ฝ่ายอนุรักษ์นิยมหวังยืมมือศาลรัฐธรรมนูญ “ล้มกระดาน” ม็อบคณะราษฎร

การชุมนุมใหญ่หลายครั้งในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ข้อเรียกร้องหลักของผู้ชุมนุมนอกเหนือจากการเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดคุกคามประชาชน ยุบสภา และแก้รัฐธรรมนูญ คือ การเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ โดยปรากฏการณ์ “ขยับเพดาน” เริ่มตั้งแต่ “ทนายอานนท์ นำภา” กล่าวปราศรัยถึงปัญหาของอำนาจและบทบาทของสถาบันกษัตริย์ จนมาถึงการชุมนุมในวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ที่มีข้อเรียกร้องต่อการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์จำนวน 10 ข้อ

อย่างไรก็ดี การขยับเพดานของประชาชนในครั้งนี้ ทำให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยม นำโดย “ณฐพร โตประยูร” อดีตนักร้อง(เรียน)ที่เคยยื่นเรื่องยุบพรรคอนาคตใหม่มาก่อน ได้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้ง โดยความฝันอันสูงสุดในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การสกัดการชุมนุมของประชาชน แต่เป็นความพยายามในการ “ล้มกระดาน” การจัดชุมนุมของกลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน ที่เรียกตัวเองว่า “คณะราษฎร” โดยหวังยืมมือศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ตัดสินชี้ชะตา

Monarchy Protection

ฟ้องม็อบนักศึกษา: 7 ชุมนุม – 2 คำร้อง – 1 ข้อกล่าวหา 

นับตั้งแต่การชุมนุมเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2563 หรือในชื่อม็อบ “เสกคาถาปกป้องประชาธิปไตย” ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กรุงเทพฯ ที่มี ‘ทนายอานนท์ นำภา’ เป็นผู้เริ่มต้นปราศรัยขยับเพดานเพื่อสะท้อนปัญหาที่เกี่ยวกับบทบาทและอำนาจของสถาบันกษัตริย์ ทำให้เกิดการชุมนุมที่มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์อำนาจและบทบาทของสถาบันกษัตริย์อย่างน้อย 6 ม็อบ ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม และนำไปสู่การยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุติการกระทำดังกล่าวถึง 2 ครั้ง

ผู้ที่ยื่นคำร้องคนแรก คือ ‘ณฐพร โตประยูร’ ผู้ซึ่งเคยยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้สั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ในคดีล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่รู้จักในชื่อคดี “อิลลูมินาติ” โดยการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตัดสินคดีม็อบนักศึกษาในคดีก็ยังอิงกับบทบัญญัติเดิมของรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ตามมาตรา 49 ที่บัญญัติว่า

      “มาตรา ๔๙ บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้

       ผู้ใดทราบว่ามีการกระทําตามวรรคหนึ่ง ย่อมมีสิทธิร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทําดังกล่าวได้

       ในกรณีที่อัยการสูงสุดมีคําสั่งไม่รับดําเนินการตามที่ร้องขอ หรือไม่ดําเนินการภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคําร้องขอ ผู้ร้องขอจะยื่นคําร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ได้

       การดําเนินการตามมาตรานี้ไม่กระทบต่อการดําเนินคดีอาญาต่อผู้กระทําการตามวรรคหนึ่ง”

ทั้งนี้ ในคำร้องของณฐพร โตประยูร ระบุถึงการชุมนุมจำนวน 6 ครั้ง ที่มีการปราศรัยในเนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ซึ่งเข้าข่ายล้มล้างการปกครองฯ ดังนี้

  • 3 สิงหาคม – เวที “เสกคาถาปกป้องประชาธิปไตย” อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กทม. อ้างถึงคำปราศรัยของอานนท์ นำภา
  • 9 สิงหาคม – เวที “เชียงใหม่จะไม่ทน” จ.เชียงใหม่ อ้างถึงคำปราศรัยของอานนท์ นำภา
  • 10 สิงหาคม – เวที “ธรรมศาสตร์จะไม่ทน” มธ. ศูนย์รังสิต จ.ปทุมธานี อ้างถึงคำปราศรัยของอานนท์ นำภา, ภาณุพงศ์ จาดนอก, ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล
  • 20 สิงหาคม – เวที “ขอนแก่นพอกันที” จ.ขอนแก่น อ้างถึงคำปราศรัยของพริษฐ์ ชิวารักษ์
  • 21 สิงหาคม – เวที “อยุธยาไม่สิ้นประชาธิปไตย” จ.พระนครศรีอยุธยา อ้างถึงคำปราศรัยของพริษฐ์ ชิวารักษ์
  • 30 สิงหาคม – เวที “สมุทรปราการดีดนิ้วไล่เผด็จการ” จ.สมุทรปราการ อ้างถึงคำปราศรัยของพริษฐ์ ชิวารักษ์, จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์, สิริพัชระ จึงธีรพานิช, สมยศ พฤกษาเกษมสุข และอาทิตยา พรพรม

โดยคำร้องของณฐพรระบุว่า ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ และขอให้ศาลมีคำสั่งให้คณะบุคคลเลิกการกระทำดังกล่าว

ส่วนผู้ที่ยื่นคำร้องที่สอง คือ สนธิญา สวัสดี (ผู้ร้อง) อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 เช่นเดียวกับณฐพร เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการชุมนุมของนิสิต นักศึกษาและกลุ่มเยาวชนปลดแอก (Free Youth) ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2563 และการชุมนุมในวันที่ 10 สิงหาคม ของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม เข้าข่ายล้มล้างการปกครองฯ หรือไม่ และขอให้ศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราวโดยไม่ให้มีการชุมนุมจนกว่าจะพิจารณาคดีนี้เสร็จสิ้น

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับพิจารณาแค่ม็อบ “10 สิงหาฯ” เรื่องเดียว

วันที่ 16 กันยายน 2563 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องของณฐพร โตประยูร ไว้พิจารณา โดยรับไว้เฉพาะกรณีการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ที่งานชุมนุม “ธรรมศาสตร์จะไม่ทน” เนื่องจากศาลไม่เห็นว่า ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด อันเป็นเหตุที่จะยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ ตามมาตรา 49 ก่อน ดังนั้นจึงรับพิจารณาแค่บางการชุมนุม

ทั้งนี้ ศาลได้ให้ผู้ถูกร้อง 3 คน ได้แก่ อานนท์ นำภา, ภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง แกนนำกลุ่ม “เยาวชนภาคตะวันออก” และ ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง แกนนำกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง และมีคำสั่งให้อัยการสูงสุด (อสส.) แจ้งผลการดำเนินการและส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งเช่นกัน

ส่วนคดีที่สนธิญาได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญไปนั้น ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งไม่รับคำร้อง เนื่องจากพิจารณาคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องยังไม่เพียงพอ เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณา ให้แสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่

“ล้มกระดานม็อบคณะราษฎร” ความฝันอันสูงสุดของฝ่ายอนุรักษ์นิยม

ณฐพร โตประยูร ให้สัมภาษณ์ผ่านสำนักข่าวบีบีซีไทยไว้ก่อนหน้านี้ ถึงความต้องการที่จะเปิดโปงเบื้องหลังขบวนการนักศึกษา และใช้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นฐานในการดำเนินคดีอาญาและเอาผิดทางวินัยกับ “ผู้ร่วมขบวนการ 10 สิงหา” เขายังได้กล่าวอีกว่า หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการชุมนุมเมื่อ 10 ส.ค. เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ศาลก็จะสั่งให้ยกเลิกการกระทำ นั่นเท่ากับว่ากลุ่ม “ผู้สมรู้ร่วมคิด” หรือ “ผู้สนับสนุน” จะเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายทันที

ด้าน ภาวิณี ชุมศรี ทนายความของแกนนำนักศึกษา เปิดเผยว่า มีความประหลาดใจหลังศาลรัฐธรรมนูญรับคดีดังกล่าวไว้พิจารณา เนื่องจากตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 แท้จริงแล้วมีเจตนาให้ยกเลิกการกระทำนั้นๆ แต่ในคดีดังกล่าวต้องถือว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ได้จบลงไปแล้ว เพราะยุติการชุมนุมแล้ว

ทนายความให้ความเห็นด้วยว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาไม่ถือเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะการล้มล้างนั้นหมายถึง การทำให้ไม่มี เมื่อพิจารณาจากข้อเรียกร้องทั้ง 10 ประการของผู้ถูกร้องแล้ว ก็ไม่มีความตอนใดที่เรียกร้องให้เปลี่ยนระบอบการปกครองจากระบอบเดิมไปเป็นระบอบอื่น ฉะนั้นจึงคิดว่าศาลน่าจะมีคำวินิจฉัยให้ยกคำร้องเสียมากกว่า

อีกทั้งการที่ศาลจะมีคำสั่งให้หยุดหรือเลิกการชุมนุมตามคำขอของผู้ร้องได้นั้น ศาลจะต้องฟังให้ได้เสียก่อนว่าการกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการล้มล้างการปกครองฯ ตามมาตรา 49 ถ้าหากฟังไม่ได้ว่าเข้าข่ายการล้มล้างการปกครองฯ ก็ย่อมไม่อาจสั่งให้เลิกการกระทำหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นได้

ส่วนประเด็นผลกระทบต่อเนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ทนายความเห็นว่า โดยหลักกฎหมายแล้ว คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันองค์กรของรัฐก็จริงแต่ไม่มีผลผูกพันไปถึงคำพิพากษาในคดีใดคดีหนึ่ง การที่จะบอกว่า เมื่อมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาว่าเป็นการล้มล้างการปกครองฯ แล้วการกระทำอื่นจะผิดกฎหมายโดยอัตโนมัตินั้น คิดว่าไม่ถูกต้อง เพราะกฎหมายแต่ละเรื่องมีองค์ประกอบที่แตกต่างกัน หากจะบอกว่าเป็นความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 116 ทันทีเมื่อมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมา ก็จะเป็นการข้ามขั้นตอนของพนักงานสอบสวน ซึ่งถือว่าไม่เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

You May Also Like
อ่าน

กสม.ชี้หน่วยงานรัฐไทยเอี่ยวใช้สปายแวร์เพกาซัส ชงครม.สั่งสอบ-เรียกเอกสารลับ

กสม. เชื่อว่า มีการใช้สปายแวร์ เพกาซัสละเมิดสิทธิจริง โดยพิจารณาจากความน่าเชื่อถือของการตรวจสอบทางเทคนิคคอมพิวเตอร์ และบริบทแวดล้อมในต่างประเทศ นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า หน่วยงานรัฐไทยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้สปายแวร์
อ่าน

ศาลรธน. ไม่รับคำร้อง ปมรัฐสภาถามเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทำประชามติกี่ครั้ง ทำตอนไหน

17 เมษายน 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเไม่รับคำร้องที่รัฐสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาว่า รัฐสภาจะมีอำนาจในการพิจารณาแก้รัฐธรรมนูญได้เลยหรือต้องทำประชามติก่อน