ร่าง พ.ร.บ. โรงงาน: ระเบิดเวลาของชุมชนและสิ่งแวดล้อม

ในช่วงสี่ถึงห้าปีของรัฐบาลคสช. มีการออกกฎหมายและคำสั่งมากมายล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุนทั้งสิ้น อย่างเช่น คำสั่ง คสช. 4/2559 ฉีกผังเมืองตั้งโรงงานไฟฟ้าขยะ หรือประกาศกระทรวงทรัพย์ที่ไม่ต้องทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมก่อนสร้างโรงไฟฟ้าขยะ  มาจนถึงล่าสุดสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือ สนชอยู่ระหว่างการพิจารณาวาระที่ 3 “ร่างพระราชบัญญัติโรงงาน (ปรับปรุงหลักเกณฑ์การควบคุมการประกอบกิจการโรงงาน)”
โดยสาระสำคัญของ ร่าง พ.ร.บ.โรงงานฉบับนี้มีการปรับเปลี่ยนและตัดบางมาตราของ พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 (ฉบับเดิม) เช่น การปลดล็อคโรงงานขนาดเล็กออกจากการควบคุม การตัดอำนาจกรมโรงงานเข้าไปควบคุมตรวจสอบ หรือ เปิดช่องเอกชนตรวจสอบโรงงานกันเอง-ช่วยกันเอง ซึ่งทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการลดมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและชุมชน จนมีภาคประชาชนออกมาคัดค้าน

แก้นิยาม “โรงงาน” กับ “การตั้งโรงงาน” ลดการควบคุมโรงงานขนาดเล็ก

ในร่าง พ.ร.บ.โรงงานฉบับใหม่ มาตรา 4 มีการแก้ไขนิยามของคำว่า ‘โรงงาน’ ใหม่ ให้หมายถึง อาคาร สถานที่ พาหนะที่ใช้เครื่องจักรขนาดตั้งแต่ 50 แรงม้าขึ้นไปหรือกิจการที่มีคนงานตั้งแต่ 50 คนขึ้น 
ซึ่งข้อกำหนดเช่นนี้จะทำให้โรงงานมากกว่า 60,000 แห่งทั่วประเทศที่มีกำลังแรงม้าและคนงานต่ำกว่าเกณฑ์ ไม่ถูกจัดเป็นโรงงานภายใต้การกำกับดูแลกฎหมายโรงงาน แต่จะอยู่ภายใต้การดูแลของข้อบัญญัติท้องถิ่น หรือ พ.ร.บ. สาธารณะสุข พ.ศ 2535 แทนซึ่งสามารถประกอบกิจการได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงผังเมืองหรือทำเลที่ตั้ง
ในขณะเดียวกัน ก็มีการแก้ไขเรื่องนิยาม “การตั้งโรงงาน” ด้วย โดยหมายถึงการนำเครื่องจักรเข้ามาติดตั้งเท่านั้น หรือนำคนมาประกอบกิจการโรงงาน  ซึ่งต่างจากพ.ร.บ.ฉบับเก่าว่า “การตั้งโรงงาน” คือการก่อสร้างอาคารเพื่อติดตั้งเครื่องจักร การกำหนดนิยามเช่นนี้ทำให้เกิดข้อกังวลว่า จะเปิดช่องให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างอาคารโรงงานได้โดยไม่ต้องขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานก่อน และค่อยติดตั้งเครื่องจักรทีหลัง 
นอกจากนี้ อาจจะส่งผลเสียหายรุนแรงต่อชุมชนภายหลัง เนื่องบางกิจการที่ใช้เครื่องจักรขนาดเล็กและมีคนจำนวนไม่มาก แต่เป็นกิจการที่มีความเสี่ยงสูงและกระทบกับสิ่งแวดล้อม  ตัวอย่างเช่น กิจการคัดแยกของเสีย กิจการหล่อหลอม กิจการรีไซเคิลของเสีย การจัดเก็บสารเคมีอันตราย และอื่นๆ อีกทั้งยังเอื้อโรงงานขนาดใหญ่สามารถตั้งโรงงานได้โดยไม่ต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการ 
รวมถึง อาจทำให้เกิดการลัดขั้นตอนการทำรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA/ EHIA) ซึ่งทำให้เกิดความหละหลวมในการตรวจสอบและขาดการพิจารณาถึงความเหมาะสมของทำเลที่ตั้งโรงงาน และผลกระทบอื่นๆที่ถูกมองข้าม
และในมุมของผู้ประกอบการก็อาจจะได้รับผลกระทบไปด้วย เช่น หากเกิดปัญหาระยะยาวจากสารมลพิษและความขัดแย้งกับชุมชน ผู้ประกอบการต้องเสียงค่าใช้จ่ายในการสู้คดี ค่าเสียหายจากผลกระทบต่อสุขภาพชุมชน และโดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูพื้นที่ปนเปื้อนมลพิษ  
จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาวารด์ในปี 2557  จะพบว่า ในการจัดการความขัดแย้ง ผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้ประเมิณไว้สูงถึงร้อยละ 35-50 รวมถึงเสียเวลาและโอกาสการขยายธุรกิจอีกทั้งได้รับปริมาณการผลิตที่น้อยลง

ยกเลิกระบบ ‘ต่อใบอนุญาต’ ตัดอำนาจการควบคุมโรงงาน

ร่าง พ.ร.บ.โรงงาน ฉบับใหม่ ในมาตรา 10 มีการยกเลิกระบบการขอต่อใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานทุก 5 ปี ออกไป และในขณะเดียวกันยังให้ผู้ประกอบการเป็นฝ่ายรับรองตนเองแทนเจ้าหน้าที่รัฐหรือเอกชน
ปัญหาที่ทำให้เกิดความกังวลคือ ที่ผ่านมาการกำหนดให้มีการต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการทุก 5 ปี เป็นสิ่งจำเป็นเพราะเป็นการให้เจ้าหน้าที่รัฐตรวจสอบสภาพโรงงาน เครื่องจักร รวมถึงความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนที่อยู่ใกล้ว่าจะสามารถดำเนินการเปิดต่อไปได้หรือไม่ และการให้ผู้ประกอบการรับรองตนเองก็เป็นการลดบทบาทการตรวจสอบของกรมโรงงานลง และทำให้หลักปฏิบัติตามเงื่อนไขในการออกใบอนุญาตถูกละเลย หากโรงงานอยู่ในสภาพไม่ปลอดภัยก็จะไม่ได้รับการแก้ไข 

เปิดช่องเอกชนตรวจสอบโรงงานกันเอง-ช่วยกันเอง

ร่าง พ.ร.บ.โรงงาน ฉบับใหม่ ในมาตรา 9 ระบุว่า การตรวจสอบโรงงานหรือเครื่องจักรสามารถให้ผู้ตรวจสอบโรงงานเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคลดำเนินการและจัดทำรายงานผลตรวจสอบแทนพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ 
ทั้งที่ โดยปกติแล้วการตรวจสอบสภาพเครื่องจักรหรือโรงงาน เดิมเป็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม แต่ทว่ากฎหมายใหม่ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถตรวจสอบสภาพโรงงานและออกมาตราการการกำกับดูแลให้ผู้ประกอบการนำไปปรับปรุงแก้ไขได้ 
อย่างไรก็ตาม ในมาตรานี้เปิดช่องให้บรรดาเอกชน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลรายเดียวหรือนิติบุคคล ตรวจสอบกันเองและอาจนำไปสู่การทุจริตได้ส่งผลให้มาตรการตรวจสอบเพื่อป้องกันมีปัญหา

ตัดมาตรการเยียวยาความเสียหายจากโรงงาน

ในร่าง พ.ร.บ.โรงงาน ฉบับใหม่ มีการตัดมาตราว่าด้วยประกันภัย หรือหลักประกันหรือกองทุนเพื่อการเยียวยาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการประกอบกิจการโรงงาน หรือเพื่อการฟื้นฟู หรือเพื่อการทำให้พื้นที่ตั้งโรงงาน หรือบริเวณโดยรอบกลับคืนสู่สภาพเดิมหรือสภาพที่เหมาะสม ออกไป ซึ่งมาตราดังกล่าว เป็นมาตราสำคัญและควรนำมาปรับใช้เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน รวมถึงยังเป็นการสร้างธรรมาภิบาลให้ผู้ประกอบการที่จะต้องรับผิดชอบสำหรับการแก้ไขสิ่งแวดล้อมที่ว่าผู้สร้างมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย  ทว่าได้มีการตัดมาตรานี้ทิ้งซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาครัฐให้ความสำคัญแค่ผู้ประกอบการและเอื้อความสะดวกในการลงทุนเท่านั้น 

บทลงโทษผู้ประกอบการใช้ตั้งแต่ปี 35 ไม่เคยแก้ไข

แม้ว่าร่าง พ.ร.บ. โรงงานได้มีการบัญญัติโทษไว้ที่ มาตรา 57 ว่าหากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งให้แก้ไขของเจ้าหน้าที่ ในกรณีที่โรงงานก่อความเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสน ปรับอีกวันละไม่เกิน 5,000 ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืน แต่บทลงโทษ พ.ร.บ. โรงงานอันนี้กำหนดไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 ปัจจุบันก็ไม่ได้ปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป 
ที่ผ่านมา บทลงโทษตัวนี้ล้าสมัยและไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะปราบปรามการทำผิดหรือให้ผู้กระทำผิดเกรงกลัว เนื่องจากผู้กระทำผิด สามารถจ่ายค่าปรับได้ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ก็มีข้อจำกัดในการออกคำสั่งให้ปรับปรุงหรือพักการดำเนินกิจการสำหรับผู้ประกอบการที่กระทำผิดซ้ำๆ รวมถึงมีข้อจำกัดในการใช้ดุลพินิจที่จะลงโทษปรับทางแพ่ง หรือโทษทางอาญา เป็นต้น  อีกทั้งในกรณีที่ได้รับพลกระทบจากมลพิษ ประชาชนสามารถเรียกค่าเสียหายจากรัฐได้ แต่ประชาชนก็ต้องไปฟ้องร้องศาลเอง