17 พฤษภาคม 2560
ทหารและตำรวจเข้าจับกุมเยาวชนชาย (อายุ 14 ปี) 1 คน วัยรุ่นชาย (อายุ 18-20 ปี) 6 คน และผู้ใหญ่อีก 2 คน ซึ่งคือ หนูผิณ กับ ฉัตรชัย ไปควบคุมตัวที่ค่ายศรีพัชรินทร (มณฑลทหารบกที่ 23) จ.ขอนแก่น
18 พฤษภาคม 2560
ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ถูกนำตัวขึ้นรถตู้ออกเดินทางจาก มทบ.23 เข้ากรุงเทพ โดยมีการปิดตาช่วงก่อนที่รถผ่านเข้าค่าย ซึ่งทราบภายหลังว่าเป็น มทบ. 11
22 พฤษภาคม 2560
ทหารส่งตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนให้ตำรวจดำเนินคดีในข้อหา เป็นอั้งยี่, เป็นซ่องโจร, วางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น และทำให้เสียทรัพย์ ในชั้นสอบสวนซึ่งไม่มีทนายหรือคนที่ผู้ต้องหาไว้ใจเข้าร่วม และไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อใคร ทั้งสองคนให้การรับสารภาพโดยระบุว่า ได้รับการว่าจ้างด้วยเงินจำนวนไม่กี่ร้อยบาท
ผู้ต้องหาให้ข้อมูลภายหลังว่า ในขณะให้การรับสารภาพเขาไม่เข้าใจว่า เป็นอั้งยี่, เป็นซ่องโจร คืออะไร ส่วนในการแจ้งข้อกล่าวหา ตาม ม.112 เพิ่มในภายหลัง ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธ โดยยืนยันว่า ไม่ได้มีเจตนา
23 พฤษภาคม 2560
ตำรวจนำผู้ต้องหา 2 คน ไปฝากขังที่ศาลจังหวัดพลเพื่อขออำนาจศาลฝากขังระหว่างการสอบสวน โดยไม่ให้ญาติติดตามไปด้วย ก่อนที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังครั้งแรก มีกำหนด 12 วัน และเจ้าหน้าที่ได้นำตัวทั้งสองคนไปขังที่เรือนจำอำเภอพล จังหวัดขอนแก่น
16 สิงหาคม 2560 นัดส่งฟ้อง
หลังครบกำหนดฝากขังรวม 48 วัน ผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำ จากนั้น ผู้ต้องหาทั้งหมด ถูกแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ เพิ่มเติม และถูกนำตัวส่งฟ้องต่อศาลจังหวัดพลในวันเดียวกัน
15 พฤศจิกายน 2560 นัดฟังคำพิพากษา
ศาลจังหวัดพลนัดอ่านคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1269/2560 ซึ่งพนักงานอัยการจังหวัดพลเป็นโจทก์ฟ้อง หนูพิณ และฉัตรชัย ในข้อหา เป็นอั้งยี่, ร่วมกันตระเตรียมวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น และร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ โดยมีพฤติการณ์ตามโจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 12-13 พฤษภาคม 2560 จำเลยทั้ง 2 กับพวก ได้เข้าเป็นสมาชิกของคณะบุคคลที่มุ่งประสงค์จะวางเพลิงเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติ และได้ร่วมกันตระเตรียมวางเพลิงเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติในเขต อ.เปือยน้อย จ.ขอนแก่น อันเป็นการแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และศาลมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะความประพฤติของจำเลยทั้งสองรายงานต่อศาล ทั้งนี้ พนักงานคุมประพฤติได้รายงานว่า จำเลยที่ 1 ยังเก็บถุงน้ำมันไว้ รอที่จะเอาไปเผาอีก
ก่อนอ่านคำพิพากษา ผู้พิพากษาได้ถามจำเลยทั้ง 2 ว่า ยืนยันให้การรับสารภาพตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยยืนยัน ศาลจึงได้แจ้งรายงานการสืบเสาะและพินิจให้จำเลยทั้ง 2 ทราบ
อย่างไรก็ดี พนักงานคุมประพฤติรายงานเกินข้อเท็จจริงไปว่า จำเลยที่ 1 ยังเก็บถุงน้ำมันไว้ รอที่จะเอาไปเผาอีก ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้โต้แย้งในส่วนนี้ แต่ศาลอธิบายว่า เป็นขั้นตอนภายหลังการกระทำผิดตามฟ้องที่จำเลยได้รับสารภาพแล้ว ซึ่งศาลไม่ได้ใส่ใจนำมาเป็นสาระสำคัญในการพิพากษา จำเลยไม่ติดใจโต้แย้งรายงานการสืบเสาะฯ ในส่วนอื่น ศาลจึงอ่านคำพิพากษา
ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง เป็นความผิดหลายกรรม ต่างกรรมต่างวาระกัน ให้ลงโทษทุกกรรม เรียงกระทงความผิด ฐานเป็นอั้งยี่ ลงโทษจำคุก 1 ปี ฐานตระเตรียมวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นและหมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีบทลงโทษหนักที่สุด ให้จำคุก 4 ปี รวมจำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน พิเคราะห์รายงานการสืบเสาะ คดีมีพฤติการณ์ร้ายแรง ไม่มีเหตุให้รอลงอาญา ให้ริบน้ำมัน โทรศัพท์เคลื่อนที่ และรถกระบะ ซึ่งเป็นของกลางที่ใช้ในการกระทำความผิด