สิบเหตุผลที่ “ประยุทธ์” ไม่ควรอ้างว่า เป็นนายกฯ จากการเลือกตั้ง

For Enlish version please click here

 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับการโหวตจากทั้งสองสภาให้ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อหลังการเลือกตั้งปี 2562 ผ่านพ้นไป แน่นอนว่า ความชอบธรรมที่จะอยู่ในอำนาจต่อก็มีมากขึ้นกว่าครั้งเป็นนายกรัฐมนตรีจากการรัฐประหาร แต่เนื่องจากความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าในการเลือกตั้งที่ผ่านพ้นไป ก็ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ และผู้สนับสนุน ไม่ควรยกมากล่าวอ้างอย่างเต็มภาคภูมิได้ว่า เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง

 

 

 

 

1. ประยุทธ์ไม่เคยลงสมัครรับเลือกตั้งเอง และตัวเองขาดคุณสมบัติ

ในการเลือกตั้งปี 2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้แม้แต่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง แม้สังคมจะพอคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่า พล.อ.ประยุทธ​์จะต้องเตรียมกลับมารับตำแหน่งหลังการเลือกตั้งแน่ๆ แต่ก็ต้องรอถึงวันสุดท้ายของการเปิดรับสมัครพล.อ.ประยุทธ์ ถึงตอบอย่างเป็นทางการให้พรรคพลังประชารัฐเป็นผู้เสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี 
ในระหว่างการทำกิจกรรมหาเสียงเลือกตั้ง ผู้สมัครจากทุกพรรคการเมืองต้องลงพื้นที่เข้าหาและพบปะประชาชนเพื่อ "ขอคะแนนเสียง" แต่พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงรักษาระยะห่าง ยั่งนั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ และไม่เคยทำกิจกรรมร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ ไม่เคยไปลงพื้นที่พบปะประชาชน ไม่เคยขึ้นเวทีดีเบตแสดงวิสัยทัศน์ ไม่เคยเป็นตัวแทนของพรรคที่ประกาศว่า พรรคนี้ให้สัญญาอะไรกับประชาชน มีเพียงการขึ้นเวทีครั้งสุดท้ายครั้งเดียวก่อนการเลือกตั้งเท่านั้น ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ยังมีจุดอ่อนเรื่องความใกล้ชิดและความเป็นตัวแทนของประชาชนที่ลงคะแนนให้พรรคพลังประชารัฐ
ขณะเดียวกันพล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติของผู้ที่จะถูกเสนอชื่อไว้ในบัญชีว่าที่นายกฯ ของพรรคการเมืองด้วย เนื่องจากยังดำรงตำแหน่งหัวหน้า คสช. กับอีกหลายเก้าอี้และมีอำนาจเต็มในการออกคำสั่งต่างๆ รวมทั้งมีอำนาจ "มาตรา44" ในมือ จึงขัดต่อคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 89, 98, 160
2. ประยุทธ์ถืออำนาจเต็ม เป็นหัวหน้า คสชระหว่างการเลือกตั้ง
ระหว่างการเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ แทนที่จะหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือลาออกจากอำนาจที่มีอยู่ในมือ อย่างน้อยก็ลาออกแล้วทำหน้าที่เป็นรัฐบาลรักษาการ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจไม่ใช้อิทธิพลใดๆ เหนือการเลือกตั้ง แต่พล.อ.ประยุทธ์กลับทำตรงกันข้าม คือ ยังคงดำรงตำแหน่งทุกอย่าง ยังมีอำนาจที่จะแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการอย่างเต็มที่ มีอำนาจตัดสินใจใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อกิจการต่างๆ มีอำนาจอนุมัติโครงการต่างๆ สำหรับภายภาคหน้า
ที่สำคัญ คือ พล.อ.ประยุทธ์ ยังถืออำนาจพิเศษตาม "มาตรา 44" ที่จะออกคำสั่งใดๆ ก็ได้ และก็ได้ใช้อำนาจนี้สั่งเพื่อเปลี่ยนแปลงกติกาการเลือกตั้งไปอย่างน้อยสามครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ 1 คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 53/2560: ปลดล็อคให้พรรคใหม่-รีเซ็ตสมาชิกพรรคการเมืองเก่า
ครั้งที่ 2 คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 13/2561: ยกเลิกไพรมารีโหวต-ห้ามหาเสียงออนไลน์-ขยายเวลาให้พรรคการเมือง
ครั้งที่ 3 คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 16/2561: สั่งให้ กกต. แบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ได้ หาก คสช. หรือ รัฐบาล ได้รับข้อร้องเรียน
3. การเลือกตั้งที่ผ่านไป คสชเขียนกติกาเอง ให้ตัวเองได้เปรียบ
ระบบการเลือกตั้งและกติกาต่างๆ ในรัฐธรรมนูญนั้น เขียนขึ้นโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่ คสช. แต่งตั้งขึ้น แต่เท่านั้นยังไม่พอ รายละเอียดที่ต้องเขียนไว้ใน "กฎหมายลูก" ทั้งพ.ร.ป.พรรคการเมือง พ.ร.ป.เลือกตั้งฯ ต่างก็เขึยนขึ้นโดย กรธ. ชุดเดิม และผ่านการพิจารณาโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ คสช. แต่งตั้งมาเองอีกเช่นกัน จึงกล่าวได้ว่า กติกาการเลือกตั้งครั้งนี้เขียนขึ้นโดยคนของ คสช. ทั้งหมด
ระบบเลือกตั้งใหม่ที่ตั้งชื่อว่า "ระบบจัดสรรปันส่วนผสม" หรือ MMA เขียนขึ้นมาเพื่อให้พรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่ได้ ส.ส. จากระบบแบ่งเขตจำนวนมากเสียเปรียบ คือ ความจงใจทำลายพรรคเพื่อไทย โดยตรงและก็ได้ผลลัพธ์เช่นนั้น นอกจากนี้ยังช่วยให้พรรคการเมืองขนาดกลางๆ ได้เปรียบและอาจได้จำนวน ส.ส. จากระบบบัญชีรายชื่อเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคพลังประชารัฐ ก็เคยพูดไว้ว่า "รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์มาเพื่อเรา"
4. การเลือกตั้งที่ผ่านไป กกตและศาลรัฐธรรมนูญ เป็นคนของ คสช.
คสช. ได้ออกกฎหมายเพื่อ "เซ็ตซีโร่" กกต. ชุดเก่าให้พ้นจากตำแหน่งทั้งหมด และเริ่มการสรรหาใหม่ โดยส่งพรเพชร วิชิตชลชัย เข้าไปเป็นกรรมการสรรหาชุดใหม่ และใช้ สนช. เป็นด่านสุดท้ายที่เห็นชอบผู้สมัคร กกต. โดย สนช. ใช้การพิจารณาถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกมีรายชื่อผู้สมัครเข้าเป็น กกต. จำนวน 7 คน ทั้งหมดถูก สนช. ตีตกยกชุด ต่อมาในครั้งที่สอง สนช. เห็นชอบเลือก กกต. จำนวน 5 คน จากที่เสนอไปทั้งหมด 7 คน และตีตกไป 2 คน กระทั่งมีการสรรหาใหม่ในรอบที่สาม ซึ่งทั้งสองรายชื่อที่คณะกรรมการสรรหาส่งไปได้รับการเห็นชอบจาก สนช. ทำให้ได้ กกต. ครบ 7 คน ที่พอใจ โดยทุกครั้งที่มีการลงมติเห็นชอบ สนช. พิจารณาแบบ ‘ปิดลับ’ 
ด้านศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรที่วินิจฉัยเรื่องใหญ่ๆ เกี่ยวกับการเลือกตั้งก็เป็นคนของ คสช. เช่นเดียวกัน โดยตุลาการ 2 คน มาจากการคัดเลือกระบบคล้าย กกต. ส่วนอีก 5 คน มาจากการใช้อำนาจ "มาตรา 44" ต่ออายุให้อยู่ยาวได้จนหลังเลือกตั้ง
5. การเลือกตั้งที่ผ่านไป พรรค “ไม่เอา คสช.” เจอปิดกั้นสารพัด
การเลือกตั้งภายใต้อำนาจของ คสช. ที่ผ่านไป พรรคการเมืองทั้งหลายยกเว้นพรรคของ คสช. ถูกปิดกั้นด้วยหลายวิธีการ โดยพื้นฐาน คือ ทุกพรรคการเมืองอยู่ภายใต้ประกาศ คสช. ฉบับที่ 57/2557 ที่สั่งห้ามทำกิจกรรมทางการเมืองมาตลอด ยกเว้นเท่าที่ คสช. อนุญาต จนกระทั่ง 22 ธันวาคม 2561 แต่ระหว่างนั้นเป็นเวลาสี่ปีกว่า คสช. เป็นกลุ่มการเมืองเดียวที่เดินหน้าสื่อสารกับประชาชนอยู่ตลอด 
เมื่อฤดูกาลเลือกตั้งมาถึง พบข้อมูลว่า พรรคการเมืองที่ประกาศ "ไม่เอา คสช." พบอุปสรรคในระหว่างการหาเสียงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การถูกทหารหรือตำรวจติดตามขณะลงพื้นที่ การไม่อนุญาตให้ใช้สถานที่จัดปราศรัย การไม่อนุญาตให้เข้าไปในสถานที่บางแห่ง สถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวีเคยถูกสั่งปิด รวมทั้งมีผู้สมัคร ส.ส. หลายคนถูกดำเนินคดี เช่น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียาเวช, ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ปิยบุตรแสงกนกกุล, พิชัย นริพทะพันธุ์ ต่างถูกดำเนินคดีตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากการวิจารณ์พรรคพลังประชารัฐ
ดูข้อมูล รวมอุปสรรคในการหาเสียงของพรรคการเมืองและข้อสงสัยโกงเลือกตั้ง https://freedom.ilaw.or.th/node/675
ดูข้อมูล รวมการดำเนินคดีต่อนักการเมืองระหว่างการเลือกตั้ง https://freedom.ilaw.or.th/node/684
6. การเลือกตั้งที่ผ่านไป พรรคอันดับสองของฝ่าย “ไม่เอา คสช.” ถูกยุบ
ในระหว่างการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยแก้เกมระบบเลือกตั้งใหม่ของ คสช. โดยการแตกตัวออกเป็นพรรคขนาดกลางหลายพรรค พรรคที่ใหญ่เป็นอันดับสองก็คือพรรคไทยรักษาชาติ ซึ่งทั้งสองพรรคแบ่งเขตที่ส่ง ส.ส. ลงแข่งขันกัน พรรคเพื่อไทยส่ง ส.ส. 200 เขต และพรรคไทยรักษาชาติ ส่ง ส.ส. 150 เขต ไม่แข่งกันเอง แต่ต่อมาพรรคไทยรักษาชาติถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุบพรรคเนื่องจากเสนอชื่อทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ ให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค 
การยุบพรรคไทยรักษาชาติทำให้พรรคการเมืองในกลุ่มนี้เสียกำลังหลักไปมาก นอกจากจะเสียผู้สมัคร ส.ส. คนสำคัญ อย่าง จาตุรนต์ ฉายแสง, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, พิชัย นริพทะพันธุ์ ยังเสียโอกาสได้คะแนนในเขตที่พรรคเพื่อไทยไม่ได้ส่งผู้สมัครลง ทำให้ประชาชนที่อยู่ในเขตนั้นไม่มีโอกาสลงคะแนนให้ผู้สมัครจากพรรคการเมืองในกลุ่มนี้เลย และทำให้โอกาสที่จะได้คะแนนเพื่อเอาไปคำนวนเป็นที่นั่ง ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อก็น้อยลงไปด้วย ด้านพรรคเพื่อไทยที่ยังไม่ถูกยุบก็ส่งผู้สมัครเพียงแค่ 200 เขต ประชาชนอีก 150 เขต จึงไม่มีโอกาสลงคะแนนให้กับพรรคการเมืองในกลุ่มนี้
7. ผลการเลือกตั้ง พรรคที่ได้ .มากที่สุด คือ พรรคเพื่อไทย
ตามธรรมเนียมทางการเมืองการปกครองของไทยและทั่วโลก พรรคการเมืองที่ได้ ส.ส. มากที่สุดจากการเลือกตั้งจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งจะต้องเป็นแกนนำในการรวบรวมเสียงจากพรรคการเมืองอื่นๆ มาให้ได้เกินครึ่งหนึ่งของสภา และพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองที่ได้ที่นั่ง ส.ส. มากที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ 136 ที่นั่ง ลำดับสอง คือ พรรคพลังประชารัฐ 116 ที่นั่ง ตามธรรมเนียมทางการเมืองแล้วพรรคเพื่อไทยจึงควรได้จัดตั้งรัฐบาล และพรรคการเมืองอื่นต้องถอยให้ แต่พรรคพลังประชารัฐกลับอ้างตัวว่า ได้รับคะแนนเสียงแบบ "คะแนนดิบ" จากประชาชนมากกว่า และจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเองโดยไม่มีกฎหมายหรือธรรมเนียมทางการเมืองใดรองรับหลักการนี้
และสาเหตุสำคัญที่ทำให้พรรคเพื่อไทยมี "คะแนนดิบ" น้อย ก็เพราะระบบการเลือกตั้งที่ออกแบบให้พรรคเพื่อไทยเสียเปรียบ จึงต้องแตกตัวเป็นหลายพรรค และพรรคไทยรักษาชาติยังถูกสั่งยุบพรรคไป ประชาชนอีก 150 เขต ไม่สามารถออกเสียงให้พรรคเพื่อไทยได้ คะแนนดิบของพรรคเพื่อไทย 7,881,006 เสียง จึงมาจาก 200 เขต เทียบกับพรรคพลังประชารัฐ 8,413,413 เสียง ซึ่งได้มาจาก 350 เขต
8. ผลการเลือกตั้ง คะแนนดิบของพรรคที่ประกาศ “ไม่เอา คสช.” สูงกว่าเกือบสองเท่า
ถ้าหากพิจารณาจาก “คะแนนดิบ” หรือจำนวนคนที่ลงคะแนนให้พรรคการเมืองทั้งหมดที่ประกาศก่อนเลือกตั้งว่า "ไม่เอา คสช."  จะพบว่า พรรคเพื่อไทย ได้คะแนนรวม 7,881,006 เสียง พรรคอนาคตใหม่ ได้คะแนนรวม 6,254,716 เสียง พรรคเสรีรวมไทย ได้คะแนนรวม 822,240 เสียง พรรคเศรษฐกิจใหม่ ได้คะแนนรวม 485,574 เสียง พรรคประชาชาติ ได้คะแนนรวม 481,143 เสียง พรรคเพื่อชาติ ได้คะแนนรวม 419,121 เสียง พรรคพลังปวงชนไทย ได้คะแนนรวม 79,783 เสียง พรรคเพื่อธรรม ได้คะแนนรวม 15,130 เสียง และ พรรคสามัญชน ได้คะแนนรวม 5,291 เสียง ตามลำดับ เมื่อนำคะแนนของแต่ละพรรคมานับรวมกันจะได้มากถึง 16,444,004 เสียง 
อีกด้านหนึ่ง สำหรับพรรคการเมืองที่ประกาศจุดยืนก่อนเลือกตั้งว่า สนับสนุน คสช. และสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ได้แก่ พรรคพลังประชารัฐ ได้คะแนนรวมมาเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ 8,413,413 เสียง พรรครวมพลังประชาชาติไทย ได้คะแนนรวม 415,202 เสียง และพรรคประชาชนปฏิรูป ได้คะแนนรวม 45,374 เสียง แต่เมื่อรวมกันแล้ว คะแนนเสียงที่สนับสนุน คสช. มีเพียง 8,873,989 เสียง หรือประมาณร้อยละ 53 ของคะแนนเสียงที่พรรคการเมืองที่ประกาศ “ไม่เอา คสช.” ได้รับ
ดังนั้น หากจะพิจารณากันที่ "คะแนนดิบ" แล้วจึงเห็นชัดว่า ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ ไม่ได้ออกเสียงให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
อ่านเรื่องนี้ต่อได้เต็มๆ ที่ https://ilaw.or.th/node/5258
9. ผลการเลือกตั้ง ฝั่ง “ไม่เอา คสช.” รวมเสียงได้เกินครึ่งสภาก่อนถูกเปลี่ยนสูตรคำนวน
หลังวันเลือกตั้ง เมื่อรู้ผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการแล้ว สื่อมวลชนทุกแห่งและนักวิชาการทุกคนนำคะแนนไปคำนวนที่นั่ง ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อได้ผลไม่ต่างกัน พรรคที่ประกาศ "ไม่เอา คสช." ทั้ง 7 พรรคการเมือง ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อชาติ พรรคประชาชาติ พรรคเศรษฐกิจใหม่ พรรคพลังปวงชนไทย รวมเสียงกันได้เกินครึ่งของสภาผู้แทนราษฎร คือ 254 จาก 250 เสียง เมื่อนับเสียงในสภาผู้แทนราษฎรอย่างเดียวไม่รวม ส.ว. จึงต้องถือว่า พรรคพลังประชารัฐและฝ่าย "สนับสนุน คสช." แพ้การเลือกตั้งอย่างชัดเจนแล้ว
แต่หลังจากวันนั้น กกต. ก็ยังคงไม่ประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส. ในระบบบัญชีรายชื่อ ก่อนออกสูตรคำนวนแบบใหม่มาใช้ที่ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้ง และไม่เคยมีใครเข้าใจมาก่อน ซึ่งตามสูตรคำนวนแบบใหม่ของ กกต. จะทำให้หลายพรรคการเมืองได้ที่นั่ง ส.ส. ลดลง แต่จะมีพรรคการเมืองอีก 11  พรรค ได้ ส.ส. เพิ่ม 1 ที่นั่ง และต่อมาทั้ง 11 พรรคการเมืองนี้ก็ออกมาแถลงสนับสนุนให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้เสียงของพรรคการเมืองฝ่าย "ไม่เอา คสช." ลดลง รวมแล้วได้ 245 เสียง น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร  
10. หากไม่มี 250 .จะจูงใจพรรคอื่นเข้าร่วมไม่ได้
 
ลำพังพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย และพรรคประชาชนปฏิรูป ที่ประกาศไว้ก่อนเลือกตั้งว่าจะ "สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์" ให้เป็นนายกรัฐมนตรี รวมกันแล้วได้ส.ส. 122 ที่นั่ง ยังไม่พอสำหรับการเลือกนายกรัฐมนตรี จำเป็นต้องเจรจาและรวมเอาพรรคการเมืองอื่นๆ อีกเข้ามาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลด้วย ซึ่งสองพรรคการเมืองที่ประกาศตัวเข้าร่วมอย่าง พรรคภูมิใจไทย ที่ได้ ส.ส. 51 ที่นั่ง และพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ได้ ส.ส. 10 ที่นั่ง ต่างประกาศยอมเข้าร่วมเพราะ "เพื่อให้ประเทศเดินหน้า" 
 
เหตุผลนี้มีเบื้องหลัง คือ ส.ว. ที่ คสช. เลือกมาเอง 250 คน นอกจากจะลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีแล้วก็ยังมีอำนาจพิจารณาออกกฎหมาย พิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ติดตามบังคับใช้ยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งพรรคการเมืองฝ่าย "ไม่เอา คสช." ได้จัดตั้งรัฐบาล ก็จะต้องพบอุปสรรคจาก ส.ว. กลุ่มนี้อย่างแน่นอนและจะเป็นรัฐบาลที่ไม่มีเสถียรภาพ ดังนั้น การที่พรรคการเมืองอื่นๆ "จำเป็น" ต้องยอมเลือกข้างพรรคพลังประชารัฐ ก็เพื่อให้การออกกฎหมายและนโยบายต่างๆ ที่พรรคต้องการผลักดันไม่ติดการขัดขวางจากกลุ่ม ส.ว. นั่นเอง ถ้าหากฝ่าย คสช. ไม่มีกลุ่ม ส.ว. อยู่ในมือเช่นนี้ ก็มีความชอบธรรมน้อยกว่าและมีอำนาจต่อรองทางการเมืองน้อยกว่าที่จะไปชวนพรรคการเมืองอื่นๆ มาเข้าร่วมด้วย