7 มิถุนายน 2563
เฟซบุ๊กของ
กป.อพช. เผยแพร่แถลงการณ์ที่เตรียมจะนำไปยื่นต่อสถานทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยในวันที่ 8 มิถุนายน 2563 เพื่อส่งต่อไปถึงรัฐบาลกัมพูชา
แถลงการณ์ การอุ้มหาย นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์
“ต้องไม่มีอำนาจใดอยู่เหนือศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่ต้องคงอยู่ทุกสภาวการณ์มิอาจถูกละเมิดได้”
มนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะมีชีวิตมาแต่กำเนิด ซึ่งสิทธินี้ต้องได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมาย โดยความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์มิอาจถูกลดทอนหรือละเมิดได้ในทุกกรณี ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ถูกระบุในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ว่าด้วยความพยายามที่จะธำรงศักดิ์ศรีและความเท่าเทียมกันของความเป็นมนุษย์ไว้ และในรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชน ฉบับปี 2540 ในมาตรา 4 มาตรา 26 และมาตรา 28
ดังนั้น ประชาชนต้องได้รับความคุ้มครองจากรัฐในการใช้สิทธิ รวมถึงสนับสนุนให้เกิดเสรีภาพ และความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม กลับพบว่า ยังมีกรณีการคุกคาม ข่มขู่ รวมถึงการบังคับให้สูญหายต่อนักกิจกรรม นักปกป้องสิทธิ และประชาชนไทยที่ออกมาเคลื่อนไหว โดยเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับเป็นเรื่องปกติวิสัย
ในหลายกรณีผู้กระทำยังคงลอยนวลพ้นผิด โดยในการคุกคามสิทธิในการแสดงออกยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังเช่น กรณีเอกชัย อิสระทะ เลขาธิการ กป.อพช. ที่ถูกบังคับและปิดกั้นการเข้าร่วมสังเกตการณ์ในเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนกรณีเหมืองหินในจังหวัดพัทลุง ที่แม้กลุ่มผู้กระทำถูกลงโทษตามคำสั่งศาล แต่ในข้อเท็จจริงการเคลื่อนไหวของนักปกป้องสิทธิก็ยังไม่มีหลักประกันในความปลอดภัยและมาตรการที่เป็นรูปธรรมในการปกป้องคุ้มครองพลเมืองในการใช้สิทธิและเสรีภาพ
รวมถึงล่าสุดกรณีการหายตัวอย่างมีเงื่อนงำของ “วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์” โดยยังไม่ทราบชะตากรรมในขณะนี้ ซึ่งควรได้รับการคุ้มครองจากรัฐไทย อันเป็นสิทธิอันพึงมีในฐานะพลเมืองไทย ไม่ควรให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ตามหลักการของกฎหมายในการปกป้องสิทธิและความเป็นมนุษย์ขึ้น ดังนั้น รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อกรณีนี้ได้ เพื่อให้วันเฉลิมได้รับความปลอดภัย และป้องกันการผลิตซ้ำการบังคับให้สูญหาย เพียงเพราะการแสดงความเห็นที่ไม่เป็นไปในทิศทางของผู้มีอำนาจต้องการ
กป.อพช. จึงขอเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาที่มีหน้าที่ในการดูแลรับใช้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ดังนี้
1. ต้องเร่งดำเนินการให้ได้ข้อเท็จจริง กรณีการหายตัวไปของวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นลักษณะของการถูกอุ้มหาย และดำเนินการใดๆ เพื่อให้วันเฉลิมได้รับความปลอดภัยกลับมา ตลอดทั้งเปิดเผยข้อมูลการหายตัวดังกล่าวต่อสาธารณชน และนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายโดยเร็วที่สุด
2. ต้องมีมาตรการที่เป็นรูปธรรมเพื่อยุติการข่มขู่ คุกคาม การบังคับให้สูญหาย ที่เกิดขึ้นกับนักปกป้องสิทธิและประชาชนที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม เข้ากระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน หรือการแสดงความคิดเห็นตามสิทธิเสรีภาพที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎหมายต่อต้านการบังคับให้สูญหาย หรือกฎหมายอื่นๆ เพื่อคุ้มครองประชาชนและลงโทษผู้กระทำผิด
3. จะต้องยับยั้งการยุยง ปลุกปั่น บิดเบือนข่าวสาร ของคนบางกลุ่มที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งเกลียดชังผู้แสดงความเห็นที่แตกต่างหลากหลายเพื่อให้เกิดการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพที่แท้จริง
4. ต้องเคารพและส่งเสริมให้เกิดการเคารพต่อสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกและแสดงความคิดเห็น โดยประชาชนต้องรับความคุ้มครองจากรัฐในการใช้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวที่ยึดมั่นในหลักการของประชาธิปไตย
กป.อพช.ยังเชิญชวนให้องค์กรหรือหน่วยงานอื่นๆ ที่สนใจร่วมลงชื่อในแถลงการณ์นี้ด้วย
8 มิถุนายน 2563
ไทยพีบีเอสออนไลน์รายงานว่า นักกิจกรรม 4 คน ได้แก่ ณัฐวุฒิ อภิสิทธิ์ แสงศิริและวศิน เดินทางไปที่หน้าสถานทูตกัมพูชาเพื่อยื่นหนังสือต่อสถานทูตให้ส่งต่อไปยังรัฐบาลกัมพูชา
โดยข้อเรียกร้องหลักคือขอให้ทางการกัมพูชาติดตามตัววันเฉลิมและขอให้เปิดเผยรายละเอียดการสืบสวนติดตามต่อสาธารณะ อย่างไรก็ตามไม่มีตัวแทนสถานทูตออกมารับหนังสือ ตำรวจที่เป็นผู้ประสานงานแจ้งนักกิจกรรมว่าทางสถานทูตประสงค์จะรับหนังสือทางไปรษณีย์เท่านั้น
เมื่อไม่มีตัวแทนสถานทูตออกมารับหนังสือนักกิจกรรมทั้งสี่จึงเพียงแต่วางหนังสือไว้ที่ป้ายสถานทูตและเดินทางกลับ
14 มิถุนายน 2563
เฟซบุ๊กเพจกป.อพช.รายงานว่า พนักงานสอบสวน สน.วังทองหลางออกหมายเรียกให้นักกิจกรรมทั้ง 4 คนที่ทำกิจกรรมหน้าสถานทูตในวันที่ 8 มิถุนายนเดินทางเข้าพบเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามชุมนุมซึ่งออกโดยอำนาจตามมาตรา 9 ของพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยกำหนดให้เข้าพบในวันที่ 19 มิถุนายน 2563
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาทั้งสี่ขอให้ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนประสานพนักงานสอบสวนให้เลื่อนไปเข้าพบวันที่ 9 กรกฎาคม 2563 แทน
9 เมษายน 2564
นัดฟังคำสั่งอัยการ
อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีผู้ต้องหาทั้งสี่ อย่างไรก็ตามคำสั่งนี้ยังไม่ถือเป็นที่สิ้นสุด หากตำรวจไม่ต้องแย้งคดีจะถือเป็นที่สุด แต่หากตำรวจคัดค้านอัยการสูงสุดจะเป็นผู้ให้ความเห็นเป็นที่สุด
"เมื่อพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของผู้ต้องหาทั้งสี่แล้ว ก็เห็นได้ว่าผู้ต้องหาทั้งสี่มีวัตถุประสงค์เพียงยื่นหนังสือร้องเรียนต่อสถานทูตกัมพูชา ในเรื่องการขอให้สถานทูตกัมพูชาดำเนินการอย่างเร่งด่วนในการหายตัวไปของนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ เท่านั้น มิได้มีเจตนาที่จะยุยงให้ผู้อื่นมาร่วมชุมนุมกับพวกตนในทันที หรือก่อให้เกิดความไม่สงบในบ้านเมืองแต่อย่างใด และเมื่อไม่มีเจ้าหน้าที่สถานทูตกัมพูชาออกมารับหนังสือจากผู้ต้องหาทั้งสี่แล้ว ผู้ต้องหาทั้งสี่ก็ได้สลายตัวกลับในทันที ซึ่งรวมระยะเวลาที่ผู้ต้องหาทั้งสี่กับพวกอยู่ที่สถานทูตก็เพียงชั่วโมงเศษเท่านั้น จากข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ของผู้ต้องหาทั้งสี่ จึงเห็นได้ว่าผู้ต้องหาทั้งสี่ไม่ได้มั่วสุมในสถานที่แออัด ไม่ได้ยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง คดีจึงมีหลักฐานไม่พอฟ้อง"