เปิดกฎหมายเกี่ยวกับเครื่องสำอาง ที่สายบิวตี้ควรรู้

การดูแลสภาพรักษาสภาพผิว แทบเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในยุคสมัยที่ปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ผิวเสื่อมโทรมลง ทั้งมลภาวะจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ทั้งค่ารังสียูวีที่อยู่ในระดับสูง หนำซ้ำกากใส่หน้ากากอนามัยเป็นเวลานาน ก็อาจส่งผลให้เกิดสิวได้ (Maskne) หลายคนอาจเลือกแก้ปัญหาหรือฟื้นฟูสภาพผิวจากการทำหัตถการโดยแพทย์ แต่หลายคนก็อาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบำรุงผิวเพื่อฟื้นฟูสภาพผิว เสริมเกราะป้องกันผิว ลดรอยดำรอยแดง หรือแม้แต่ปรับสภาพผิวให้กระจ่างใสขึ้น

ในท้องตลาดเองก็มีผลิตภัณฑ์หลายแบรนด์หลายระดับราคาที่จำหน่ายให้ผู้บริโภคเลือกซื้อ มีส่วนผสมและคำเคลมของแบรนด์ที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อน่ากังวลสำหรับการใช้เครื่องสำอาง คือ เรื่องความปลอดภัย เนื่องจากการใช้เครื่องสำอางอาจจะส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ โดยเหตุนี้ พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.2558 (พ.ร.บ.เครื่องสำอาง) จึงกำหนดหลายมาตรการเพื่อคุ้มครองสิทธิผู้ใช้เครื่องสำอางเอาไว้หลายประเด็น ชวนดูกันว่ามีข้อกฎหมายใดเกี่ยวกับเครื่องสำอางเรื่องใดบ้าง ที่ผู้ใช้เครื่องสำอางควรรู้

เช็คลิสต์ด่านแรก ต้องผ่านการจดแจ้งอย. ขายเครื่องสำอางไม่มีอย.มีโทษจำคุกหรือปรับ

ตามพ.ร.บ.เครื่องสำอาง กำหนดมาตรการคุ้มครองสิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยในการใช้เครื่องสำอางไว้เป็นการเฉพาะมาตรการสำคัญคือ “การจดแจ้งเครื่องสำอาง” ตามมาตรา 14 กำหนดให้เวลาก่อนที่เครื่องสำอางจะวางจำหน่ายในท้องตลาด ผู้จะผลิตหรือผู้จะนำเข้าเครื่องสำอางมาเพื่อขาย ต้องจดแจ้งรายละเอียดของเครื่องสำอางนั้นต่อเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อน เมื่อได้รับอนุญาต หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “ผ่านอย.” แล้ว จึงจะสามารถผลิตหรือนำเข้าเครื่องสำอางนั้นเพื่อขายได้ นอกจากนี้ในมาตรา 32 ยังกำหนดหน้าที่ผู้ขายว่า ห้ามขายเครื่องสำอางที่มิได้จดแจ้งอย.อีกด้วย

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่าเครื่องสำอางทุกตัวจะสามารถผ่านอย. ได้ง่ายๆ เพราะในมาตรา 17 กำหนดหน้าที่แก่เลขาธิการอย.ให้มีคำสั่งไม่รับจดแจ้งเครื่องสำอางหากปรากฏว่าเครื่องสำอางนั้นมีลักษณะ ดังนี้

1) เครื่องสำอางไม่ปลอดภัยในการใช้ กล่าวคือ เป็นเครื่องสำอางที่ผลิตหรือใช้ภาชนะบรรจุไม่ถูกสุขลักษณะจนอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้, มีสารสลายตัวรวมอยู่ซึ่งอาจทำให้เกิดพิษและเป็นอันตรายต่อผู้ใช้, มีสิ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้เจือปนอยู่ หรือมีวัตถุที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศว่าห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง

2) ชื่อเครื่องสำอาง ห้ามใช้ชื่อในทำนองโอ้อวด ไม่สุภาพ ทำให้เข้าใจผิดจากความเป็นจริง หรือเป็นชื่อที่ไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมอันดีงามของไทยหรือทำลายคุณค่าของภาษาไทย

มาตรการจดแจ้งเครื่องสำอาง เปรียบเสมือนประตูด่านแรกในการเข้าไปตรวจสอบและคัดกรองเครื่องสำอางก่อนจะปล่อยให้เครื่องสำอางนั้น ๆ ตกไปอยู่ในมือของผู้บริโภค เพราะเครื่องสำอางที่จะสามารถวางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดได้ต้องมีอย. เพื่อเป็นหลักประกันในเบื้องต้นว่าผู้ใช้เครื่องสำอางสามารถใช้เครื่องสำอางได้อย่างปลอดภัย

แม้ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าจะได้รับอนุญาตจดแจ้งเครื่องสำอาง แต่ก็อาจถูกเพิกถอนใบรับจดแจ้งในภายหลังได้ ถ้าหากเครื่องสำอางนั้นเป็นเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยในการใช้นั่นเองหรืออาจเป็นกรณีเครื่องสำอางนั้นเป็นเครื่องสำอางที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศว่าห้ามผลิต นำเข้า หรือขาย

พ.ร.บ.เครื่องสำอาง ยังกำหนดโทษทางอาญาแก่ผู้ประกอบการเครื่องสำอางที่ฝ่าฝืนหน้าที่ไว้ด้วย กรณีผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าเครื่องสำอางเพื่อขาย ไม่ได้จดแจ้งรายละเอียดเครื่องสำอางหรือไม่ได้รับใบจดแจ้งจากอย. มีโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 62)  กรณีผู้ที่ขายเครื่องสำอางโดยที่เครื่องสำอางนั้นไม่ผ่านอย. มีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท หากผู้ที่ขายเครื่องสำอางที่ไม่มีอย.นั้นเป็นผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าเครื่องสำอางเพื่อขาย หรือผู้รับจ้างผลิตเครื่องสำอาง มีโทษจำคุกไม่เกินสองเดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 78)

เช็คด่านสอง ดูฉลาก ส่องส่วนผสมผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจ

ต่อจากด่านแรกที่ต้องเช็คว่าเครื่องสำอางนั้นมีอย. หรือไม่ สิ่งถัดมาที่ผู้ใช้เครื่องสำอางต้องเช็คคงหนีไม่พ้นฉลากบนบรรจุภัณฑ์รวมไปถึงฉลากส่วนผสมเพื่อที่จะได้เลือกสรรผลิตภัณฑ์ที่ต้องโจทย์กับสภาพผิวหรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง

ในเบื้องต้น พ.ร.บ.เครื่องสำอาง มาตรา 22 กำหนดลักษณะของฉลากที่ผู้ผลิตเครื่องสำอางเพื่อขาย ผู้นำเข้าเครื่องสำอางเพื่อขาย และผู้รับจ้างผลิตเครื่องสำอางต้องจัดทำไว้ว่าต้องจัดทำฉลากให้มีลักษณะดังต่อไปนี้

  1. ใช้ข้อความที่ตรงต่อความจริง ไม่มีข้อความที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญของเครื่องสำอาง และไม่ใช้ข้อความที่ขัดต่อศีลธรรมหรือวัฒนธรรมอันดีงามของไทย
  2. ใช้ข้อความภาษาไทย และมีขนาดที่สามารถอ่านได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้อาจมีภาษาต่างประเทศด้วยก็ได้
  3. ต้องระบุชื่อเครื่องสำอางและชื่อทางการค้า, ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตเครื่องสำอาง แต่หากเป็นการนำเข้าเครื่องสำอาง ต้องระบุชื่อและที่ตั้งของผู้นำเข้า และชื่อผู้ผลิตและประเทศที่ผลิต, ปริมาณ วิธีใช้ ข้อแนะนำ คำเตือน เดือน ปีที่ผลิตและหมดอายุ เลขที่หรืออักษรแสดงครั้งที่ผลิต และชื่อของสารทุกชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิต, ข้อความอื่นเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้บริโภคตามที่คณะกรรมการเครื่องสำอางกำหนด

ในรายละเอียด คณะกรรมการเครื่องสำอางได้กำหนดลักษณะของฉลากในส่วนของรายละเอียดเพิ่มเติมไว้ในประกาศคณะกรรมการเครื่องสำอาง เรื่องฉลากของเครื่องสำอาง พ.ศ.2562 โดยฉลากที่ปรากฏบนบรรจุภัณฑ์ของเครื่องสำอาง ต้องแสดงรายละเอียดดังต่อไปนี้

  1. ชื่อเครื่องสำอางและชื่อทางการค้าของเครื่องสำอางต้องมีขนาดใหญ่กว่าข้อความอื่น
  2. ต้องระบุประเภทหรือชนิดของเครื่องสำอาง
  3. ชื่อของสารทุกชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตต้องเป็นชื่อตามตำราที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาประกาศกำหนด โดยแสดงเป็นชื่อ INCI Name (International Nomenclature of Cosmetic Ingredients) ส่วนสีที่ใช้เป็นส่วนผสมเครื่องสำอางให้แสดงเป็น CI No. (Color Index Number) หรือในกรณีที่ไม่มี CI No. สามารถแสดงเป็นชื่อสีได้
  4. แสดงชื่อของสารที่มีความเข้มข้นมากกว่าร้อยละ 1 เรียงลำดับตามปริมาณของสารจากมากไปหาน้อยก่อน แล้วตามด้วยสีที่อาจใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง ส่วนสารที่มีความเข้มข้นน้อยกว่าร้อยละ 1 ไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับตามปริมาณของสารจากมากไปหาน้อย
  5. กรณีที่มีการใช้สารอนุภาค nano เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง ให้ระบุข้อความ “(nano)” ต่อท้ายชื่อสาร
  6. เครื่องสำอางที่มีวันหมดอายุน้อยกว่า 30 เดือนนับจากวันที่ผลิต ต้องแสดงวันหมดอายุที่ฉลากของเครื่องสำอางทุกผลิตภัณฑ์ ส่วนเครื่องสำอางที่มีวันหมดอายุมากกว่า 30 เดือนนับจากวันที่ผลิตจะแสดงวันหมดอายุหรือไม่ก็ได้
  7. เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของ Hydrogen peroxide, เครื่องสำอางป้องกันแสงแดดที่มีส่วนผสมของ Avobenzone ต้องแสดงวันหมดอายุที่ฉลากของเครื่องสำอาง ไม่ว่าเครื่องสำอางนั้นจะมีอายุการใช้น้อยกว่าหรือมากกว่า 30 เดือนนับจากวันผลิตก็ตาม
  8. แสดงเลขที่ใบรับจดแจ้งเครื่องสำอางเป็นเลข 10 หลัก หรือ 13 หลัก ตามที่ได้จดแจ้งไว้

นอกจากนี้คณะกรรมการเครื่องสำอางยังได้ออกประกาศเกี่ยวกับคำเตือนเกี่ยวกับการใช้เครื่องสำอางซึ่งต้องแสดงไว้บนฉลากเครื่องสำอางอีกด้วย โดยออกประกาศแยกไปตามชนิดของเครื่องสำอาง เช่น คำเตือนเกี่ยวกับการใช้เครื่องสำอางที่มีวัตถุกันเสีย คำเตือนเกี่ยวกับการใช้เครื่องสำอางที่มีสารป้องกันแสงแดด คำเตือนเกี่ยวกับการใช้เครื่องสำอางย้อมผิวให้เป็นสีแทน

กรณีของครีมกันแดดซึ่งเป็นเครื่องสำอางที่ต้องใช้ในรูทีนประจำวันนั้น คณะกรรมการเครื่องสำอาง ได้ออกประกาศ เรื่อง การแสดงค่าความสามารถในการป้องกันแสงแดด ของเครื่องสําอางที่มีสารป้องกันแสงแดด พ.ศ. 2560 กำหนดรายละเอียดเรื่องนี้ไว้โดยเฉพาะ สรุปได้ดังนี้

๐ การแสดงค่าความสามารถในการป้องกันรังสียูวี หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “ค่า SPF” (Sun Protection Factor) ถ้าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีค่า SPF ต่ำกว่า 50 ก็ต้องระบุค่า SPF ไว้ตามจริง แต่ถ้าผลิตภัณฑ์นั้นมีค่า SPF สูง ตั้งแต่ 50 ขึ้นไป สามารถแสดงเป็นระดับของประสิทธิภาพ หรือแสดงเป็น SPF 50+ ดังนั้น บรรดาครีมกันแดดที่วางขายในท้องตลาดและมีระบุบนฉลากว่า SPF 50+ บางตัวก็อาจจะมีค่า SPF สูงกว่า 50 มาก หรือบางตัวอาจจะอยู่ที่ 50 ซึ่งผู้บริโภคก็ต้องเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานของตนเอง

กรณีที่ครีมกันแดดนั้นไม่มีการทดลอง หรือผลการทดสอบแล้วได้ค่า SPF ต่ำกว่า 6 ประกาศฉบับนี้กำหนดห้ามไม่ให้แสดงคำว่า “SPF” หรือแสดงข้อความใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับค่าความสามารถในการป้องกันแสงแดด ดังนั้น ครีมกันแดดตัวไหนที่ฉลากไม่ได้ระบุค่า SPF ไว้ ก็รู้ได้เลยว่ามีความสามารถในการกันแดดต่ำกว่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนดไว้มากหรือไม่ได้ทดลอง

๐ การแสดงค่าความสามารถในการป้องกันการดําคล้ำของผิวหนังที่เกิดจากการสัมผัสรังสียูวีเอ (UVAPF) ซึ่งจะปรากฏออกมาในรูปแบบของการแสดงค่า “PA” ยิ่งเครื่องหมายบวก (+) ที่อยู่หลัง PA มีจำนวนหลายตัว ยิ่งสะท้อนระดับของประสิทธิภาพในการป้องกัน UVA ที่สูง ถ้าระดับประสิทธิภาพต่ำ ตั้งแต่ 2 แต่ไม่ถึง 4 จะแสดงค่าเป็น PA+ ถ้าประสิทธิภาพระดับกลาง ตั้งแต่ 4 แต่ไม่ถึง 8 จะแสดงค่าเป็น PA++ ถ้าระดับประสิทธิภาพสูง ตั้งแต่ 8 ขึ้นไปแต่ไม่ถึง 16 จะแสดงเป็น PA+++ แต่ถ้าค่าป้องกัน UVA อยู่ในระดับสูงมาก ตั้งแต่ 16 ขึ้นไป จะเป็น PA++++

๐ การแสดงความสามารถในการกันน้ำ กรณีครีมกันแดดที่ผ่านการทดสอบกันน้ำรวมทั้งสิ้นได้ที่ 40 นาที สามารถแสดงค่าความสามารถในการกันน้ำได้ว่า “Water resistance” แต่ถ้าทดสอบกันน้ำได้ถึง 80 นาที ก็สามารถระบุบนฉลากได้ว่า “Very water resistance”

เนื่องจากการสิ่งที่กฎหมายกำหนดให้ระบุบนฉลากล้วนเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นหลักประกันสิทธิของผู้บริโภคอย่างหนึ่ง พ.ร.บ. เครื่องสำอาง จึงกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนไว้ด้วย โดยแบ่งได้เป็นสองกลุ่ม ดังนี้

1. บทกำหนดโทษแก่ผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้รับจ้างผลิตเครื่องสำอาง

– กรณีบุคคลดังกล่าวไม่จัดทำฉลากเครื่องสำอาง หรือจัดทำฉลากเครื่องสำอาง แต่ฉลากนั้นมีข้อความที่ไม่ตรงต่อความจริง หรือมีข้อความที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับเครื่องสำอาง หรือมีข้อความที่ขัดต่อศีลธรรมหรือวัฒนธรรมอันดีงามของไทย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 67 วรรคหนึ่ง)

– กรณีบุคคลดังกล่าวจัดทำฉลากเครื่องสำอาง แต่ฉลากนั้นไม่ได้มีลักษณะตามที่พ.ร.บ.เครื่องสำอาง มาตรา 22 วรรค 2 (2) และ (3) กำหนดไว้ เช่น ไม่ได้ใช้ข้อความภาษาไทย ไม่ได้ระบุชื่อเครื่องสำอาง ไม่ได้ระบุเดือน ปี ที่ผลิตและหมดอายุ บุคคลนั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 68 วรรคหนึ่ง)

2. บทกำหนดโทษแก่ผู้ขายเครื่องสำอาง

– กรณีบุคคลดังกล่าวขายเครื่องสำอางที่ไม่จัดทำฉลาก หรือขายเครื่องสำอางที่จัดทำฉลากแต่ฉลากนั้นมีข้อความที่ไม่ตรงต่อความจริง หรือมีข้อความที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับเครื่องสำอาง หรือมีข้อความที่ขัดต่อศีลธรรมหรือวัฒนธรรมอันดีงามของไทย บุคคลนั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับตาม (มาตรา 67 วรรค 2)

– กรณีบุคคลดังกล่าวขายเครื่องสำอางที่จัดทำฉลาก แต่ฉลากนั้นไม่ได้มีลักษณะตามที่พ.ร.บ.เครื่องสำอาง มาตรา 22 วรรค 2 (2) และ (3) กำหนดไว้ เช่นไม่ได้ใช้ข้อความภาษาไทย ไม่ได้ระบุชื่อเครื่องสำอาง ไม่ได้ระบุเดือน ปี ที่ผลิตและหมดอายุ บุคคลนั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 68 วรรค 2)

เช็คด่านสาม โฆษณาเครื่องสำอางต้องไม่ “โอเวอร์” เกินจริง

พ.ร.บ.เครื่องสำอาง มาตรา 41 และมาตรา 42 กำหนดมาตรการในการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคหรือผู้ใช้เครื่องสำอางจากการโฆษณาเครื่องสำอาง ให้การโฆษณาเครื่องสำอางต้องไม่ใช้ข้อความที่ไม่เป็นธรรมหรือข้อความที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมเป็นส่วนรวม และวิธีการโฆษณาเครื่องสำอางก็ต้องไม่กระทำด้วยวิธีการอันอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ร่างกายหรือจิตใจ หรือขัดต่อศีลธรรมอันดีงามของประชาชน หรืออาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้บริโภคหรือผู้ใช้เครื่องสำอาง

ตัวอย่างการโฆษณาเครื่องสำอางที่ฝ่าฝืนกฎหมาย เช่น

– ใช้ข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินความจริง

– ใช้ข้อความที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะกระทำโดยใช้หรืออ้างอิงรายงานทางวิชาการ สถิติ หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอันไม่เป็นความจริงหรือเกินความจริงหรือไม่ก็ตาม

– ใช้ข้อความที่แสดงสรรพคุณที่เป็นการรักษาโรคหรือที่มิใช่จุดมุ่งหมายเป็นเครื่องสำอาง เช่น ข้อความที่บอกว่าเครื่องสำอางนั้นสามารถป้องกันการอักเสบของสิว บรรเทาอาการระคายเคือง ลดอาการอักเสบจากโรคเหงือก

– ใช้ข้อความที่ทำให้เข้าใจว่ามีสรรพคุณบำรุงกาม เช่นข้อความที่บอกว่าเครื่องสำอางนั้นช่วยให้อวัยวะเพศชายแข็งตัวมีชีวิตชีวา เพิ่มระยะเวลาในการแข็งตัว ช่วยให้สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้นานขึ้นในแต่ละครั้ง

– ใช้ข้อความที่เป็นการสนับสนุนโดยตรงหรือโดยอ้อมให้มีการกระทำผิดกฎหมายหรือศีลธรรมหรือนำไปสู่ความเสื่อมเสียในวัฒนธรรมของชาติ

– การโฆษณาโดยสื่อความหมายว่าผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรองคุณภาพจากอย. หรือกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เช่น ระบุว่าผลิตภัณฑ์ช่วยแก้ทุกปัญหาผิว ผ่านการรับรองจากอย. ซึ่งการระบุเช่นนี้อาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่าอย. เข้าไปรับรอง “เชิงคุณภาพ” ของผลิตภัณฑ์ ทั้งๆ ที่อย. มีส่วนเกี่ยวข้องแค่ในขั้นตอนการจดแจ้งเครื่องสำอาง (ที่มีเลขาธิการอย. เป็นผู้รับจดแจ้ง) หากเครื่องสำอางนั้นไม่ปลอดภัยในการใช้ หรือชื่อไม่เหมาะสม ก็จะไม่รับจดแจ้ง แต่ไม่ได้ดูไปถึงคุณภาพของสินค้านั้นๆ

ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแต่ละประเภท ก็มีแนวทางในการใช้คำโฆษณาที่แตกต่างกันออกไปในรายละเอียด เช่น เครื่องสำอางกลุ่มไวท์เทนนิ่ง ก็ควรเลี่ยงการใช้คำโฆษณาว่าผลิตภัณฑ์สามารถเปลี่ยนแปลงหรือทำให้สีผิวขาวขึ้นมากกว่าหรือแตกต่างจากสีผิวเดิมตามธรรมชาติ โดยสามารถดูรายละเอียดได้ในคู่มือการโฆษณาเครื่องสำอางของอย.

พ.ร.บ.เครื่องสำอาง ยังได้กำหนดมาตรการในการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคหรือผู้ใช้เครื่องสำอางจากการโฆษณาในเชิงแก้ไขไว้อีกด้วย โดยให้อำนาจแก่เลขาธิการอย. สามารถออกคำสั่งให้ผู้โฆษณาแก้ไขข้อความหรือวิธีการโฆษณา ให้โฆษณาแก้ไขความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้นแก่ผู้บริโภคหรือผู้ใช้เครื่องสำอาง หรือแม้แต่ห้ามการโฆษณาหรือห้ามการโฆษณาโดยใช้วิธีการนั้น ๆ ก็ได้ หากเห็นว่าการโฆษณาเครื่องสำอางดังกล่าวเป็นการโฆษณาโดยใช้ข้อความหรือวิธีการที่ขัดกับพ.ร.บ.เครื่องสำอาง

กรณีผู้โฆษณาเครื่องสำอางได้รับคำสั่งจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาให้ดำเนินการโฆษณาแก้ไขความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้นแก่ผู้บริโภคหรือผู้ใช้เครื่องสำอาง ผู้โฆษณาเครื่องสำอางต้องปฏิบัติตามระเบียบคณะกรรมการเครื่องสำอางว่าด้วยการโฆษณาเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดของผู้บริโภคที่อาจเกิดขึ้นจากการโฆษณาเครื่องสำอาง พ.ศ.2561 ด้วย

กรณีผู้โฆษณาเครื่องสำอางโฆษณาโดยใช้ข้อความที่ไม่เป็นธรรมหรือข้อความที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมเป็นส่วนรวม หรือใช้วิธีการโฆษณาเครื่องสำอางอันอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ร่างกายหรือจิตใจ หรือขัดต่อศีลธรรมอันดีงามของประชาชน หรืออาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้บริโภคหรือผู้ใช้เครื่องสำอาง หรือกรณีผู้โฆษณาที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเลขาธิการอย.ที่มีคำสั่งให้ผู้โฆษณาแก้ไขข้อความหรือวิธีการโฆษณา หรือให้โฆษณาแก้ไขความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้นแก่ผู้บริโภคหรือผู้ใช้เครื่องสำอาง หรือห้ามการโฆษณาหรือห้ามการโฆษณาโดยใช้วิธีการนั้น ๆ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับตามพ.ร.บ.เครื่องสำอาง มาตรา 84 และมาตรา 85

ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้รับจ้างผลิตเครื่องสำอาง ต้องทำรายงานอาการไม่พึงประสงค์ร้ายแรงจากการใช้เครื่องสำอางส่งอย.

มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องการรับแจ้งและการรายงานอาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้เครื่องสำอาง พ.ศ.2562 กำหนดหน้าที่แก่ผู้ผลิต ผู้นำเข้าเครื่องสำอางเพื่อขาย หรือผู้รับจ้างผลิตเครื่องสำอางต้องจัดทำและรวบรวมรายงานอาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้เครื่องสำอางไว้ และส่งรายงานอาการอันไม่พึงประสงค์ชนิดร้ายแรงจากการใช้เครื่องสำอางซึ่งได้แก่เสียชีวิต มีอันตรายถึงชีวิต ต้องเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายอย่างถาวรหรือทุพพลภาพ ต่ออย. หากผู้ผลิต ผู้นำเข้าเครื่องสำอางเพื่อขาย หรือผู้รับจ้างผลิตเครื่องสำอางไม่ปฏิบัติตาม ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาทตามพ.ร.บ.เครื่องสำอาง มาตรา 63

ในแง่นี้จะเห็นได้ว่าการที่ผู้ประกอบการเครื่องสำอางจะจัดทำและรวบรวมรายงานอาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้เครื่องสำอางได้ แปลว่าผู้ประกอบการเครื่องสำอางจะต้องมีระบบรับรายงานอาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้เครื่องสำอางของผู้บริโภคหรือผู้ใช้เครื่องสำอางด้วย

ได้รับความเสียหายจากการใช้เครื่องสำอาง ร้องเรียนสคบ. ได้

พ.ร.บ.เครื่องสำอาง ไม่มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการรับเรื่องราวร้องทุกข์ การเยียวยาหรือชดเชยความเสียหาย รวมถึงไม่ได้กำหนดหน่วยงานรับเรื่องราวร้องทุกข์จากผู้ใช้เครื่องสำอางไว้โดยตรง แต่เครื่องสำอางก็ถูกจัดเป็น “ผลิตภัณฑ์สุขภาพ”  ซึ่งอยู่ในความดูแลของอย. ด้วย ผู้บริโภคหรือผู้ใช้เครื่องสำอางซึ่งได้รับอันตรายจากการใช้เครื่องสำอาง หรือแม้แต่ยังไม่ได้รับอันตรายแต่พบเห็นการผลิต นำเข้าเครื่องสำอางปลอม เครื่องสำอางที่ถูกห้ามผลิตหรือห้ามนำเข้า รวมถึงพบการโฆษณาที่อาจทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับเครื่องสำอาง ก็สามารถร้องเรียนเรื่องดังกล่าวนั้นต่ออย. ตามช่องทางดังต่อไปนี้

            – สายด่วนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) 1556

            – โทรศัพท์ 0 2590 1556

            – ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004

            – อีเมล [email protected]

            – Oryor Smart Application เมนูร้องเรียน

            – https://oryor.com/oryor2015/complain.php

            – ร้องเรียนด้วยตนเองที่ “ศูนย์จัดการเรื่องร้องเรียนและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ” สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรณีอยู่ต่างจังหวัดสามารถร้องเรียนได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่

ทั้งนี้ ผู้ร้องเรียนจะต้องระบุรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับเครื่องสำอางนั้น ๆ ประกอบสำหรับการตรวจสอบด้วย เช่น ชื่อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง สถานที่ผลิตหรือจำหน่ายเครื่องสำอาง หรือตัวอย่างเครื่องสำอางที่มีปัญหา เป็นต้น

นอกจากนี้ผู้บริโภคหรือผู้ใช้เครื่องสำอางที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการใช้เครื่องสำอางอาจดำเนินการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 โดยการร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้ผ่านทาง “ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์” ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)  ด้วยวิธี ดังนี้

            – ร้องเรียนด้วยตนเอง ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ สคบ. ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ชั้น 1 (ฝั่งทางทิศใต้) ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10120

            – ส่งจดหมายไปที่ สคบ. ป.ณ. 99 กรุงเทพฯ 10300

            – สายด่วนร้องทุกข์โทร. 1166

            – ร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ https://complaint.ocpb.go.th/

โดยคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคอาจเรียกหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับความเดือดร้อนเสียหายนั้นตามที่ผู้บริโภคหรือผู้ใช้เครื่องสำอางอ้าง ตลอดจนอาจเรียกให้บุคคลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงกับคณะกรรมการด้วยก็ได้ เพื่อใช้ประกอบในการพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์นั้น ๆ อันจะนำไปสู่ขั้นตอนการดำเนินการจัดให้มีการไกล่เกลี่ยหรือประนีประนอมข้อพิพาทเพื่อให้ข้อพิพาทหรือข้อโต้แย้งระหว่างผู้ประกอบการและผู้บริโภคหรือผู้ใช้เครื่องสำอางจบลงโดยไม่ต้องไปฟ้องคดีต่อศาลโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้บริโภคหรือผู้ใช้เครื่องสำอางได้รับการเยียวยาความเสียหายโดยเร็วที่สุด

แต่หากผู้บริโภคหรือผู้ใช้เครื่องสำอางซึ่งได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการใช้เครื่องสำอางของผู้ประกอบการและผู้ประกอบการไม่สามารถไกล่เกลี่ยหรือประนีประนอมข้อพิพาทที่เกิดขึ้นได้ คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคก็มีอำนาจในการดำเนินคดีเกี่ยวกับการละเมิดสิทธินั้นแทนผู้บริโภคหรือผู้ใช้เครื่องสำอางที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายได้ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 มาตรา 10 (7) และมาตรา 39

การดำเนินคดีแทนผู้บริโภคหรือผู้ใช้เครื่องสำอางที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการใช้เครื่องสำอางนั้นนอกจากคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคจะมีอำนาจดำเนินการแล้ว พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 ก็ยังให้อำนาจแก่สมาคมหรือมูลนิธิที่มีวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองผู้บริโภคหรือต่อต้านการแข่งขันอันไม่เป็นธรรมทางการค้าซึ่งได้รับการรับรองจากคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสามารถดำเนินการได้ และล่าสุดพระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562 ก็ได้ให้อำนาจแก่สภาองค์กรของผู้บริโภคสามารถดำเนินคดีแทนผู้บริโภคได้ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ก็ได้สร้างระบบวิธีพิจารณาคดีรูปแบบพิเศษสำหรับ “คดีผู้บริโภค” ซึ่งแตกต่างจากระบบวิธีพิจารณาคดีแพ่งสามัญ เพื่อเอื้อต่อการใช้สิทธิเรียกร้องของผู้บริโภค เช่นการกำหนดให้การฟ้องคดีผู้บริโภคสามารถฟ้องคดีด้วยวาจาได้ หรือการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมให้แก่ผู้บริโภค ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภคที่จะสามารถใช้สิทธิเรียกร้องของตนได้อย่างรวดเร็ว ประหยัด และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น