Bangkok Drift รวมวิวาทะฝ่ายรัฐบาลว่าด้วยเพกาซัส

หลังจากการอภิปรายและเปิดโปงเรื่องสปายแวร์เพกาซัสทั้งในสภาและนอกสภา ฝ่ายรัฐบาลออกมาชี้แจงอย่างน้อย 4 ครั้ง ครั้งแรกวันที่ 19 กรกฎาคม 2565 ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือดีอี ตอบหลังจากที่ศรัณย์ ทิมสุวรรณ ส.ส.พรรคเพื่อไทยอภิปรายถึงปัญหาการหลอกลวงออนไลน์และถามถึงการที่รัฐบาลใช้สปายแวร์เพกาซัสต่อประชาชน ทำนองว่า รับรู้มีแต่ไม่ใช่อำนาจของดีอี ต่อมาวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 ชัยชาญ  ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมชี้แจงแทนพลเอกประยุทธ์ที่เดินทางกลับไปก่อนว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายที่จะใช้สปายแวร์ที่จะไปกระทบต่อสิทธิของบุคคลหรือประชาชนทั่วไป  โดยไม่ได้ใช้คำว่า “สิทธิของบุคคลหรือประชาชนทกุคน“ แต่เป็นคำว่า “ทั่วไป” แทนถึงสองครั้ง 

วันที่ 22 กรกฎาคม 2565 พลเอกประยุทธ์​ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า เขาไม่รู้จักเพกาซัสและไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้งบเพื่อปฏิบัติการดังกล่าวด้วย พร้อมตัดพ้อว่า คนอื่นมองเขาว่า  ไม่ฉลาดอยู่แล้ว  ด้านชัยวุฒิชี้แจงในฐานะส.ส.พลังประชารัฐว่า ที่เขากล่าวในวันก่อนหน้าคือ รู้ว่า มีแต่ไม่ได้บอกว่า “มีในไทย” 

ไล่เรียงไทม์ไลน์การชี้แจงของรัฐบาล

ชัยวุฒิตอบคำถามรัฐบาลใช้เพกาซัส รู้ว่า มี แต่โบ้ยไม่ใช่อำนาจดีอี

คืนวันที่ 19 กรกฎาคม 2565 ศรัณย์ ทิมสุวรรณ ส.ส.เพื่อไทยอภิปรายเรื่องคอลเซ็นเตอร์และพูดถึงเรื่องสปายแวร์เพกาซัสในตอนท้ายว่า “ล่าสุดที่มีการเปิดเผยว่า ทางรัฐบาลใช้สปายแวร์ในการสอดแนมประชาชนของตนเองที่เรียกว่า เพกาซัสเนี่ย ที่การใช้งานครั้งหนึ่งเนี่ยมีค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท” หลังจากนั้นชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือดีอีชี้แจงในประเด็น #เพกาซัส ทันทีว่า “เรื่องสปายแวร์ที่เข้าไปดักฟังหรือสิงอยู่ในเครื่องมือถือ แล้วจะรู้เหมือนสามารถดูหน้าจอ การพูดคุย การส่งข้อความทั้งหมด อันนี้ผมรู้ว่ามีจริง ระบบนี้มีจริง เราเคยศึกษาอยู่ แต่ทางกระทรวงดิจิทัลฯ ไม่ได้เป็นคนทำเรื่องนี้เพราะเราไม่มีอำนาจ  เท่าที่ผมทราบ จะเป็นงานด้านความมั่นคงหรือด้านยาเสพติด ถ้าต้องจับคนร้ายยาเสพติด ก็จะต้องไปดักฟังว่าจะส่งยาที่ไหน ผมเข้าใจว่ามีการใช้ในลักษณะแบบนี้ แต่ต้องจำกัด (limit) มาก ต้องเกี่ยวกับคดีพิเศษ คดีสำคัญที่ต้องดักฟังพ่อค้ายาเสพติด ผมเคยได้ยินว่ามี ไม่ใช่หน่วยงานที่ผมดูนะ แต่มันมีอำนาจแบบนั้นที่ทำได้” 

กลาโหมแจงไม่ปฏิเสธการครอบครอง ย้ำว่า ไม่มีนโยบายใช้สปายแวร์ที่กระทบสิทธิของบุคคลทั่วไป

วันที่ 21 กรกฎาคม 2565 เวลา 15.51-17.00 น. พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.ก้าวไกลอภิปรายชำแหละการใช้งานสปายแวร์เพกาซัสในไทยและเปิดเผยว่า มีส.ส.ก้าวไกลอย่างเบญจา แสงจันทร์ ถูกโจมตีอย่างน้อยสามครั้งระหว่างปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้แทนในสภา รวมทั้งนักการเมืองจากพรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้า ซึ่งมีใบรับรองการตรวจสอบพบการโจมตีอย่างชัดเจนรวมห้าคน  พร้อมย้ำว่า สปายแวร์ชนิดนี้จะขายให้รัฐเท่านั้นและไม่มีเหตุผลที่รัฐบาลต่างประเทศจะโจมตีนักการเมืองห้าคน รวมถึงเหยื่ออีก 30 คนที่ไอลอว์เผยแพร่ไปก่อนหน้านี้  

ต่อมาเวลา 18.49 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีลุกขึ้นชี้แจงในประเด็นที่ถูกอภิปรายร่วม 100 นาที แต่ไม่ได้ชี้แจงเรื่องเพกาซัส กล่าวปิดว่า

“ข้อมูลอยู่ที่ผมทั้งหมด แต่ผมพูดไม่ไหว #เจ็บคอ ” เวลาประมาณ 20.30 พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงว่า ในส่วนของรัฐบาลเรียนยืนยันว่า ไม่มีนโยบายที่จะใช้สปายแวร์ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้ใด การดำเนินการก็ยืนยันว่า ไม่มีนโยบาย ไม่เคยกำหนดที่จะใช้สปายแวร์หรือปฏิบัติการข่าวสารไปดำเนินการที่จะไปกระทบต่อ “สิทธิของบุคคลหรือประชาชนทั่วไป”

พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ขอใช้สิทธิพาดพิงและกล่าวตอบโต้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลางโหมว่า ขอยืนยันว่า เพกาซัสขายให้เฉพาะรัฐบาลเท่านั้น เมื่อสักครู่ท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าท่านไม่ได้ครอบครองเพกาซัส ท่านเพียงแต่บอกว่าไม่ได้มีนโยบายที่จะใช้สอดแนมประชาชน แต่ก็คงเป็นเรื่องตลกที่รัฐบาลอื่นจะมาสอดแนม 35 คนไทย อย่างที่ปรากฏตามผลการตรวจเพกาซัส ผมถือว่าถ้าการชี้แจงไม่ได้สามารถทำให้ประชาชนยอมรับได้ ก็เป็นกลายๆ ว่ารัฐบาลก็ได้ยอมรับว่าใช้เพกาซัสกับประชาชน เราคงจะต้องดำเนินการต่อไปทางกฎหมายครับ

การถามย้ำของพิจารณ์ ทำให้ชัยชาญลุกขึ้นชี้แจงซ้ำอีกครั้ง โดยชัยชาญกล่าวว่า ข้อมูลที่ท่านสมาชิกได้ขึ้นภาพว่ามีการเสนอขายให้กับประเทศไทยนั้น ขออนุญาตข้อมูลตรงนี้เป็นของผู้เสนอขาย ท่านอย่าเพิ่งเชื่อถือ ต้องไปตรวจสอบและชัยชาญกล่าวข้อความเดิมย้ำอีกครั้งว่า “รัฐบาลนั้นไม่มีนโยบายที่จะใช้หรือสปายแวร์หรือปฏิบัติข่าวสาร ที่จะไปกระทบต่อสิทธิของบุคคลหรือประชาชนทั่วไป”

ประยุทธ์แจงไม่รู้จักเพกาซัส ชัยวุฒิซัดบิดเบือนไม่ได้บอกว่า “ไทยมี”

22 กรกฎาคม 2565 เวลาประมาณ 13.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีชี้แจงประเด็นสปายแวร์เพกาซัสว่า  “เรื่องเพกาซัส เพกาเซิ่สอะไร ผมไม่รู้จักหรอกนะครับ ท่านก็ว่าผมไม่ฉลาดอยู่แล้วหนิ แล้วผมไม่มีค่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเสียเงินงบประมาณเพื่อมาตามไอ้เรื่องแบบนี้หรอก เปิดดูในโซเชียลก็เห็นอยู่แล้ว ว่าใครเป็นคนทำ มาจากไหน นะครับ ใช้งบประมาณกันเท่าไร มีคณะทำงานอยู่ที่ไหนบ้าง ผมนี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะเนี่ย ผมเห็นว่าไม่ใช่เรื่อง เป็นเรื่องของประชาชนต้องเรียนรู้กันไปเอง ถ้าเราเรียนรู้กับโซเชียลกันแบบนี้ ประเทศชาติก็เป็นแบบนี้แหละครับ จริงบ้างเท็จบ้าง นะ แล้วท่านบอกว่าผมจะไป … ผมไม่ให้ค่าคนเหล่านี้อยู่แล้ว ไอ้คนที่อยู่เบื้องหลัง คนที่ไม่รู้เรื่องเนี่ยผมเห็นใจเขา คนที่แพร่ต่อเนี่ยผมเห็นใจ เพราะเขาไม่เข้าใจ แต่ไอ้คนต้นเรื่องเนี่ยมันมีกระบวนการอยู่ ก็อันนี้เป็นเรื่องของกฎหมายก็ว่ากันไป”

ขณะที่ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ลุกขึ้นชี้แจงในฐานะส.ส.พลังประชารัฐว่า  “ขอใช้สิทธิพาดพิงนะครับเรื่องที่มีคนไปพูดกันว่า ผมยอมรับว่า มีการใช้สปายแวร์หรือระบบแอบฟังหรือเจาะข้อมูลของพี่น้องประชาชนในระบบมือถือ ก็เห็นอยู่ครับ เห็นในโซเชียลมีเดียหลายช่องทางก็เอาไปปั่นกัน ซึ่งผมก็มาดูในคลิปย้อนไปที่ผมพูด ผมก็ดูแล้ว ผมไม่ได้พูดว่า มีนะฮะ ผมแค่พูดว่า ผมศึกษาอยู่เรื่องนี้และก็รู้ว่า มีระบบนี้นะครับ ใช้ในเรื่องความมั่นคงและเรื่องเกี่ยวกับยาเสพติด…จับผู้ก่อการร้าย แอบฟังคนค้ายาเสพติด ซึ่งอันนี้มันมี แต่ผมไม่ได้พูดว่า มีในเมืองไทย ผมไม่ได้พูดว่า มีในระบบราชการไทย ผมบอกว่า มี ใช่ระบบนี้เคยเห็น ได้ยินอยู่นะครับ และผมก็ยืนยันว่า ในกระทรวงของผมไม่ได้มี ไม่ได้ทำ ในส่วนที่รัฐบาลทำไม่มีเพราะอำนาจตามกฎหมายไม่มี แต่พวก…คนบางกลุ่มก็ไปบิด ไปพูดบิดเบือนหาว่า ผมยอมรับว่า มี ซึ่งด้วยความหมายของผม ผมรู้ว่ามันมี มีใช้อยู่ในประเทศ ก็มันก็มีจริงๆมันมีขายอยู่ แต่มันไม่ได้มีในประเทศไทย ก็อย่าไปบิดเบือนให้มันเกิความสับสนเลยครับ ไปพูดเรื่องที่มันสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ดีกว่า”

You May Also Like
อ่าน

กสม.ชี้หน่วยงานรัฐไทยเอี่ยวใช้สปายแวร์เพกาซัส ชงครม.สั่งสอบ-เรียกเอกสารลับ

กสม. เชื่อว่า มีการใช้สปายแวร์ เพกาซัสละเมิดสิทธิจริง โดยพิจารณาจากความน่าเชื่อถือของการตรวจสอบทางเทคนิคคอมพิวเตอร์ และบริบทแวดล้อมในต่างประเทศ นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า หน่วยงานรัฐไทยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้สปายแวร์
อ่าน

ขนุน สิรภพ “คงแค่ยิ้มสู้” ระหว่างศาลอุทธรณ์ไม่ให้ประกันตัวในคดีมาตรา 112

ขนุน สิรภพ “คงแค่ยิ้มสู้” ระหว่างศาลอุทธรณ์ไม่ให้ประกันตัวในคดีมาตรา 112 . สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ หรือขนุน นิสิตรัฐศาสตร์จากมศว จำเลยในคดีมาตรา 112 จากการกล่าวปราศรัยระหว่างการชุมนุม #ม็อบ18พฤศจิกา . 25 มีนาคม ที่ผ่านมาศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษา จำคุก 3 ปี แต่เนื่องจากการนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง ศาลจึงลดโทษหนึ่งในสามคงจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา . จนถึงวันนี้(4 เมษายน 2567) เป็นเวลา 10 วันแล้วที่ศาลอุทธรณ์ไม่ให้ประกันตัว