายชื่อไว้กับคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนการเลือกตั้ง โดยจะต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติตามมที่รัฐธรรมนูญกำหนดด้วย จึงเป็นหลักสำคัญของการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นเมื่อผู้ถูกร้องได้รับความเห็นชอบตามมาตรา 159 ประกอบมาตรา 272 และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 มาตรา 158 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2562 แล้ว ผู้ถูกร้องจึงเป็นผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามหลักเกณฑ์และวิธีการของรัฐธรรมนูญ 2560 โดยบริบูรณ์และเป็นไปตามหลักทั่วไปของการมีผลตามกฎหมายและหลักความแน่นอนชัดเจนของกฎหมาย กล่าวคือ การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 158 วรรคสี่ต้องพิจารณากระบวนการแต่งตั้งตามมาตรา 158 ประกอบมาตรา 159 โดยเฉพาะเงื่อนไขในมาตรา 159 วรรคหนึ่งที่บัญญัติว่า ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้ง เป็นนายกรัฐมนตรีจากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 และเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่มีความหมายเฉพาะเจาะจงตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 คือบุคคลที่รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นชื่อที่มีอยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของสมาชิกผู้แทนราษฎรหรือเท่าที่มีอยู่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ผู้ถูกร้องได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว 2557 มาตรา 19 วรรคหนึ่งเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2557 ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติมาจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติถวายคำแนะนำ เห็นได้ว่า ผู้ถูกร้องไม่ใช่นายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ซึ่งต้องมีที่มาตามมาตรา 158 วรรคสองกล่าวคือ ได้รับการเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร แต่อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560  มีบทเฉพาะกาลมาตรา 264 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญนี้จะเข้ารับหน้าที่ และให้นําความในมาตรา 2563 วรรคสาม มาใช้บังคับแก่การดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีด้วยโดยอนุโลม

วรรคสองบัญญัติว่า รัฐมนตรีตามวรรคหนึ่งนอกจากต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แล้ว ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่บัญญัติไว้ สําหรับรัฐมนตรีตามมาตรา 160 ยกเว้น (6) เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับมาตรา 98 (12) (13) (14) และ (15) และต้องพ้นจากตําแหน่งตามมาตรา 170 ยกเว้น (3) และ (4) แต่ในกรณีตาม (4) เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับมาตรา 98 (12) (13) (14) และ (15) และยกเว้นมาตรา 170 (5) เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการดําเนินการตามมาตรา 184 (1)

วรรคสามบัญญัติว่า การดําเนินการแต่งตั้งรัฐมนตรีในระหว่างเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ดําเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) 2557 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) 2558 และรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) 2559 แต่ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามวรรคสองด้วย

วรรคสี่ บัญญัติว่า ให้นําความในมาตรา 263 วรรคเจ็ด มาใช้บังคับแก่การสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของรัฐมนตรีตามวรรคหนึ่งและวรรคสามด้วยโดยอนุโลม

กรณีจึงมีปัญหาต้องพิจารณาต่อไปว่า จะถือว่า คณะรัฐมนตรีมีผู้ถูกร้องเป็นนายกรัฐมนตรี บริหารราชการแผ่นดินก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 นั้นเป็นคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ด้วยหรือไม่

พิเคราะห์แล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 มาตรา 264 วรรคหนึ่งเป็นบทบัญญัติที่มีความมุ่งหมายสองประการ ความมุ่งหมายประการแรก เพื่อให้บทบัญญัติที่ยืนยันถึงหลักความต่อเนื่องของคณะรัฐมนตรี กล่าวคือ แม้คณะรัฐมนตรีซึ่งมีผู้ถูกร้องเป็นนายกรัฐมนตรีจะเป็นคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฉบับอื่นอยู่ก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ประกาศใช้บังคับ แต่เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ประกาศใช้บังคับเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 แล้วต้องถือว่า คณะรัฐมนตรี ซึ่งแม้จะเข้าสู่ตำแหน่งโดยรัฐธรรมนูญฉบับอื่นก็ตาม ย่อมเป็นคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2560 อันเป็นวันประกาศรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 เป็นต้นไปตามบทเฉพาะกาลมาตรา 264 ดังกล่าว

ส่วนความมุ่งหมายประการที่สองเพื่อนำกฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับใหม่ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาใช้บังคับแก่คณะรัฐมนตรีที่มีอยู่ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้ด้วย ซึ่งเป็นไปตามหลักทั่วไปที่คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ที่ประกาศขึ้นมาใหม่ทุกประการทันที เว้นแต่ในบทเฉพาะกาลจะมีข้อยกเว้นว่า ไม่ให้นำเรื่องใดมาใช้บังคับแก่คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ดังปรากฏในมาตรา 264 วรรคสอง ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการบัญญัติข้อยกเว้นไว้บางเรื่องเท่านั้น ดังนั้นหากไม่ได้มีการบัญญัติยกเว้น บทบัญญัติในเรื่องใดไว้ก็ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในเรื่องนั้น ๆ ทั้งสิ้น

ความมุ่งหมายของบทเฉพาะกาลมาตรา 264 จึงเป็นไปตามหลักทั่วไปของการใช้บังคับกฎหมายคือ กฎหมายย่อมมีผลใช้บังคับนับแต่วันที่ประกาศใช้ เมื่อรัฐธรรมนูญนี้มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 ย่อมมีความหมายว่า ทุกบัญญัติของรัฐธรรมนูญย่อมมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป เว้นแต่ในบทเฉพาะกาลจะมีการบัญญัติให้เรื่องใดยังไม่มีผลใช้บังคับ ดังนั้นไม่ว่ากรณีใดเมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ใช้บังคับทุกอย่างจึงต้องเริ่มนับทันที กรณีตามมาตรา 158 วรรคสี่ ในเรื่องระยะเวลาแปดปีจึงต้องเริ่มนับทันทีนับแต่วันที่รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ จากหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นจึงวินิจฉัยได้ว่า ผู้ถูกร้องซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 158 วรรคสี่ของรัฐธรรมนูญนี้ด้วย

สำหรับข้อกล่าวอ้างที่ว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3-5 /2550 และที่ 24/2564 เป็นการใช้กฎหมายย้อนหลังเพื่อเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคการเมืองและการสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ใช่โทษทางอาญาสามารถกระทำได้เช่นเดียวกับกรณีตามคำร้องในคดีนี้นั้นเห็นว่า 

ข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นกรณีเกี่ยวกับพรรคการเมืองกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองอันเป็นเหตุให้ถูกยุบพรรคและเป็นผลให้กรรมการบริหารพรรคการเมืองถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองและเป็นกรณีลักษณะต้องห้ามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นเหตุให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงและทั้งสองกรณีดังกล่าวมีบทบัญญัติที่เขียนไว้โดยชัดเจนว่า ให้มีผลย้อนหลังได้เพราะเป็นการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายหรือขาดคุณสมบัติมาตั้งแต่แรก แต่บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ที่ใช้บังคับไม่ได้บัญญัติกรณีการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้มีผลย้อนหลังได้ คำวินิจฉัยทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นคนละกรณีในคดีนี้ ที่เป็นกรณีเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามระยะเวลาที่ตามรัฐธรรมนูญกำหนด อันเป็นเหตุให้ความรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ซึ่งมีหลักการและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่ต่างกันจึงไม่อาจนำมาเทียบเคียงกันได้

ส่วนข้ออ้างของผู้ร้องที่ว่า บันทึกการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญครั้งที่ 500 วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2561 ระบุเจตนารมณ์การจำกัดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 158 วรรคสี่ไว้อย่างชัดเจน ประกอบกับในการประชุมดังกล่าวประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญและรองประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญคนที่หนึ่งให้ความเห็นเกี่ยวกับการนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ใช้บังคับว่า บุคคลใดก็ตามที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยวิธีการใดก็ตามก่อนวันที่รัฐธรรมนูญนี้ประกาศใช้บังคับก็สามารถนับรวมระยะเวลาการดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ได้ ซึ่งเมื่อนับรวมระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องมีระยะเวลารวมไม่เกินแปดปีนั้น เห็นว่า

การประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมเพื่อพิจารณาความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ซึ่งเป็นเพียงการอธิบายแนวความคิดของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญในการจัดทำบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในมาตราต่างๆว่า มีความมุ่งหมายอย่างไรแต่การพิจารณาภายหลังรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ประกาศใช้บังคับเป็นเวลาถึงหนึ่งปีห้าเดือน ประกอบกับความเห็นของประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญและรองประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญคนที่หนึ่งที่ผู้ร้องกล่าวอ้างดังกล่าว มิได้นำไประบุไว้เป็นความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 

นอกจากนี้ตามบันทึกการประชุมและรายงานการประชุมของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่พิจารณาเกี่ยวกับการกำหนดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 158 วรรคสี่ไม่ปรากฏประเด็นในการพิจารณาหรืออภิปรายเกี่ยวกับการนับเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า สามารถนับรวมระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญนี้ประกาศใช้บังคับด้วย การกำหนดเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 วรรคสี่จึงมีความหมายเฉพาะการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 

ดังนั้นเมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ประกาศใช้บังคับในวันที่ 6 เมษายน 2560 และผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่บริหาราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ตามบทเฉพาะกาลมาตรา 264 การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องดังกล่าวจึงเป็นการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีภายใต้รัฐธรรมนูญนี้ ต้องอยู่ภายใต้บังคับตามมาตรา 158 วรรคสี่ ทั้งนี้การให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้จะต้องถือเอาตามบทบัญญัติตามวันที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้เป็นวันเริ่มต้นการเข้ารับตำแหน่ง ผู้ถูกร้องจึงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 264 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 นับตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 24 สิงหาคม 2565 ผู้ถูกร้องจึงดำรงตำแหน่งยังไม่ครบกำหนดเวลาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 มาตรา 158 วรรคสี่ ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องจึงไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 มาตรา 170 วรรคสองประกอบมาตรา 158 วรรคสี่

อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเสียงข้างมากจึงวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ตามมาตรา 170 วรรคสองประกอบมาตรา 158 วรรคสี่