24 สิงหาคม 2565 ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 5 ต่อ 4 ให้รับคำรองที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคฝ่ายค้านยื่นขอให้พิจารณาเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าครบ 8 ปี แล้วหรือไม่ พร้อมทั้งสั่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยออกมา
การยื่นคำร้องดังกล่าว สืบเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 158 วรรคสี่ กำหนดให้ “นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่ง ติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตำแหน่ง” กล่าวคือ ไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งนายกฯ มากี่ครั้ง และไม่ว่าจะดำรงต่อเนื่องหรือไม่ต่อเนื่องก็ตาม แต่ระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกฯ ของทุกคนต้องรวมกันแล้วไม่เกิน 8 ปี
อีกทั้ง โดยข้อเท็จจริงปรากฎว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นับตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2557 และรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 264 ได้บัญญัติไว้ว่า “ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้…” จึงต้องถือว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องสิ้นสุดลงในวันที่ 24 สิงหาคม 2565
อย่างไรก็ดี เมื่อศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 มาตรา 41 บัญญัติไว้ว่า ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่อาจปฏิบัติราชการได้ให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทน ถ้ามีรองนายกรัฐมนตรีหลายคน ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทน และถ้าไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทน
ทั้งนี้ คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 237/2563 ได้กำหนดผังการมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีไว้ว่า ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่อาจปฏิบัติราชการได้ คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตามลำดับ ดังนี้
- พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
- วิษณุ เครืองาม
- อนุทิน ชาญวีรกูล
- จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์
- ดอน ปรมัตถ์วินัย
- สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์
กล่าวคือ เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ รองนายกฯ ที่อยู่ในลำดับที่หนึ่ง ซึ่งก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะทำหน้าที่รักษาราชการแทนไปพลางก่อน และตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 48 วรรคหนึ่งยังกำหนดให้ผู้รักษาราชการแทนมีอํานาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ซึ่งตนแทน แต่ในคำสั่งนายกฯ ที่ 277/2563 มีการระบุไว้ด้วยว่า “ผู้รักษาราชการแทนจะสั่งการใดเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลและการอนุมัติเงินงบประมาณอันอยู่ในอำนาจของนายกฯ ได้ ต้องได้รับความเห็นชอบจากนายกฯ เสียก่อน”
โดยหลังจากนี้ หากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญออกมาว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ครบวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะกลับมาปฏิบัติหน้าที่เป็นนายกฯ เหมือนเดิม แต่หากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ออกมาว่า พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในวาระนายกฯ ครบ 8 ปีแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง เช่นเดียวกับรัฐมนตรีทุกคนก็ต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วยตามนายกฯ แต่ยังให้อยู่เป็นคณะรัฐมนตรีรักษาการไปพลางก่อน จนกว่าสภาจะเลือกนายกฯ คนใหม่ และครม. ชุดใหม่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่
นอกจากนี้ แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ แต่ความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่สิ้นสุด ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังสามารถเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐฒนตรีได้ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
RELATED POSTS
No related posts