“ซ้ำซ้อน-สิ้นเปลือง-สืบทอดอำนาจ” เหตุผลของการยุบวุฒิสภา
หนึ่ง วุฒิสภาทำหน้าที่ซ้ำซ้อนกับสภาผู้แทนราษฎร
สอง วุฒิสภากลายเป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจ
สาม การมีวุฒิสภาทำให้สิ้นเปลืองเงินงบประมาณ
“ระบบเลือกตั้ง-การมีส่วนร่วม” ความท้าทายของระบบสภาเดี่ยว
แม้ว่าข้อเสนอสภาเดี่ยวจะมีจุดแข็งในเรื่องของการลดความซ้ำซ้อน เพิ่มความคล่องตัวในการทำหน้าที่ออกกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ก็ไม่ได้การันตีว่า การพิจารณากฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ในข้อเสนอของ ‘ธนาวุฒิ สิริผดุงชัย’ ผู้จัดทำวิทยานิพนธ์ในหัวข้อ “ระบบสภาเดี่ยว : ทางเลือกของระบบรัฐสภาไทย” จึงเสนอว่า ควรปรับปรุงหน่วยงานร่างกฎหมายของรัฐสภาให้มีคณะทำงานที่จะต้องมีผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ อาจารย์ในมหาวิทยาลัยหรือผู้มีประสบการณ์ในด้านนั้นๆ เข้ามามีส่วนร่วมยกร่างกฎหมาย และยังต้องมีหน่วยงานให้บริการข้อมูลด้านกฎหมายแก่ประประชาชน
อีกทั้ง ยังเสนอให้มีการใช้กระบวนการนิติบัญญัติแบบพิเศษ เช่น หากเป็นร่างกฎหมายที่มีความสำคัญอย่างยิ่งหรืออาจมีผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง เช่น ร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชนหรือร่างกฎหมายเกี่ยวกับนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ร่างกฎหมายนั้นต้องผ่านกระบวนการตรากฎหมายที่ซับซ้อนขึ้น เช่น ให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญจำนวน 30-50 คน ซึ่งประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญในด้านที่เกี่ยวข้องกับเพื่อทำงานร่วมกับคณะกรรมการสามัญที่รับผิดชอบร่างกฎหมายนั้น และคณะกรรมาธิการร่วมนี้มีหน้าที่จัดการรับฟังความคิดเห็นของสาธารณะ ตลอดจนศึกษาผลกระทบของร่างกฎหมายที่อาจมีต่อประชาชนและนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์นำเสนอต่อรัฐสภาอีกครั้ง
สำหรับการถ่วงสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหาร ‘ธนาวุฒิ สิริผดุงชัย’ เสนอให้เพิ่มบทบาทและอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินในการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล อีกทั้ง ต้องสร้างหลักประกันเรื่องความเป็นอิสระและการตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกันในกระบวนการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ โดยอาจจะใช้ระบบคณะกรรมการสรรหาที่มาจากสามฝ่าย ได้แก่ พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล พรรคการเมืองฝ่ายค้าน และกรรมการสรรหาอีกจำนวนหนึ่งที่มาจากความตกลงร่วมกันของพรรคฝ่ายค้านและรัฐบาล
นอกจากนี้ เพื่อให้รัฐสภามีหลักประกันสำหรับเสียงส่วนน้อย หรือเพื่อเป็นหลักประกันให้กับกลุ่มผลประโยชนืบางกลุ่ม เพื่อให้อำนาจนิติบัญญัติมีความหลากหลายมากพอ จึงควรมีการนำนำระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม หรือ Mixed Member Proportional (MMP) ซึ่งใช้ในประเทศเยอรมันและนิวซีแลนด์มาใช้ เพราะระบบเลือกตั้งดังกล่าวมีข้อดีที่สะท้อนเจตจำนงของประชาชนที่แสดงออกผ่านกระบวนการเลือกตั้งได้ดีที่สุด เพราะยังคงมี ส.ส. ทั้งแบบแบ่งเขต และ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ แต่ทว่า การคำนวณจำนวนที่นั่งของ ส.ส. ของแต่ละพรรคให้คำนวนจากคะแนนเสียงที่พรรคการเมืองได้รับจากประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งระบบเลือกตั้งดังกล่าวได้รับความยอมรับในเรื่องของการตอบสนองความหลากหลายของกลุ่มผลประโยชน์ และยังทำให้การเมืองมีเสถียรภาพ