“ปลูกป่า” ทับพื้นที่ไร่หมุนเวียนของชาวกะเหรี่ยง อ.ท่าสองยาง

 

สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) รายงานว่า ช่วงสายของวันที่ 9 กรกฎาคม 2561 ผู้ใหญ่บ้านแม่วะหลวง ตำบลแม่วะหลวง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก นำชาวบ้านจำนวนหนึ่ง เข้าไปปลูกป่าในพื้นที่ไร่หมุนเวียน ที่มีต้นข้าวขึ้นสูงกว่าคืบหนึ่งแล้ว โดยบริเวณพื้นที่ดังกล่าวมีชาวบ้านทำกินอย่างน้อย 7 ครอบครัว และเป็นพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชนที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว นอกจากนี้ยังทราบว่า ก่อนหน้านี้มีพื้นที่ไร่หมุนเวียนหลายหมู่บ้านในตำบลเดียวกัน ได้ถูกปลูกป่าทับที่ไปแล้วเช่นเดียวกัน
จากการสอบถามชาวบ้านบ้านแม่วะหลวงต่างบอกว่า ผู้นำชุมชนแจ้งแก่ชาวบ้านเพียงว่าเป็นโครงการปลูกป่าของอำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ซึ่งนายอำเภอได้มีคำสั่งให้ผู้ใหญ่บ้านต้องดำเนินการ แต่ไม่ทราบว่าปลูกเพื่ออะไร และพื้นที่ดังกล่าวจะถูกยึดไปด้วยหรือไม่ นอกจากนี้ก่อนดำเนินการปลูกยังไม่มีการสอบถามหรือขอความยินยอมแต่อย่างใด 
ชาวบ้านซึ่งไม่ประสงค์จะออกนาม ผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ที่ถูกปลูกป่าทับ กล่าวว่า “รู้สึกสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะพื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่ทำกินดั้งเดิมและล้วนอยู่ภายในเขตพื้นที่โฉนดชุมชน ที่ได้รับการคุ้มครองตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน (ฉบับแก้ไข) พ.ศ. 2555 นอกจากนี้เมื่อชาวบ้านทราบว่าเป็นโครงการที่สั่งการโดยนายอำเภอ ต่างก็เกิดความกลัวและไม่กล้าออกมาโต้แย้งคัดค้าน”  
ผู้นำชุมชนหลายคน ได้ให้ข้อมูลว่า ก่อนหน้านี้ประมาณสองอาทิตย์ ประสงค์ หล้าอ่อน นายอำเภอท่าสองยาง ได้นำเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเข้าไปปลูกป่าที่หมู่บ้านปอเคลอะเด หมู่ 5 ซึ่งอยู่ในเขตตำบลแม่วะหลวงเช่นเดียวกัน เป็นพื้นที่ไร่หมุนเวียนเก่า ไม่ใช่พื้นที่บุกรุกใหม่ ที่ชาวบ้านปลูกข้าวจนขึ้นสูงกว่าคืบหนึ่งแล้ว นับแต่ปลูกเสร็จจนถึงขณะนี้ ในหมู่บ้านปอเคลอะเด เกิดความขัดแย้งกันอย่างมาก ส่วนหมู่บ้านอื่นๆ ในตำบลแม่วะหลวงนั้น นายอำเภอได้สั่งให้ผู้ใหญ่บ้านไปดำเนินการปลูกกันเอง โดยกำหนดว่า ต้องเป็นพื้นที่ทำกินปัจจุบันเท่านั้น และนายอำเภอจะลงพื้นที่ไปตรวจสอบในเร็วๆ นี้ ทำให้ผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้านต้องเร่งดำเนินการ
“เรื่องนี้ ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะตำบลแม่วะหลวงเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ครอบคลุมทั้งอำเภอ เป็นโครงการที่นายอำเภอต้องการทวงพื้นที่ แต่การปลูกในพื้นที่ที่เป็นพื้นที่โล่ง ในป่าเขาก็ไม่ปลูก ดังนั้นเราจะเห็นว่า เป็นการปลูกในพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน โดยให้แต่ละหมู่บ้านไปหาพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่ใกล้ถนน มองเห็นได้ชัด เขาเรียกว่า สวมรองเท้าให้ดอย สวมหมวกให้ภูเขา โดยใช้งบประมาณจากโครงการไทยนิยมยั่งยืน 200,000 บาทที่รัฐบาลให้มา” แหล่งข่าวในพื้นที่กล่าว
ผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่ง กล่าวว่า นายอำเภอได้ชี้แจงในที่ประชุมกำนันผู้ใหญ่บ้านว่า จะให้ทุกหมู่บ้านในพื้นที่อำเภอท่าสองยางปลูกต้นไผ่เพื่อเป็นการส่งเสริมอาชีพ โดยอำเภอได้จัดต้นกล้าให้หมู่บ้านละ 3,000 ต้น กำหนดพื้นที่ปลูกอย่างน้อยหมู่บ้านละ 50 ไร่ ขึ้นไป โดยให้เหตุผลว่า ในระยะยาวชาวบ้านจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งในวันดังกล่าวยังได้นำวิทยากรมาพูดถึงประโยชน์ของไม้ไผ่อีกด้วย แต่มีเงื่อนไขว่า พื้นที่ที่ปลูกไปแล้วนั้นให้เป็นของชุมชน โดยให้เจ้าของที่ดูแลรักษาไว้และสามารถตัดไปใช้ประโยชน์ได้ แต่ห้ามไม่ให้แผ้วถางทำประโยชน์อย่างอื่น แต่เมื่อจะลงมือปลูกจริงๆ ชาวบ้านก็กล่าวหาว่าผู้ใหญ่บ้านไปยึดที่ทำกินของชาวบ้านไปให้อำเภอปลูกป่า หลังจากลงมือปลูกเสร็จไปหลายหมู่บ้าน ทำให้เกิดความขัดแย้งในหมู่บ้านกันอย่างรุนแรง     
ผู้ใหญ่บ้านอีกคนหนึ่ง เล่าว่า “นายอำเภอเป็นผู้ลงพื้นที่ไปชี้จุดให้ปลูก โดยสั่งให้เจ้าหน้าที่ไปจับพิกัด GPS ไว้ ซึ่งก่อนหน้าที่จะลงมือปลูกนั้น ตนได้ทักท้วงนายอำเภอแล้วว่า พื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ไร่หมุนเวียนที่ชาวบ้านได้ทำมาแต่เดิม หากปลูกป่าชาวบ้านจะเดือดร้อน พร้อมทั้งได้เสนอให้ไปปลูกในจุดอื่นที่เจ้าของที่ดินยินยอมให้ปลูกแล้ว แต่นายอำเภอก็ยืนยันว่าให้ปลูกที่เดิม โดยเพียงบอกว่า เพราะเป็นเขาหัวโล้น” 
นอกจากนี้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งยังได้บอกว่า “ตอนนี้รู้สึกกังวลมาก เนื่องจากเจ้าของที่ไม่ยินยอมให้ปลูก และเมื่อดูเงื่อนไขของทางอำเภอแล้วก็เหมือนเป็นการยึดที่ดินทำกินของเขาไปเลย” 
เมื่อถามว่า เป็นโครงการอะไร ผู้ใหญ่บ้านหลายหมู่บ้านบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ใช้งบประมาณจาก “โครงการไทยนิยมยั่งยืน” ซึ่งรัฐบาลจัดสรรให้หมู่ที่ละ 200,000 บาท โดยในรายละเอียดอย่างอื่นนั้นผู้นำชุมชนไม่ทราบ 
โครงการนี้มีผลกระทบต่อชาวบ้านกระจายไปทั้งอำเภอ ซึ่งมีทั้งหมด 6 ตำบล 67 หมู่บ้าน ชาวบ้านในท้องที่ตำบลแม่วะหลวง จึงได้เริ่มปรึกษาหารือกันแก้ไขปัญหาและขอความชัดเจนจากทางอำเภอ หากการปลูกป่าทับที่ครั้งนี้เป็นการยึดที่ดินทำกิน ก็จำเป็นต้องดำเนินการร้องเรียนไปยังรัฐบาลต่อไป เนื่องจากรัฐบาลนี้ได้ประกาศนโยบายแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินให้แก่ราษฎรไปแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งมีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน