นักวิชาการซัด ประชารัฐเอื้อทุนใหญ่ ซ้ำเติมคนจน ส่อเหลื่อมล้ำหนัก

 

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2560 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีการจัดงานเสวนาเรื่อง "ประชารัฐคืออะไร เพื่อคนไทยหรือเพื่อนายทุน?" โดยมีผู้ร่วมพูดคุยคือ  ผศ.ดร.สามชาย ศรีสันต์ วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ม.ธรรมศาสตร์, ดร.เดชรัต สุขกำเนิด ภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์, รศ.ดร.สุรวิช วรรณไกรโรจน์ ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร ม.เกษตรศาสตร์ และ ผศ.ดร.วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

 

++นโยบายประชารัฐกับต้นทุนทางสังคมที่เพิ่มขึ้น++

 

ผศ.ดร.สามชาย ศรีสันต์ วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า นโยบายประชารัฐเป็นนโยบายที่ประชันขันแข่งกับประชานิยม จะเห็นได้ว่า โครงการภายใต้นโยบายประชารัฐมีความเหมือนกับโครงการประชานิยมในอดีต เช่น โครงการบ้านเอื้ออาทร เปลี่ยนเป็นโครงการบ้านประชารัฐ กองทุนหมู่บ้านเดิมก็ถูกเปลี่ยนชื่อโครงการเป็นกองทุนเศรษฐกิจฐานราก ร้านธงฟ้าเป็นร้านประชารฐ คำว่า ประชารัฐ เคยถูกพูดถึงในอดีตคือ เพลงชาติไทย, แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 และการกล่าวถึงในหนังสือเรื่องประชารัฐ ของชัยอนันต์ สมุทรวาณิช  โดย ผศ.ดร. สามชาย อธิบายเน้นไปที่ส่วนที่สามคือ หนังสือประชารัฐของชัยอนันต์ 

 

ระบุว่า สิ่งที่หนังสือเล่มนี้พยายามนำเสนอคือ ประชารัฐเป็นแนวทางที่พยายามทำให้ประชาชนอยู่เหนือรัฐ  ลักษณะของประชารัฐคือ รัฐจะต้องได้รับการยอมรับอย่างชอบธรรม, จะต้องมีพื้นที่อิสระในการมีส่วนร่วม, มีระบบราชการจะต้องรับผิดชอบในการดำเนินการต่างๆ และจะต้องมีข้อมูลข่าวสารที่น่าเชื่อถือ ซึ่งลักษณะทั้งหมดไม่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งในทางปฏิบัติ นโยบายประชารัฐยังนำภาคธุรกิจเอกชนมาเป็นส่วนขับเคลื่อนที่แทบจะควบคุมรัฐ  ซึ่งเป็นการสร้างโครงสร้างทางสังคมที่เป็นอันตราย

 

ในแง่นี้คือ รัฐกำลังจับมือกับเอกชนรายใหญ่ให้มาลงทุนในบริษัทประชารัฐรักสามัคคี ซึ่งกลุ่มบริษัทที่มีความเข้มแข็งมากเหล่านี้ยังเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วนที่สูงของบริษัทประชารัฐรักสามัคคีที่กระจายในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ ขณะเดียวกันรัฐจัดสรรเงินผ่านโครงการต่างๆ เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นต้น ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลทำเกี่ยวกับประชารัฐตอนนี้คือ ส่งเงินลงไปจำนวนมากและให้บริษัทฯ ไปตั้งรออยู่ นอกจากนี้รัฐยังทำตัวเสมือนประทับตรารับรองร้านค้าประชารัฐ เพื่อให้คนไปซื้อสินค้ามากขึ้น คำถามคือคิดว่าสุดท้ายเงินมันจะไปที่ไหน?

 

 

ผศ.ดร.สามชาย อธิบายถึงบริษัทประชารัฐรักสามัคคีว่า เป็นวิสาหกิจชุมชนจัดตั้งเพื่อให้เอกชนไปช่วยชาวบ้านและหาตลาดให้ และคาดหวังว่า บริษัทเอกชนจะนำความรู้ของภาคเอกชนไปช่วยชาวบ้าน โดยตั้งข้อสังเกตในการดำเนินงานในลักษณะนี้ จะมั่นใจได้อย่างไรว่า สินค้าพวกนี้จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ได้จริง เนื่องจากก่อนหน้าที่จะมีบริษัทประชารัฐก็เคยมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในโครงการอื่นมามากแล้ว และจะแน่ใจได้อย่างไรว่า สินค้าของชาวบ้านจะถูกวางเพื่อที่ชาวบ้านจะได้ผลกำไร เพราะว่าการจัดวางสินค้าเหล่านี้มีต้นทุนที่ต้องเสีย

 

ทั้งอันที่จริงไทยมีวิสาหกิจชุมชนอยู่แล้ว และเป็นวิสาหกิจชุมชนที่ชาวบ้านถือหุ้น 100 เปอร์เซนต์ ทำไมไม่เริ่มต้นจากด้านล่าง ถ้าเอกชนบริสุทธิ์ใจที่จะช่วย ทำไมไม่เริ่มต้นจากฐานล่างที่เป็นประชาชนก่อน แทนที่จะไปเริ่มจากด้านบนอย่างรัฐหรือเอกชนเช่นนี้ หากจะทำประชารัฐ ภาคประชาชนจะต้องเป็นใหญ่ และสมาทานสิทธิในการเข้าถึงทุนหรือทรัพยากรของภาคประชาชน การจัดสรรที่ดิน ป่าไม้และน้ำ ที่ปัจจุบันถูกลิดรอนมาโดยตลอดต้องให้ประชาชนเข้าถึงให้ได้ และกระบวนการยุติธรรมต้องเป็นธรรม ประชารัฐที่รัฐบาลกำลังพูดถึงคือ การสร้างความเท่าเทียมกันและความเป็นประชาธิปไตย แต่ผิดฝาผิดตัว วิธีปฏิบัติจึงเลื่อนไหลไปเรื่อย สร้างความไม่เชื่อมั่นและเสื่อมศรัทธาลงไปเรื่อยๆ

 

ทั้งหมดที่กล่าวมา ประชารัฐส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำและความไม่เท่าเทียมเพิ่มสูงขึ้น ทุนขนาดใหญ่ เอกชนจะครอบคลุมรัฐ ประชาชนเป็นแรงงานในการผลิต ดึงทรัพยากรออกจากชุมชน สิ่งไหนมีคุณภาพจะถูกดึงออกมา ปัญหาความเหลื่อมล้ำยังคงอยู่และมีแนวโน้มอาจจะรุนแรงมากขึ้น กลุ่มทุนขยายอำนาจลงสู่ท้องถิ่นในรูปแบบของประชารัฐ

 

++คนจนในวงล้อมของประชา‘รัด’++

 

ดร.เดชรัต สุขกำเนิด ภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ทุนประชารัฐเป็นเครือข่ายเฉพาะตัวที่คนเข้าร่วมมีความใกล้ชิดกับรัฐบาล แต่หากมองในแง่บวก ในการจัดการเชิงโครงสร้าง การเปิดกว้าง การแก้ไขในเรื่องกฎกติกามีความจำเป็น แต่สิ่งที่คสช.ไม่ได้ทำคือ การออกพ.ร.บ. วิสาหกิจชุมชน อย่างชัดเจน ความแตกต่างระหว่าง พ.ร.บ.วิสาหกิจชุมชนกับนโยบายประชารัฐ  คือถ้าเป็นพ.ร.บ. หมายถึงทุกคนสามารถไปร่วมในวิสาหกิจชุมชนได้ แต่คสช.ไม่ออกพ.ร.บ. จึงกลายเป็นว่า ถ้าใครอยากร่วมวิสาหกิจชุมชนต้องมาร่วมกับรัฐภายใต้นโยบายประชารัฐ

 

สิ่งนี้คือปัญหาของกระบวนการที่ไม่ได้เปิดโอกาสให้ทุกคนทำหน้าที่ได้อย่างทัดเทียมกัน ดังนั้นใครที่เชื่อว่านโยบายประชารัฐ เป็นสิ่งที่ดี ต้องตั้งคำถามว่า ถ้ามันเป็นสิ่งที่ดี ทำไมถึงไม่เปิดโอกาสให้ทุกคนทำได้

 

ดร.เดชรัต ให้ภาพเศรษฐกิจไทยภายใต้นโยบายประชารัฐของคสช.ว่า ปี 2559 ประเทศไทยมีคนจนประมาณ 5.8 ล้านคน เพิ่มขึ้น 963,000 คนจากปี 2558  โดยกลุ่มคนที่จนที่สุดมีรายได้ประมาณ 9,604 บาทต่อเดือน มีรายจ่ายอยู่ที่ 12,163 บาทต่อเดือน ภาวะติดลบทางการเงินทำให้คนจนไม่ได้รับอาหารเท่ากับเกณฑ์ที่ควรจะได้รับ ไม่ใช่ว่าอาหารไม่พอ แต่คนจนเข้าถึงอาหารไม่ได้เพราะมีราคาแพงขึ้นอย่างมาก ซึ่งราคาที่แพงขึ้นนี้เกษตรกรไม่ได้รับผลประโยชน์มากนัก ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ตกอยู่ที่คนกลาง และคนที่ได้มากที่สุดคือคนที่อยู่ปลายทาง ซึ่งเป็นคนที่ทำนโยบายประชารัฐ  จะเห็นได้ว่า การดำเนินการนี้ทำแล้วยังไม่เห็นผลในภาพรวม แต่เห็นผลบางส่วนอย่างที่รัฐโฆษณากัน

 

 

เมื่อดูผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติเรื่อง ตัวเลขส่วนแบ่งรายได้ประจำของคนต่อเดือน เปรียบเทียบระหว่างปี 2558 และ 2560 กลุ่มคนที่จนที่สุดรายได้น้อยลง เมื่อพิจารณารวมแล้วคนไทย 40 เปอร์เซนต์มีรายได้น้อยลง ในขณะที่กลุ่มที่รวยอยู่แล้วกลับมีรายได้เพิ่มขึ้น แปลว่า เป็นเศรษฐกิจที่เติบโตดีในกลุ่มประชาชนที่มีรายได้ดี ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ในทางเศรษฐศาสตร์ในเมื่อเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศที่เริ่มขยับตัวดีขึ้น แต่คนจนยังคงจนลง  ทั้งนี้การอยู่ในวงล้อมประชา ‘รัด’ ทำให้การต่อรองไม่อาจจะดำเนินการได้

 

++นโยบายประชารัฐกับผลกระทบต่อเกษตรกร++

 

รศ.ดร.สุรวิช วรรณไกรโรจน์ ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร ม.เกษตรศาสตร์ กล่าวว่า รัฐบาลได้ใช้แนวนโยบายประชารัฐเข้าไปดำเนินการเกี่ยวข้องกับเกษตรกรผ่านโครงการเกษตรแปลงใหญ่ที่สัมพันธ์กับทุนขนาดใหญ่ ในกรณีนี้กลุ่มทุนจะเกี่ยวข้องกับปัจจัยการผลิตปุ๋ยและยา ภาคเกษตรจะอยู่ได้ต้องใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งเกษตรกรทั่วไปไม่มีศักยภาพในการซื้อหาเทคโนโลยีเหล่านี้ เจตนาดังกล่าวดีจริงหรือไม่อาจจะต้องมองประกอบกฎหมายอื่นด้วย เช่น เมื่อตอนต้นปี รัฐบาลออกพระราชกฤษฎีกาประมวลรัษฎากร รายละเอียดหลักคือ ก่อนหน้านี้ผู้ให้เช่าที่ดิน เคยหักค่าใช้จ่ายได้ 61 เปอร์เซนต์ อาชีพเกษตรกรเคยหักค่าใช้จ่ายได้ 80-90 เปอร์เซนต์แล้วแต่รูปแบบของการเกษตร แต่พระราชกฤษฎีกานี้เหมารวบหักได้ 60 เปอร์เซนต์ทั้งหมด

 

ตนจึงไม่แน่ใจว่า รัฐบาลอยากจะช่วยเกษตรกรมากแค่ไหน ผู้ที่ให้เช่าที่ดินมีภาระเพิ่มขึ้น 1 เปอร์เซนต์ แต่เกษตรกรหักค่าใช้จ่ายได้ลดลงทีเดียวถึง 30 เปอร์เซนต์ เบื้องต้นมีคำอธิบายมาว่า เกษตรกรจนอยู่แล้วไม่ต้องเสียภาษี ไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว นอกจากนี้นโยบายทางการเกษตรยังมีข้อขัดแย้งบางอย่างกล่าวคือ รัฐบาลมีการสนับสนุนการทำเกษตรแปลงใหญ่ที่มีแนวโน้มการใช้สารเคมีสูง ทวนกระแสกับความต้องการของโลกที่ต้องการผลผลิตจากเกษตรอินทรีย์ ดังนั้นจึงเป็นข้อด้อยของประชารัฐที่ไม่ได้ไตร่ตรองรอบคอบหรือกำหนดสัดส่วน พื้นที่เกษตรแปลงใหญ่และเกษตรอินทรีย์

 

รศ.ดร.สุรวิช กล่าวเสริมถึงสถานการณ์ของพ.ร.บ. คุ้มครองพันธุ์พืชฯ ระบุว่า หากประกาศใช้จะเอื้อให้ทุนใหญ่ในการผูกขาดเมล็ดพันธุ์ที่เป็นปัจจัยการผลิตสำคัญในด้านการเกษตร ซึ่งกระทบต่อความมั่งคงทางอาหาร โดยมีแนวโน้มว่าจะบีบให้เกษตรกรที่เคยเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้เพาะปลูกเองเลิกเก็บเพราะมีโอกาสผิดพ.ร.บ.ดังกล่าว เนื่องจากเมล็ดพันธุ์แต่ละชนิดจะอยู่ภายใต้สิทธิของบริษัทเอกชน ซึ่งมีโอกาสว่า เกสรของต้นไม้ที่เกิดจากเมล็ดพันธุ์เหล่านี้จะปลิวและผสมเข้ากับพืชพันธุ์ของชาวบ้าน เมื่อเกิดการผสมพันธุกรรมแล้วบริษัทเอกชนสามารถฟ้องร้องได้ เรียกได้ว่า เกษตรกรอาจเป็นอาชญากรได้หน้าตาเฉยในวันใดวันหนึ่ง

 

++ส่องประชารัฐผ่านประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออก++

 

ผศ.ดร.วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอธิบายการร่วมมือกันของรัฐและทุนผ่านแว่นประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกว่า ลักษณะของอำนาจรัฐจับมือกับนายทุนเพื่อที่ขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องใหม่ ล่าสุดเห็นได้จากกรณีของฮ่องกง ที่รัฐบาลจีนเลือกคนจำนวนหนึ่งในฮ่องกงมาเป็นตัวแทนเลือกตั้งผู้ว่าการเกาะฮ่องกง และผู้ที่สมัครรับเลือกตั้งได้จะต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลจีน ที่น่าสนใจคือตัวแทนเลือกตั้งเป็นนายทุนใหญ่ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของฮ่องกง 

 

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ นโยบายของผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าการเกาะฮ่องกงก็จะมีการเอาใจนายทุนที่เป็นตัวแทนเลือกตั้ง ก่อให้เกิดปัญหาคือ ชนชั้นกลาง ชนชั้นแรงงานคุณภาพชีวิตแย่ลง นำไปสู่การปฏิวัติร่มในปี 2557 นอกจากนี้การที่จีนผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้ ส่วนหนึ่งคือ จีนใช้การเป็นพันธมิตรกันระหว่างรัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและนายทุน ดังนั้นหากคิดว่า ประชารัฐร่วมมือกับนายทุนก็จะคล้ายบางส่วนของนโยบายที่รัฐบาลจีนทำมาตลอด

 

 

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ไซบัตสึ (Zaibutsu) กลุ่มทุนของญี่ปุ่นที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลญี่ปุ่นในยุคเผด็จการทหาร  ไซบัตสึ (Zaibutsu) เริ่มเกิดขึ้นจากการปฏิรูปประเทศให้เป็นสมัยใหม่ที่ต้องใช้เงินจำนวนมากจนรัฐบาลล้มละลาย และหันไปให้สัมปทานกับเอกชนไปร่วมทำโครงการพัฒนาสาธารณูปโภคที่โดยมากเป็นทุนกลุ่มใหญ่ ก่อให้เกิดการเอื้อประโยชน์ระหว่างกัน นายทุนได้ประโยชน์จากการเป็นเจ้าหนี้ให้เงินและเก็บเกี่ยวประโยชน์จากสาธารณูปโภคไปด้วยอีกทาง การพัฒนาก้าวกระโดดของญี่ปุ่นมาจากรัฐบาลเผด็จการและกลุ่มทุนขนาดใหญ่ จนกระทั่งเป็นแรงขับดันให้เกิดการทำสงครามเพื่อหาทรัพยากรป้อนกลุ่มทุนและหาตลาดรองรับสินค้า

 

ในแง่หนึ่งการรวมตัวกลุ่มทุนกับรัฐบาลที่ไม่มีประชาธิปไตยก็สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปได้ แต่ต้องวงเล็บไว้ว่า มันก่อให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม  อย่างไรก็ตามนโยบายของจีนและญี่ปุ่นต่างกับประชารัฐ คือ บริษัทหลายบริษัทที่เข้าร่วมประชารัฐมีลักษณะข้ามชาติ กำไรของเขาไม่ได้กลับมาเพื่อความมั่นคงหรือความอยู่ดีกินดีของคนไทย ส่วนตัวจึงรู้สึกว่า พันธมิตรระหว่างอำนาจรัฐกับทุนในยุคประชารัฐมีแนวโน้มคล้ายกับจักรวรรดินิยมในอดีต