รับมือโควิดในฟินแลนด์: เปิดเผยตัวเลขการตรวจหาเชื้อ ไม่คัดกรองโดยวัดอุณหภูมิ

เรื่องโดย
วิกานดา ติโมเนน

 

ถึงแม้ว่าฟินแลนด์จะพบผู้ติดเชื้อคนแรกเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนในแลปแลนด์ ทางเหนือของประเทศ ในวันที่ 29 ม.ค. ซึ่งเป็นช่วงตรุษจีนที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก แต่คนไข้ดังกล่าวได้หายจากอาการป่วยและออกจากโรงพยาบาลในวันที่ 5 ก.พ. การระบาดของไวรัสโคโรน่าในฟินแลนด์เริ่มขึ้นจริงในปลายเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดเรียนหน้าหนาว 1 สัปดาห์ของนักเรียน โดยวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พบผู้ป่วยชาวฟินส์รายแรก เป็นหญิงที่กลับมาจากมิลาน ซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดในอิตาลี แม้หญิงดังกล่าวจะสัมผัสใกล้ชิดกับคนอื่นเพียง 2 คน คือ ชายสูงอายุและเด็กชายหนึ่งคน แต่เด็กชายนั้นได้ไปโรงเรียนและฝึกซ้อมฟุตบอลทั้งที่มีอาการป่วยอ่อนๆ จึงมีโอกาสแพร่เชื้อไปสู่คนจำนวนมาก ทำให้ผู้ที่อยู่ในข่ายที่ต้องเฝ้าระวังและคนใกล้ชิดที่ต้องกักตัวมีจำนวนมากถึง 130 ราย 

หญิงผู้ติดเชื้อมีอาการไม่หนัก แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านและกักตัวที่บ้าน เช่นเดียวกับผู้เข้าข่ายอื่นๆ ให้กักตัวที่บ้าน ซึ่งนโยบายการให้กักตัวที่บ้านเมื่อมีอาการป่วยที่ไม่รุนแรง หากมีอาการหนักขึ้น เช่น หายใจติดขัด ให้โทรหาสถานพยาบาลใกล้บ้าน ไม่อนุญาตให้มาตรวจหาเชื้อหรือมาสถานพยาบาลโดยที่ไม่ได้นัดล่วงหน้า ยังถือเป็นแนวปฏิบัติต่อมาจนถึงปัจจุบัน

Image by Tapio Haaja from Pixabay

ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม มีข้อมูลว่า การระบาดเกิดขึ้นเพียงที่อิตาลี ทั้งที่จริงๆ แล้วเชื้อได้แพร่กระจายในหลายประเทศในยุโรปแล้ว เช่น ประเทศออสเตรีย รัฐบาลเพียงแค่แนะนำไม่ให้เดินทางไปทางเหนือของอิตาลี และไม่มีกฎให้ผู้ที่เดินทางกลับมาจากอิตาลีกักตัวทุกคน คำแนะนำเพียงให้กักตัวที่บ้านหากมีอาการป่วย รวมถึงไม่ดำเนินการตรวจคัดกรองโดยการวัดอุณหภูมิผู้โดยสารที่สนามบิน หรือที่เดินทางมากับเรือสำราญจากทาลินหรือสต็อกโฮล์ม และในขณะนั้นฟินแลนด์ไม่มีการตรวจหาเชื้อในเชิงรุก ไม่มีบุคลากรเพียงพอที่จะสอบสวนหาผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันเริ่มเพิ่มขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน

ถึงแม้รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมรับมือการระบาด โดยตั้งคณะทำงานตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ เพื่อศึกษาว่ามีจำนวนสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาล เวชภัณฑ์และเครื่องมือทางการแพทย์เพียงพอหรือไม่ โดยจัดเตรียมงบประมาณเบื้องต้น 8.9 ล้านยูโร สำหรับรับมือการระบาดของไวรัส แต่รัฐบาลก็โดนวิพากษ์วิจารณ์ว่ารับมือกับการระบาดช้าเกินไป 

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม รัฐบาลประกาศมาตรการแรก คือ ห้ามและยกเลิกการจัดงานที่มีผู้เข้าร่วม 500 คนขึ้นไป จนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม และแนะนำให้ประชาชนเลื่อนการเดินทางไปต่างประเทศ ขณะที่ในช่วงเวลาดังกล่าวหลายประเทศใกล้เคียงที่มีการระบาด เช่น เดนมาร์ก ได้ออกมาตรการที่เข้มงวดมากกว่าอย่างการปิดโรงเรียนและสถานศึกษาไปแล้ว

และเนื่องจากฟินแลนด์มีการระบาดในโรงเรียนหลายแห่งและหลายเมือง จนต้องปิดโรงเรียน ประชาชนจำนวนไม่น้อยจึงคาดหวังว่า รัฐบาลจะประกาศปิดโรงเรียน เมื่อไม่เห็นมาตรการดังกล่าวออกมา ทำให้ประชาชนเริ่มตระหนก และในวันนี้เองจึงเกิดเหตุการณ์ชั้นสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตว่างเปล่า ประชาชนแห่กันไปซื้อกระดาษชำระและอาหารกระป๋องมากักตุนไว้ 

เพียงสามวันหลังจากนั้น ในวันจันทร์ที่ 16 มีนาคม รัฐบาลร่วมกับประธานาธิบดีได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน จากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรน่า ตามพระราชบัญญัติบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในส่วนที่ 1 1) เพื่อรักษาชีวิตของประชาชน และปกป้องให้สังคมและเศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้ รักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม ปกป้องสิทธิพื้นฐานของประชาชน และปกป้องรักษาเขตแดนของประเทศไว้ในภาวะฉุกเฉิน 

การใช้อำนาจตาม พ.ร.บ. นี้ และพระราชกฤษฏีกาที่ออกโดยรัฐบาล จะต้องผ่านการลงมติจากสภาผู้แทนราษฏร (ฟินแลนด์ใช้ระบบสภาเดี่ยวตามรัฐธรรมนูญ) สภาฯ สามารถลงมติให้ผ่านทั้งหมด ผ่านบางส่วน หรือ ไม่ให้ผ่านได้ 

รัฐบาลได้ยื่นพระราชกฤษฏีกา 2 ฉบับให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ในวันที่ 17 มีนาคมด้วย

ทั้ง พ.ร.บ. และพระราชกฤษฎีกาได้ผ่านการเห็นชอบจากสภาฯ 

นอกจากนี้รัฐบาลยังใช้พระราชบัญญัติโรคติดต่อ (Communicable Diseases Act) ประกอบในการออกมาตรการต่างๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อชะลอการระบาด กดกราฟจำนวนผู้ติดเชื้อไม่ให้พุ่งขึ้นไปเกินระดับที่ระบบสาธารณสุขจะรับได้ และป้องกันกลุ่มเสี่ยง ซึ่งได้แก่ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว โดยมาตรการส่วนใหญ่จะเริ่มในวันที่ 18 มีนาคม จนถึง 13 เมษายน

  • ระงับการเรียนการสอนในโรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัยและสถานศึกษาอื่นๆ และจัดให้มีการเรียนการสอนทางไกล ยกเว้นนักเรียนประถม 1-3 ที่พ่อแม่มีอาชีพที่มีความจำเป็นต่อสาธารณะ (ในตอนหลังได้ขยายให้ครอบคลุมทุกสาขาอาชีพ) ให้มีการเรียนการสอนปกติที่โรงเรียนได้ แต่แนะนำให้นักเรียนชั้นประถม 1-3 เรียนทางไกลจากที่บ้านหากทำได้ สถานเลี้ยงเด็กเล็กยังเปิดทำการตามปกติ เพราะรัฐบาลเกรงว่าพ่อแม่จะนำเด็กเล็กและประถม 1-3 ไปฝากให้ปู่ย่าตายายเลี้ยง
  • ห้ามชุมนุมเกิน 10 คน รวมถึงการจัดงานเลี้ยง พิธีกรรมทางศาสนา ห้ามออกมาอยู่ข้างนอกโดยไม่จำเป็น
  • การเตรียมการปิดพรมแดนต้องดำเนินการโดยไม่ล่าช้า โดยให้คำนึงถึงพันธะสัญญาที่มีต่อประเทศต่างๆ ยกเลิกให้ผู้โดยสารต่างชาติเข้าประเทศเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ อนุญาตให้ชาวฟินส์หรือผู้ที่พำนักถาวรในประเทศฟินแลนด์กลับเข้ามาในประเทศได้ และแนะนำให้รีบกลับเข้ามาในประเทศให้เร็วที่สุด การข้ามพรมแดนที่จำเป็นเพื่อการทำงานในพรมแดนทางเหนือและทางตะวันตกยังสามารถทำได้ การขนส่งสินค้ายังทำได้ตามปกติ
  • ชาวฟินส์และผู้พำนักถาวรในฟินแลนด์ที่กลับมาจากต่างประเทศต้องทำการกักตัว 2 สัปดาห์
  • กองกำลังทหารรับผิดชอบเพื่อให้การปฏิบัติการนี้ดำเนินไปได้ โดยให้ส่วนงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุน
  • ปิดห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ โรงละคร โอเปร่า โรงภาพยนตร์ ศูนย์วัฒนธรรมต่างๆ สถานออกกำลังกายสาธารณะ เช่น สนามกีฬา สระว่ายน้ำ สเก็ตฮอลล์
  • ห้ามเยี่ยมผู้สูงอายุที่บ้าน หรือที่บ้านพักคนชรา ห้ามเยี่ยมคนไข้ที่รักษาตัวในโรงพยาบาล ยกเว้นในบางกรณี
  • แนะนำให้ผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป ยกเว้นผู้นำประเทศ (ประธานาธิบดีอายุ 71) ผู้แทนราษฎร และผู้ที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งในท้องถิ่น หลีกเลี่ยงการติดต่อ พบปะ ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น (อยู่ในสภาพแบบกักตัว)
  • ให้ข้าราชการที่ทำงานที่บ้านได้ ทำงานที่บ้าน
  • เพิ่มการตรวจหาเชื้อไวรัส เพิ่มการให้บริการด้านสาธารณสุขและสังคมสงเคราะห์ ทั้งรัฐบาลและเอกชน นอกจากนี้ แก้ไขชั่วโมงทำงานและการลาพักของข้าราชการที่ทำงานด้านสาธารณสุขและที่จำเป็นต่อสาธารณะ ยกเลิก เลื่อนการให้บริการทางด้านสาธารณสุขที่ไม่จำเป็นเร่งด่วนออกไป เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับผู้ป่วยโควิด 19
  • จำกัดการซื้อขายยา เวชภัณฑ์ทางการแพทย์

 

มาตรการเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง

หลังประกาศภาวะฉุกเฉิน รัฐบาลได้ออกมาตรการเพิ่มเติมคือ

  • ปิดการเข้าออก Uusimaa ซึ่งเป็นภูมิภาคทางใต้ของประเทศ เป็นที่ตั้งของเมืองหลวงเฮลซิงกิ และเป็นภูมิภาคที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงที่สุด เพื่อแก้ปัญหาที่มีคนเดินทางไปเล่นสกีเป็นจำนวนมากตามสกีรีสอร์ทที่อยู่ทางเหนือและอาจเกิดการแพร่ระบาดในภูมิภาคนั้นได้ และสองเพื่อป้องกันไม่ให้คนเดินทางไปเยี่ยมญาติหรือไปบ้านพักหน้าร้อนในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ 9-13 เมษายน โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 27 มีนาคมหลังกฎหมายผ่านสภาฯ
  • รัฐบาลยกเลิกการปิด Uusimaa ทันทีหลังเทศกาลอีสเตอร์ในวันพุธที่ 15 เมษายน ก่อนกำหนดวันที่ 19 เมษายน ผู้เขียนคิดว่า เพราะมาตรการนี้ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของคนในการเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี
  • ปิดร้านอาหาร ร้านกาแฟ ผับ บาร์ ยกเว้นโรงอาหาร หรือร้านอาหารเพื่อพนักงาน โดยอนุญาตให้บริการซื้อกลับบ้านได้ ทั้งนี้เพื่อชะลอการระบาด
  • และเนื่องจากสถานการณ์การระบาดยังไม่ดีขี้น ในวันที่ 30 มีนาคมรัฐบาลได้ประกาศต่ออายุมาตรการต่างๆ ไปจนถึงวันที่ 13 พฤษภาคม

 

มาตรการทางด้านเศรษฐกิจและการชดเชยเยียวยา

หลังจากประกาศภาวะฉุกเฉินและมาตรการเพื่อรับมือการระบาดแล้ว รัฐบาลได้ทำงานต่อเนื่องด้วยการประกาศมาตรการทางด้านเศรษฐกิจออกมาเพื่อรองรับหรือช่วยเหลือประชาชนหรือภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล

  • ที่ฟินแลนด์ ลูกจ้าง คนทำงานทั่วไป ส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกของกองทุนประกันการว่างงาน YTK อาจจะเป็นสมาชิกโดยตรง หรือผ่านจากการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานของอุตสาหกรรมต่างๆ หากลูกจ้างที่เป็นสมาชิกถูกเลิกจ้างและทำงานมาแล้วอย่างน้อย 6 เดือน ก็จะได้รับเงินจากกองทุนเในอัตรา 300 วัน หากทำงานมาน้อยกว่า 3 ปี / 400 วัน ถ้าทำงานมามากกว่า 3 ปี / 500 วัน หาก อายุ 58 ปี ขึ้นไปและทำงานงานมาไม่น้อยกว่า 5 ปี เงินที่ได้นี้จะเป็นเปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนสุดท้ายที่ได้รับ ซึ่งสูงกว่าชดเชยจากการว่างงานขั้นต่ำจะที่ได้รับจากประกันสังคม
  • หลังจากหมดระยะเวลาที่ได้เงินจากกองทุนประกันการว่างงานแล้ว แต่ก็ยังว่างงานอยู่ ก็จะได้รับเงินชดเชยจากการว่างงานจากประกันสังคม (KELA) ต่อ จนกว่าจะหางานได้
  • ลูกจ้างที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของกองทุนประกันการว่างงาน ก็จะได้รับเงินชดเชยจากการว่างงานจากประกันสังคม (KELA) และเงินขั้นต่ำที่จะได้รับคือ 33.66 ยูโรต่อวัน 5 วัน/สัปดาห์ หรือคิดเป็นประมาณ 706 ยูโรต่อเดือน ซึ่งถือว่า น้อยมากสำหรับค่าครองชีพในประเทศนี้ โดยเงินได้นี้ต้องเสียภาษีเงินได้ด้วย แต่คนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุนประกันการว่างงานน่าจะมีไม่มาก
  • ในส่วนของผู้ถูกเลิกจ้างจากการระบาดของไวรัสโคโรน่านั้น รัฐบาลแก้ไขกฎระเบียบ คือ สำหรับผู้ถูกเลิกจ้างตั้งแต่ 16 มีนาคม 2563 จะถือว่าเป็นผู้ว่างงาน โดยสำนักงานจัดหางานไม่ต้องตรวจสอบคุณสมบัติว่า ทำธุรกิจหรือเป็นนักศึกษาหรือไม่ ลดระยะเวลาการทำงานที่จะได้รับค่าชดเชยขั้นต่ำจาก 6 เดือน เป็น 3 เดือน
  • นักธุรกิจรายย่อยขอรับเงินชดเชยจากการว่างงานได้ (กรณีปกติจะไม่ได้) โดยไม่จำเป็นต้องหยุดธุรกิจ
  • คนที่ทำอาชีพอิสระขอรับการช่วยเหลือ 2,000 ยูโรได้
  • ให้ธนาคารของรัฐ Finvera ประกันการกู้ยืมเงินจากธนาคารต่างๆ
  • สนับสนุนให้ธนาคารช่วยเหลือลูกค้าเงินกู้ ผ่อนผันการชำระหนี้เงินกู้ 6-12 เดือน ลดเงินผ่อนชำระ หรือลดดอกเบี้ย และลดวงเงินชำระขั้นต่ำสำหรับหนี้บัตรเครดิต
  • รัฐบาล สำรอง 600 ล้านยูโรเพื่อสายการบินแห่งชาติ Finnair

 

สถานการณ์ในปัจจุบัน

  • จำนวนผู้เสียชีวิตในบ้านพักคนชราพุ่งสูงขึ้น
  • ถึงแม้ว่ารัฐบาลฟินแลนด์ได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อชะลอการระบาด และปกป้องกลุ่มเสี่ยงโดยเฉพาะผู้สูงอายุ แต่ในตอนนี้ นับถึงวันที่ 16 เมษายน มีผู้สูงอายุที่เสียชีวิตในบ้านพักคนชราเป็นจำนวนมาก ถึง 59 คน จากทั้งหมด 82 คน
  • ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะสูงกว่าที่รายงาน ในขณะนี้ถึง 20% และการระบาดในภูมิภาค Uusimaa น่าจะถึงจุดสูงสุดในช่วง 26 เมษายน ถึง  25 พฤษภาคม
  • รัฐบาลมีแผนการที่จะใช้แอปพลิเคชั่นในโทรศัพท์มือถือเพื่อแจ้งเตือนหากเข้าใกล้ผู้ติดเชื้อ แบบสิงคโปร์

ข้อสังเกต

  • ฟินแลนด์แจ้งจำนวนการตรวจเชื้อสะสมและรายวัน โดยระบุอย่างชัดเจนว่าเป็นตัวเลขตัวอย่างที่ส่งตรวจ
  • ค่าตรวจหาไวรัสจากเอกชน 195 ยูโร (ประมาณ 7,000 บาท)
  • ฟินแลนด์ไม่เคยประกาศว่า สถานการณ์การระบาดอยู่ในระยะที่สองหรือสาม แต่ได้ทำการศึกษาการระบาดในฟินแลนด์ ก่อนการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขและนักคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัยตุรกูทำการศึกษาการระบาดและสร้างแบบจำลองสถานการณ์ ออกมา 3 สถานการณ์ คือ มีผู้ติดเชื้อ 20% 40% และ 60% ของจำนวนประชากร โดยคาดว่าจะมีอัตราการเสียชีวิตที่ 0.1% ของผู้ติดเชื้อ
  • หากไม่มีมาตรการใดเลย อัตราการแพร่เชื้อจากหนึ่งคนแพร่เชื้อไป 2.2 และจากมาตรการแรกที่รัฐบาลประกาศห้ามการรวมกลุ่มเกิน 500 คน อัตราแพร่เชื้อจะลดลงเป็น 1.8 ดังนั้น ด้วยมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น ทำให้เป็นไปได้ว่าอัตราจะต่ำกว่า 1.8
  • ฟินแลนด์ไม่ใช้วิธีการตรวจคัดกรองโดยการตรวจวัดอุณหภูมิ เพราะใช้ทรัพยากรมาก ต้องจัดเจ้าหน้าที่ให้ครอบคลุมพื้นที่ที่มีผู้โดยสารเข้ามาจากต่างประเทศ เช่น ท่าเรือหรือสนามบิน ยิ่งทำให้ผู้โดยสารมาออกันซึ่งขัดหลักการรักษาระยะห่างทางสังคม ทำให้มีโอกาสแพร่เชื้อมากขึ้นไปอีก นอกจากนี้ ในปัจจุบันก็มีข้อมูลเรื่องผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการ หรือมีไข้ ก็ยิ่งเน้นว่าการตรวจวัดอุณหภูมิไม่ใช่การคัดกรองที่มีประสิทธิภาพจริง
  • ฟินแลนด์เป็นรัฐสวัสดิการ จึงไม่มีคนได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐบาลในระดับรุนแรง เช่น ไม่มีที่อยู่อาศัยหรืออาหารรับประทาน เพราะสามารถขอรับความช่วยเหลือจากประกันสังคมได้
  • ฟินแลนด์ใช้หน่วยงานราชการหรือองค์กรที่มีอยู่แล้วในการดำเนินการช่วยธุรกิจและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ไม่ได้จัดตั้งคณะทำงานหรือหน่วยงานราชการขึ้นมาต่างหาก
  • ประธานาธิบดี รัฐบาล และคณะรัฐมนตรี ในการแถลงข่าวมีการสื่อสารที่ชัดเจน มีรูปแบบ แบบแผนที่ดี ทำให้เข้าใจและติดตามได้ง่าย โดยปกติแล้ว นายกรัฐมนตรีจะแถลงร่วมกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น และเปิดโอกาสให้ซักถามได้ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องในเรื่องนั้นเป็นผู้ตอบเอง
  • นายกรัฐมนตรี และ/หรือรัฐมนตรี มาออกรายการทีวีเพื่อให้สัมภาษณ์พูดคุยด้วย
  • มีการเปิดคลังพัสดุฉุกเฉินแห่งชาติ (National emergency stockpile) เพื่อนำอุปกรณ์การแพทย์ออกมาใช้ ฟินแลนด์เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ยังคงรักษานโยบายคลังพัสดุฉุกเฉินแห่งชาติเอาไว้ได้ การดำเนินงานถือเป็นความลับและไม่มีใครรู้ว่าของที่มีเก็บรักษาไว้ที่ไหน
  • ประชาชนมีความพึงพอใจในการบริหารจัดการของรัฐบาลและประธานาธิบดีในเรื่องการรับมือการระบาด โดยเห็นได้จากผลสำรวจความนิยมที่เพิ่มขึ้นของทั้งสองคน และพลอยทำให้พรรค Social Democrate ของนายกรัฐมนตรีได้รับความนิยมมากขึ้นและอยู่ระดับใกล้เคียงกับพรรคฝ่ายค้าน Finn Party ที่เคยมีคะแนนนิยมสูงสุด
  • ฟินแลนด์ให้ความร่วมมือกับนานาชาติ โดยสนับสนุนเงินในการพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรน่า 5 ล้านยูโรและเพิ่มเงินอุดหนุนให้องค์การอนามัยโลก ในช่วงเวลาเดียวกับที่ประธาธิบดีสหรัฐฯ โดแนลด์ ทรัมป์ ประกาศตัดเงินช่วยเหลือ
  • หลายบริษัทเอกชนร่วมกับ Finnair และ สถานพยาบาล Mehiläinen ส่งตัวอย่างไปตรวจหาเชื้อที่ประเทศเกาหลีใต้ เพื่อเพิ่มกำลังการตรวจให้เป็นสองเท่า 
  • ยอดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูงขึ้นในช่วงกักตัว

 

การปรับตัวของผู้คน

  • ชาวฟินส์มีวินัยสูงมาก โดยส่วนใหญ่ปฏิบัติตามคำแนะนำของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด
  • การเรียนการสอนทางไกลจากที่บ้านส่วนใหญ่เป็นไปได้ด้วยดี โรงเรียนและครูผู้สอนปฏิบัติตามคำสั่ง ตามมาตรการของรัฐบาลได้อย่างรวดเร็วและสามารถปรับการเรียนการสอนเป็นแบบทางไกลโดยใช้เทคโนโลยีช่วย ได้อย่างรวดเร็ว มีการสื่อสารที่ดีกับผู้ปกครอง นักเรียนเองก็ปรับตัวได้รวดเร็วสามารถที่จะเรียนทางไกลได้
  • โรงเรียนจัดหาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้หากนักเรียนไม่มี และบริษัทเอกชนได้บริจาคคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่ใช้แล้วให้โรงเรียน
  • พฤติกรรมการซื้ออาหารเปลี่ยนไปโดยลดจำนวนครั้ง หรือสั่งซื้อให้มาส่งที่บ้าน
  • คนส่วนใหญ่ใช้เวลาในสวนสาธารณะและตามป่าหรือแหล่งธรรมชาติมากกว่าในห้างสรรพสินค้า โดยทั้งห้างสรรพสินค้าและสวนสาธารณะยังเปิดให้บริการตามปกติ ถึงแม้ร้านตัดผมไม่โดนสั่งปิด คนก็ยังเลี่ยงที่จะเข้าร้านตัดผม
  • คุณครู ผู้ปกครอง และบรรดาโค้ชผู้ฝึกสอนกีฬาต่างๆ ได้พยายามให้เด็กๆ ออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เด็กรักษาสภาพร่างกายให้แข็งแรงไว้ เพราะการฝึกซ้อมกีฬาเกือบทั้งหมดได้ถูกระงับไป และเด็กๆ ไม่ได้มีโอกาสวิ่งเล่นนอกห้องเรียนเหมือนตอนไปเรียนที่โรงเรียน

 

การปรับตัวของธุรกิจ

  • บริษัทส่วนใหญ่ให้พนักงานทำงานที่บ้าน
  • หลายบริษัทประกาศเลิกจ้างชั่วคราว
  • รถไฟลดจำนวนเที่ยววิ่ง รถเมล์ รถราง เริ่มใช้ตารางเดินรถสำหรับหน้าร้อนเร็วขึ้นเพราะผู้โดยสารลดลง
  • สถานให้บริการฟิตเนส เริ่มมีคอร์สออนไลน์
  • มีการติดตั้งพลาสติกกั้นที่ช่องจ่ายเงินของซูเปอร์มาร์เกต หรือไปรษณีย์
  • กลุ่มผู้ค้าปลีก เอสกรุ๊ป ปิดร้านอาหารในเครือทั้งหมดก่อนรัฐบาลให้ปิด และย้ายพนักงานร้านอาหารมาทำงานในซูเปอร์มาร์เก็ต นอกจากนี้ ยังจัดเวลาช่วงเช้าให้เฉพาะกลุ่มเสี่ยงเข้ามาใช้บริการ
  • ร้านขายยาบางร้านงดเว้นค่าส่งเมื่อสั่งสินค้า เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า การสั่งซื้อยาตามใบสั่งสามารถทำได้ผ่านทางออนไลน์
  • บริษัทผลิตเบียร์หันมาผลิตเจลแอลกอฮอล์
  • แท็กซี่รับส่งสินค้าและอาหารจากซูเปอร์มาร์เก็ต

29 เมษายน 2563 รัฐบาลประกาศให้โรงเรียน ป. 1-9 กลับมาเปิดเรียนในวันที่ 14 พฤษภาคม แม้ว่าอีกสองสัปดาห์ก็จะเป็นวันปิดภาคเรียนแล้วก็ตาม โดยห้ามสอนทางไกลจากที่บ้าน และห้ามทางการของแต่ละเมืองตัดสินใจประกาศหรือดำเนินการตามแนวทางของตัวเอง แนวปฏิบัติคือ โรงเรียนอาจจัดเรียนเป็นรอบ ดิฉันเข้าใจว่าเป็น เช่น รอบเช้าและรอบบ่าย จัดกลุ่มเรียนให้เล็กลงจะได้นั่งห่างกันได้

รัฐบาลให้เหตุผลของการกลับมาเปิดเรียนคือ สถานการณ์การระบาดที่เปลี่ยนไป การปิดโรงเรียนไม่มีความจำเป็นแล้ว จึงต้องยกเลิกมาตรการที่กระทบสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็ก เรื่องที่เด็กทุกคนต้องได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะความจำเป็นที่เด็กต้องมีพัฒนาการทางสังคมด้วย เจ้าหน้าที่สาธารณสุขอธิบายว่า กลุ่มเด็กไม่มีผลให้การระบาดแพร่หลายมาก คือ เด็กแพร่เชื้อน้อยกว่ากลุ่มอื่น ความเสี่ยงต่ำที่จะเปิดโรงเรียน

อีกส่วนหนึ่งที่อาจเป็นเหตุผลที่รัฐบาลจะเปิดโรงเรียน เพราะกลัวเรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของเด็กกลุ่มที่ใส่ใจเรียนกับไม่ใส่ใจเรียนว่าจะห่างขึ้นไปอีก รวมทั้งรัฐบาลกลัวเรื่องที่เด็กไม่มีอาหารกลางวันทานที่บ้าน และความรุนแรงในบ้าน