รศ.ณรงค์ ใจหาญ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่าการพัฒนาสวัสดิการผู้สูงอายุ ไม่ได้ขึ้นกับกฎหมายเพียงอย่างเดียว ต้องมีการช่วยเหลือกันระหว่างผู้สูงอายุเอง และงานสังคมสงเคราะห์ด้วย
รศ.ณรงค์กล่าวว่า ปัจจุบัน ตามพ.ร.บ.ผู้สูงอายุ มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการให้บริการผู้สูงอายุ เช่น สร้างช่องทางพิเศษในโรงพยาบาล จัดเก้าอี้สำรองสำหรับผู้สูงอายุในรถโดยสารหรือในโรงพยาบาล แต่ในอนาคต ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุมากขึ้น บริการเหล่านี้อาจต้องเพิ่มให้เพียงพอ ทั้งนี้ กฎหมายนี้ไม่ได้เข้าไปแตะในพื้นที่เอกชน ทั้งที่การอำนวยความสะดวกให้ผู้สูงอายุควรจะมีทุกพื้นที่ ไม่ใช่แค่หน่วยงานราชการ
รศ.ณรงค์กล่าวต่อไปว่า สำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น น่าจะเขียนเป็นกฎหมายหรือเป็นโมเดลให้ท้องถิ่นนำไปปฏิบัติ ปัจจุบัน ท้องถิ่นมีสวัสดิการเพียงแค่การจ่ายเบี้ยยังชีพเท่านั้น แต่ยังไม่มีการดำเนินงานอื่นๆ ให้เป็นรูปธรรม เช่นการจัดตั้งชมรม หรือที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ หรือการสร้างแรงจูงใจให้ลูกหลานดูแลผู้สูงวัย การสร้างอาชีพ
รศ.ณรงค์กล่าวว่า ผู้สูงอายุยังเผชิญปัญหาอื่นๆ ที่ต้องการการช่วยเหลือ เช่น ผู้สูงที่ไม่รู้กฎหมายมักถูกชักชวนไปทำสัญญา บริจาค จึงควรมีองค์กรที่ดูแลผู้สูงอายุในเชิงป้องกันตั้งแต่ต้น เท่าที่สำรวจ ผู้สูงอายุมักไม่ทราบสิทธิของตนเอง จึงน่าจะมีหน่วยงานทางกฎหมายมาดูแลผู้สูงอายุโดยเฉพาะ นอกจากนี้ ผู้สูงอายุที่มีทรัพย์สิน จึงควรมีระบบจัดการทรัพย์สินของผู้สูงอายุ เมื่อผู้สูงอายุถึงวัยที่ไม่สามารถจัดการทรัพย์สินได้ด้วยตัวเอง ก็สามารถนำทรัพย์สินไปฝากไว้ให้ดูแลได้ แล้วเก็บดอกผลที่ได้มาใช้ยังชีพจนเสียชีวิต แต่ปัจจุบันนี้ยังไม่มีกฎหมายเรื่องนี้
นายอรรถพล อรรถวรเดช ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในมุมมองของกระทรวงการคลัง เน้นเรื่องการออม เนื่องจากงบประมาณในการใช้จ่ายเพื่อผู้สูงอายุเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นขั้นบันได เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยหวัดข้าราชการ ซึ่งในปี 2556 เพิ่มขึ้นเป็น 6 หมื่นล้านและใน 20 ปีข้างหน้า ผู้สูงอายุจะมีถึง 1 ใน 4 ของประเทศ แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
หลักคิดในการออม คือทำให้ประชาชนมีรายได้ มีเงินออมให้ใช้หลังเกษียณอย่างแน่นอน ความยั่งยืนของกองทุนการออมที่จัดตั้ง และการเจริญเติบโตและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ที่จะทำให้ประชาชนมีเงินเหลือพอที่จะออม
ระบบการออมมีทั้งระบบบังคับและระบบสมัครใจ ระบบบังคับแบ่งออกเป็น รัฐจ่ายให้ผู้เกษียณเรื่อยๆ จนกว่าจะเสียชีวิต และกำหนดให้สมาชิกส่งเงินสะสมส่วนหนึ่ง และรัฐสมทบให้ส่วนหนึ่ง ซึ่งพอสมาชิกพ้นจากงานหรือเกษียณก็จะได้รับเงินไป ส่วนระบบสมัครใจ สมาชิกก็สามารถเข้าระบบได้โดยสมัครใจ ต้องส่งเงินสะสมเอง อาจมีนายจ้างสมทบเงินด้วย เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ระบบบังคับที่รัฐต้องจ่ายให้ผู้เกษียณเรื่อยๆ โดยไม่มีการควบคุมอาจจะเป็นปัญหาทางการคลังในระยะยาว กระทรวงการคลังเคยคิดจะตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติสำหรับลูกจ้างเอกชน โดยให้จ่ายเข้ากองทุนและรัฐช่วยสมทบ แต่ก็ยังไม่เกิด เพราะมีกลุ่มที่น่าเป็นห่วงกว่า คือ คนที่ประกอบอาชีพอิสระ หรือแรงงานนอกระบบ ซึ่งไม่ได้รับสวัสดิการใดๆ จากรัฐเลย ซึ่งมีจำนวนมากถึง 35 ล้านคน จึงต้องมีพ.ร.บ.การออมแห่งชาติขึ้นมาเพื่อตั้งกองทุนการออมแห่งชาติสำหรับแรงงานนอกระบบและผู้ประกอบอาชีพอิสระ ให้สามารถสมัครเข้ามาในกองทุนนี้ได้ โดยสมาชิกต้องส่งเงินเป็นประจำและรัฐสมทบตามสัดส่วนอายุ
การบริหารงานกองทุนการออมแห่งชาติ จะบริหารงานโดยคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ เงินที่อยู่ในกองทุนจะนำไปหาผลประโยชน์และเก็บไว้ในกองทุน และรัฐจะต้องประกันดอกเบี้ยไม่ให้ต่ำกว่าธนาคาร ต้องรับสมัครสมาชิกภายใน 1 ปี แต่หลังจากกำหนดรับสมาชิกก็มีปัญหาที่ทางฝ่ายนโยบายต้องการแก้ไขกฎหมาย เนื่องจากอยากให้ปรับปรุงเพื่อลดความยุ่งยากให้ประชาชนเข้าถึงได้ และลดภาระของรัฐบาลที่จะต้องให้เงินตั้งต้นหนึ่งพันล้านบาท
แนวทางที่จะปรับปรุงกฎหมายฉบับนี้ในอนาคต คือ อาจจะไม่กำหนดอายุสูงสุดที่สมัครได้ที่ 60 ปีขึ้นไป เพราะอาจจะเป็นการจำกัด ทั้งไม่กำหนดเพดานเงินที่นำมาฝาก และรัฐจะสมทบ 100% แทนที่จะสมทบตามสัดส่วนอายุเพื่อลดความยุ่งยาก การรับสมัครสมาชิกอาจจะให้ธนาคารของรัฐประชาสัมพันธ์และดำเนินการ และจะไม่นำเงินไปลงทุนในหุ้น เพื่อความมั่นคงของกองทุน
หลังเสนอประเด็นจากวิทยากรทั้งสามท่าน ผู้เข้าร่วมเวทีสาธารณะซึ่งเป็นตัวแทนจาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและประชาสังคม อีกทั้งตัวแทนผู้สูงอายุจากชมรมผู้สูงอายุจากภูมิภาคต่างๆ และตัวแทนจากเครือข่ายกลุ่มแรงงาน ร่วมอภิปรายในประเด็นสิทธิประโยชน์ กลไกการบริหารจัดการ และการเงินการคลัง ในการจัดสวัสดิการเพื่อผู้สูงอายุ พอสรุปได้ว่า ปัญหาหลักสำคัญ เรื่องสิทธิประโยชน์ คือผู้อายุไม่สามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุในต่างจังหวัด เนื่องจากการคมนาคมที่ไม่สะดวก และมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาก ปัจจุบันนี้มีชมรมผู้สูงอายุอยู่แล้ว แต่ไม่มีงบประมาณที่จะนำมาใช้จ่ายในกิจกรรมต่างๆ ทั้งอาชีพสำหรับผู้สูงอายุก็ไม่สามารถทำได้จริง ส่วนในกลไกบริหารเห็นตรงกันว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นกลไกสำคัญการบริหารจัดการ เนื่องจากมีผู้สูงอายุอาศัยอยู่ในต่างจังหวัดมากกว่าในตัวเมือง แต่รัฐต้องจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้ตัวแทนจากภาคส่วนต่างๆ ได้ให้ข้อเสนอแนะว่า ควรจะบูรณาการกองทุนต่างๆ เข้าด้วยกัน เนื่องจากการมีหลายกองทุนทำให้ประชาชนเสียสิทธิ เช่น ผู้ที่เป็นผู้ประกันตนในประกันสังคมไม่สามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติได้ ดังนั้นหากบูรณาการกองทุนต่างๆ เป็นกองทุนเดียวได้ก็จะช่วยรักษาผลประโยชน์ของประชาชนได้มากกว่า