27 มีนาคม 2561 สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร (สขร.) สำนักปลัดนายกรัฐมนตรี จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นภาคประชาชน เกี่ยวกับการเสนอร่างพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ ฉบับแก้ไขกฎหมายเดิม ซึ่งเป็นการรับฟังความเห็นตามกระบวนการที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 77 กำหนดไว้ว่า ก่อนการตราหรือออกกฎหมายหน่วยงานรัฐจะต้องจัดเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยมีผู้เข้าร่วมจากภาคประชาชนและภาคประชาสังคมประมาณ 60 คน
พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ ฉบับที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เป็นกฎหมายที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2540 ซึ่งในยุคสมัยนั้น พอถือได้ว่า สิทธิการเข้าถึงข้อมูลของประชาชนในประเทศไทยได้รับการคุ้มครองอย่างทันสมัย ล้ำหน้าไปกว่าประเทศเพื่อนบ้าน แต่เมื่อเวลาผ่านมากว่า 20 ปี กฎหมายนี้ถูกบังคับใช้เป็นเวลานานก็เกิดประสบการณ์ร่วมกันว่า หลักการบางอย่างไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ทำให้ประชาชนไม่อาจเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานรัฐได้ครบถ้วน และสะดวกรวดเร็ว จึงมีเสียงเรียกร้องมาตลอดในช่วงสิบปีหลังว่า กฎหมายนี้ควรถูกปรับปรุงได้แล้ว
![](https://www.ilaw.or.th/wp-content/uploads/2018/04/stack-paper2.jpg)
ที่มาภาพ Paper Cliff
เสนอแก้ไข พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารฯ ปี 40 ทั้งหมด 14 ประเด็กหลัก
คณะกรรมการผู้จัดทำร่างพ.ร.บ. ฉบับแก้ไข เสนอให้แก้ พ.ร.บ. ฉบับปี 2540 ทั้งหมด 14 ประเด็น คือ
1. กำหนดให้ พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารฯ เป็นกฎหมายกลางในการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของทางราชการ เว้นแต่มีกฎหมายอื่นกำหนดหลักเกณฑ์ไว้เฉพาะ
2. เพิ่มนิยามคำว่า “ข้อมูลข่าวสารสาธารณะ” หมายถึง ข้อมูลข่าวสารของราชการที่หน่วยงานของรัฐต้องเปิดเผยให้ประชาชนได้รับรู้ รับทราบ หรือตรวจสอบได้โดยไม่จำเป็นต้องร้องขอ และกำหนดให้ข้อมูลบางอย่างถือเป็นข้อมูลข่าวสารสาธารณะที่ต้องเปิดเผยต่อประชาชน
3. แก้ไขนิยาม “หน่วยงานรัฐ” ให้ครอบคลุมหน่วยงานต่างๆ มากขึ้นกว่าเดิม รวมไปถึง สำนักงานอัยการสูงสุด องค์การมหาชน มหาวิทยาลัยนอกระบบ ละหน่วยงานหรือองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐในทำนองเดียวกันไม่ว่าจะได้รับงบประมาณแผ่นดินหรือไม่ก็ตาม
4. ยกเลิกนิยาม “คนต่างด้าว”
5. เพิ่มมาตรา 9/1 กำหนดให้ ให้หน่วยงานของรัฐเผยแพร่หรือเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วย
6. แก้ไขมาตรา 11 กำหนดให้ชัดเจนว่า กรณีมีประชาชนมาขอข้อมูลข่าวสาร ให้หน่วยงานของรัฐต้องจัดหาข้อมูลข่าวสารให้ผู้ขอภายในเวลา 30 วัน จากเดิมที่ไม่ได้มีกำหนดระยะเวลาชัดเจน แต่กำหนดแค่ภายในเวลาอันสมควร
7. เพิ่มมาตรา 11/1 กำหนดให้หน่วยงานรัฐทุกแห่งต้องมีคณะกรรมการข้อมูลสารประจำหน่วยงาน เพื่อทำหน้าที่วางระบบการเปิดเผยข้อมูล
8. เพิ่มมาตรา 13 วรรคสาม กำหนดมาตรการลงโทษทางวินัยกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่เปิดเผยข้อมูลโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
9. เพิ่มมาตรา 24/1 กำหนดให้มีหลักเกณฑ์รักษาความปลอดภัยสำหรับข้อมูลส่วนบุคคลที่มีการเปิดเผยข้อมูล หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างหน่วยงานของรัฐ
10. ยกเลิกมาตรา 26 เดิม ที่เคยกำหนดให้ข้อมูลที่ไม่เปิดเผยต่อประชาชนจะต้องจัดส่งให้หอจดหมายเหตุแห่งชาติเก็บรักษาเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ เมื่อพ้นระยะเวลาที่กำหนด
11. แก้ไขมาตรา 27 เรื่ององค์ประกอบของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร โดยเพิ่มให้ปลัดกระทรวงทุกกระทรวงเป็นกรรมการ
12. แก้ไขมาตรา 28 เพิ่มเติมอำนาจของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร ให้เข้ามามีบทบาทคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูล และเสนอความเห็นเพื่อปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้
13. เพิ่มมาตรา 28/1, 28/2, 28/3 และแก้ไขมาตรา 29 กำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการสรรหา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและการปฏิบัติหน้าที่ของ กขร.
14. เพิ่มมาตรา 37 วรรคสี่ กำหนดให้ผู้อุทธรณ์ที่ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารมีสิทธิฟ้องศาลปกครองโดยตรง ภายใน 90 วัน
ข้อกังวลต่อการยกเลิกมาตรา 26 ห่วงบันทึกประวัติศาสตร์ไม่ได้
คณะกรรมการผู้เสนอร่างพ.ร.บ. ฉบับนี้ เสนอให้ยกเลิกมาตรา 26 หมวดเอกสารทางประวัติศาสตร์ ในกฎหมายเดิมทั้งมาตรา โดยให้เหตุผลว่า หลักการซ้ำซ้อนกับ พ.ร.บ.จดหมายเหตุแห่งชาติ 2556
มาตรา 26 ของ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พ.ศ.2540 ระบุว่า
“ข้อมูลข่าวสารของราชการที่หน่วยงานของรัฐไม่ประสงค์จะเก็บรัักษาหรือมีอายุครบกำหนดตามวรรคสองนับตั้งแต่วันที่เสร็จสิ้นการจัดให้มีข้อมูลข่าวสารนั้น ให้หน่วยงานของรัฐส่งมอบให้แก่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากรหรือหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา เพื่อคัดเลือกไว้ให้ประชาชนได้ศึกษาค้นคว้า
“ข้อมูลข่าวสารของราชการที่หน่วยงานของรัฐไม่ประสงค์จะเก็บรัักษาหรือมีอายุครบกำหนดตามวรรคสองนับตั้งแต่วันที่เสร็จสิ้นการจัดให้มีข้อมูลข่าวสารนั้น ให้หน่วยงานของรัฐส่งมอบให้แก่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากรหรือหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา เพื่อคัดเลือกไว้ให้ประชาชนได้ศึกษาค้นคว้า
กำหนดเวลาต้องส่งข้อมูลข่าวสารของราชการตามวรรคหนึ่งให้แยกตามประเภทดังนี้
(1) ข้อมูลข่าวสารของราชการตามมาตรา 14 เมื่อครบ 75 ปี
(2) ข้อมูลข่าวสารของราชการตามมาตรา 15 เมื่อครบ 20 ปี”
มาตรา 26 กำหนดขึ้นเพื่อรับรองว่า ข้อมูลของทางราชการที่ไม่อาจเปิดเผยต่อประชาชนเพราะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 14 และ 15 เมื่อพ้นระยะเวลา 75 หรือ 20 ปี อย่างไรเสียก็จะถูกส่งไปเก็บเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ การยกเลิกมาตรานี้จึงเป็นการยกเลิกหลักประกันการเข้าถึงข้อมูลของทางราชการที่เกิดขึ้นจริง และทำให้ข้อมูลบางประเภทอาจถูกอ้างเหตุยกเว้นไม่เปิดเผยต่อประชาชนในขณะที่ประชาชนต้องการข้อมูล และเมื่อไม่ต้องส่งให้หอจดหมายเหตุแห่งชาติก็อาจทำให้ข้อมูลเหล่านั้นเป็นความลับตลอดไปได้
ตามพ.ร.บ.จดหมายเหตุแห่งชาติ พ.ศ. 2556 มีมาตราที่เกี่ยวข้องกับการเก็บเอกสารจากหน่วยงานราชการ คือ มาตรา 7 ซึ่งกำหนดว่า
“เพื่อเป็นประโยชน์ในการเก็บรักษาเอกสารจดหมายเหตุ ให้หน่วยงานของรัฐเก็บรักษาเอกสารของราชการในการปฏิบัติงานหรือที่อยู่ในความครอบครอบของหน่วยงานที่รัฐที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ เพื่อส่งมอบให้แก่กรมศิลปากรต่อไป
(1) มีคุณค่าตามวัตถุประสงค์ของหน่วยงานรัฐนั้น
(2) มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์
(3) มีคุณค่าเพื่อการศึกษา การค้นคว้า หรือการวิจัย
การเก็บรักษาเอกสารราชการตามวรรคหนึ่ง ให้หน่วยงานของรัฐจัดทำรายการหรือตารางการเก็บรักษาเอกสารราชการซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วย ประเภทและหมวดหมู่ของเอกสาร ระยะเวลาการเก็บรักษาเอกสาร วิธีการเก็บรักษาเอกสาร และส่งมอบรายการหรือตารางเก็บรักษาเอกสารราชการทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกำหนด”
ถ้าอิงตามหลักการของมาตรา 7 ของ พ.ร.บ.จดหมายเหตุแห่งชาติ จะเห็นว่าการเก็บรักษาเอกสารราชการจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกำหนด ซึ่งในปัจจุบันไม่สามารถสืบค้นหรือค้นหาหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวพบ และเอกสารที่ต้องส่งไปเก็บรักษาตามมาตรา 7 ก็ยังมีขอบเขตกว้างขวาง ไม่ได้กำหนดให้เฉพาะเจาะจงว่า ข้อมูลของทางราชการที่ไม่อาจเปิดเผยได้จะต้องถูกเก็บรักษาไว้เป็นประวัติศาสตร์ทั้งหมด
ในประเด็นนี้ผู้ร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็นหลายคน แสดงความไม่เห็นด้วยที่จะให้ยกเลิกมาตรา 26 เพราะเห็นว่า หลักเกณฑ์ตาม พ.ร.บ.จดหมายเหตุฯ ยังไม่มีความชัดเจน ถ้าหากออกหลักเกณฑ์มาภายหลังแล้วไม่ครอบคลุมการเก็บเอกสารราชการตามมาตรา 26 เดิม ก็จะทำให้เกิดความเสียหายต่อการบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ส่วนการคงมาตรา 26 ไว้ใน พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการเช่นเดิม ก็ไม่ได้เป็นการทำให้ซ้ำซ้อนในหลักการของกฎหมาย
![](https://c1.staticflickr.com/3/2869/11948644563_facc65ff1a_c.jpg)
กำหนดให้ ปลัดทุกกระทรวง เป็นกรรมการคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร
องค์ประกอบของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารตาม พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ประกอบด้วย
(1) รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธาน
(2) ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงพาณิชย์
(3) เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
(4) ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
(5) ผู้ทรงคุณวุฒิอื่นจากภาครัฐและเอกชน ซึ่งคณะรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งอีก 9 คน
รวมเป็น 22 คน
ในร่าง พ.ร.บ.ฉบับแก้ไข เสนอให้มีการเพิ่มปลัดกระทรวงทุกกระทรวงเข้ามาเป็นกรรมการ โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้ทุกกระทรวงรับทราบนโยบายของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ และกำชับหน่วยงานของตนให้ดำเนินการตามนโยบายและปฏิบัติตามได้ ซึ่งจะทำให้กรรมการทั้งหมดมีเป็นจำนวน 36 คน
สำหรับประเด็นนี้มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและผู้ที่ไม่เห็นด้วย โดยผู้ที่เห็นด้วยให้เหตุผลว่า เมื่อกฎหมายต้องบังคับใช้กับทุกหน่วยงานอยู่แล้ว ดังนั้นการให้ปลัดทุกกระทรวงมาเป็นกรรมการ ก็จะทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ ในส่วนที่ผู้ไม่เห็นด้วยแย้งว่า ถ้ากำหนดให้ปลัดทุกกระทรวงเป็นกรรมการในคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารฯ จะทำให้เกิดความล่าช้าในการพิจารณาคำร้องได้ เพราะการนัดหมายการประชุมอาจทำได้ยากขึ้น หากมีคณะกรรมการเพิ่มขึ้นจำนวนมาก และจะทำให้สัดส่วนของกรรมการที่มาจากข้าราชการประจำมีจำนวนมากขึ้นมาก เมื่อเทียบสัดส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน
มีข้อสังเกตว่า ในการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของ สขร. ผู้เข้าร่วมที่มาแสดงความคิดเห็นมีทั้งนักวิชาการ ประชาชนทั่วไป คนทำงานภาคประชาสังคม โดยผู้เข้าร่วมจะถูกเชิญผ่านเครือข่ายต่างๆ เพื่อให้เข้าร่วมรับฟังความคิดเห็นในครั้งนี้ จากการสังเกตการณ์พบว่า ผู้เข้าร่วมหลายคนไม่สามารถแสดงความคิดเห็นหรือเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการได้ เนื่องจากไม่เข้าใจรายละเอียดและประเด็นในการรับฟังความคิดเห็น เพราะไม่ได้ติดตามและใช้งานกฎหมายข้อมูลข่าวสารมาก่อนหน้านี้ และเอกสารทั้งหมดเป็นภาษากฎหมายยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจ