- คดีอื่นๆ, ฐานข้อมูลคดี
การทำร้ายเอกชัย หงส์กังวาน
ผู้ต้องหา
สถานะคดี
คดีเริ่มในปี
โจทก์ / ผู้กล่าวหา
สารบัญ
ภูมิหลังผู้ต้องหา
ข้อหา / คำสั่ง
การกระทำที่ถูกกล่าวหา
พฤติการณ์การจับกุม
บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล
หมายเลขคดีดำ
ศาล
เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
แหล่งอ้างอิง
14 สิงหาคม 2561
การทำร้าย ครั้งที่ 3
ประชาไท รายงานว่า ระหว่างที่เอกชัยกำลังเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อมอบของขวัญวันเกิดให้กับพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เอกชัย ถูกชายนิรนาม 2 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ ตามสาดน้ำปลาร้าใส่ บริเวณป้ายรถเมล์ใกล้กับโรงพยาบาลมิชชั่น ถนนสวรรคโลก เมื่อเวลาประมาณ 09.25 น.
เอกชัยเล่าว่า ตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม 2561 เขาได้โพสต์สเตตัสในเฟสบุ๊กส่วนตัวว่า จะเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาลในวันนี้ เพื่อมอบของขวัญวันเกิดย้อนหลังให้กับพลเอกประวิตร ในวาระครบ 73 ปี โดยของขวัญที่จะนำไปมอบนั้นคือ นาฬิกา ที่ตั้งใจจะมอบให้กับพลเอกประวิตรมาตั้งแต่ช่วงต้นปี หลังจากเกิดการขุดคุ้ย ตรวจนาฬิกาหรูที่พลเอกประวิตรใส่ทั้งหมด 25 เรือน
เอกชัย เดินทางมาจากบ้านโดยรถเมล์ เมื่อเดินทางมาถึงป้ายรถเมล์บริเวณถนนสวรรคโลก ใกล้กับโรงพยาบาลมิชชั่น เขาได้ลงจากรถเมล์ จากนั้นก็พบชายนรินาม 2 คน ขับขี่รถจักยานยนต์ ไม่ทราบรุ่น ชายทั้งสองสวมหมวกกันน็อค และรถที่ขับขี่มานั้นไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน โดยชายที่เป็นผู้ซ้อนได้เมื่อเห็นเขาลงจากรถก็ได้วิ่งมาประชิด และสาดน้ำปลาร้าที่ใส่มาในถังพลาสติกสีเขียวใส่เขา แล้วรีบวิ่งกลับไปที่รถซึ่งจอดรออยู่ก่อนจะขับออกไป โดยทิ้งถังพลาสติกไว้ รูปพรรณสันฐานของผู้ก่อเหตุมีรูปร่างผอม อายุประมาณ 20-30 ปี เขาระบุด้วยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีพยานที่เห็นเหตุการณ์จำนวนมาก เนื่องจากเป็นช่วงเช้า และเป็นชั่วโมงเร่งด่วน
จากนั้นเอกชัย ได้เดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อขอเข้าพบพลเอกประวิตร แต่ก็ไม่สามารถเข้าพบได้ จึงได้เดินทางไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ สน.นางเลิ้ง ข้อหาทำร้ายร่างกาย พร้อมกับเก็บถังพลาสติกสีเขียวไปเป็นหลักฐานส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าจะประสานเพื่อตรวจสอบภาพผู้ก่อเหตุจากกล้องวงจรปิดบริเวณนั้นต่อไป
1 เมษายน 2562
การทำร้าย ครั้งที่ 8
ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า ก่อนเกิดเหตุเอกชัยขับรถคันดังกล่าวกลับจากกิจกรรมล่ารายชื่อถอดถอนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่สี่แยกราชประสงค์ โดยจอดรถไว้ที่บริเวณหน้าบ้าน จากนั้นไม่นานขณะที่อยู่ภายในบ้านเห็นแสงเพลิงลุกไหม้ที่ห้องโดยสารของตัวรถจึงรีบออกมาพยายามดับเพลิงพร้อมกับพลเมืองดี หลังเพลิงสงบพยายามตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดละแวกใกล้เคียงที่จับภาพไว้ได้ พบว่า เวลาประมาณ 01.18 น. วันที่ 1 เมษายน มีรถจักรยานยนต์ต้องสงสัย 2 คัน วิ่งเข้ามาในซอย ผ่านแยก 1 ของหมู่บ้าน ต่อมามีชายสวมเสื้อแจ็กเกต กางเกงขายาว สวมหมวกกันน็อก เดินมาที่รถ ใช้เท้าถีบกระจกมองข้างด้านซ้ายของตัวรถ ก่อนใช้น้ำมันที่บรรจุขวดมาราดบนกระจกหน้ารถพร้อมจุดไฟจนลุกท่วม จากนั้นวิ่งไปขึ้นรถ จักรยานยนต์ที่จอดรออยู่บริเวณแยก 1 หลบหนี
เบื้องต้นตรวจสอบความเสียหายพบเอกสารที่ประชาชนร่วมลงชื่อถอดถอน กกต. ได้รับความเสียหายไปส่วนหนึ่ง เนื่องจากถูกไฟไหม้และโดนน้ำจากการฉีดดับเพลิงบางส่วน
13 พฤษภาคม 2562
การทำร้าย ครั้งที่ 9
เวลา 8.42 น. เอกชัย โพสต์เฟซบุ๊กเป็นภาพใบหน้าตัวเองพร้อมร่องรอยการบาดเจ็บ และระบุว่า เมื่อสักครู่มีชาย 4 คนทำร้ายร่างกายตนที่ด้านหน้าศาลอาญา ซึ่งวันนี้เอกชัยเดินทางมาที่ศาลอาญาเพื่อร่วมฟังการพิจารณาคดีในฐานะจำเลยคดีการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง
11.20 น. เอกชัย โพสต์เฟซบุ๊กว่า หมอบอกให้นอนดูอาการ 1 คืน แต่เบิกไม่ได้ จึงต้องย้ายไป รพ.แพทย์ปัญญา
ด้าน ฟอร์ด เส้นทางสีแดง โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คแจ้งอาการของ เอกชัย ด้วยว่า เอ็กซเรย์ พบกระดูกมือขวาแตก ซี่โครงที่ 9 หัก 1 ซี่
คำพิพากษา
คำพิพากษาศาลชั้นต้นกรณีถูกรุมทำร้ายเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2561
ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่า ตามวันและเวลาเกิดเหตุขณะที่ผู้เสียหายกำลังเดินอยู่ในซอยลาดพร้าว 109 ระหว่างแยกหนึ่ง และแยกสาม คนร้ายคนที่หนึ่งได้ขับรถมอเตอร์ไซต์เข้าพุ่งชนโดยมีคนร้ายคนที่สองนั่งซ้อนท้าย แต่ผู้เสียหายหลบทันจากนั้นคนร้ายคนที่หนึ่งได้จอดรถและนำหมวกกันน็อกเข้าฟาดผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายหลบทัน หลังจากนั้นคนร้ายคนที่สามถือไม้หน้าสามในมือวิ่งเข้ามาฟาดผู้เสียหายประมาณสี่ถึงห้าครั้ง ผู้เสียหายได้นำแขนบังไว้จนเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บที่แขนทั้งสองข้าง หลังจากนั้นผู้เสียหายได้เข้ารับการรักษาโดยแพทย์ได้ทำการใส่เฝือกที่แขนไว้ และใช้ระยะเวลารักษาบาดแผลเกินกว่า 20 วัน
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยคือจำเลยเป็นคนร้ายคนที่หนึ่งหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเข้าสืบยืนยันว่า ระหว่างที่เดินอยู่ในซอยลาดพร้าว 109 ระหว่างแยกหนึ่ง และแยกสามเพื่อกลับบ้านนั้น คนร้ายคนที่หนึ่งได้ขับรถพุ่งเข้าชนแล้ว จากนั้นจึงถอดหมวกกันน็อกออก และฟาดเข้าที่ผู้เสียหายแต่ผู้เสียหายหลบทันจากนั้นคนร้ายคนที่สามได้นำไม้หน้าสามตีผู้เสียหายประมาณสี่ถึงห้าครั้งไม้จึงหลุดจากมือเมื่อผู้เสียหายเห็นเช่นนั้นจึงวิ่งไปแย่งไม้ ซึ่งนำส่งเป็นหลักฐานในคดีนี้
ผู้เสียหายเบิกความว่า ก่อนหน้าที่จะถูกรุมทำร้ายนั้นเขาเดินผ่านอู่ซ่อมรถไทร์พลัส และสังเกตเห็นมอเตอร์ไซต์สองคันจอดอยู่บริเวณดังกล่าว โดยคนร้ายคนที่หนึ่งหรือจำเลยในคดีนี้ ไม่ได้สวมใส่หมวกกันน็อก ปิดบังใบหน้า มอง และยิ้มให้ผู้เสียหายแบบแปลกๆ ห่างกันประมาณสี่เมตรมีผู้ชายรูปร่างอ้วนอีกคนหนึ่งคร่อมรถมอเตอร์ไซต์อยู่ ลักษณะดังกล่าวจึงเป็นโอกาสที่ทำให้ผู้เสียหายได้เห็นหน้าจำเลยก่อนเกิดเหตุทำร้ายร่างกาย
แต่เมื่อพิจารณาประกอบบันทึกวิดีโอจากกล้องซีซีทีวีเห็นว่า ขณะที่ผู้เสียหายได้เดินผ่านไปในบริเวณที่ผู้เสียหายได้อ้างถึงนั้นเป็นการเดินผ่านไปอย่างปกติไม่ได้หันหน้ากลับไปมอง จึงเห็นว่าการให้การของผู้เสียหายนั้นมีความขัดแย้งต้องรับฟังอย่างระมัดระวัง
ผู้เสียหายยังเบิกความด้วยว่า ในตอนที่คนร้ายคนที่หนึ่งพุ่งชนผู้เสียหาย จำเลยได้ใส่หมวกกันน็อกปิดบังใบหน้า จากนั้นจึงถอดหมวกกันน็อกออก และฟาดจำเลย จึงไม่น่าเชื่อว่า ตามวิสัยของผู้กระทำความผิดที่จะปกปิดตัวตนจำเลยจะถอดหมวกกันน็อกออกจริงหรือถอดออกโดยไม่มีเหตุผลพิเศษ ดังนั้นจึงเห็นว่าคำเบิกความของผู้เสียหายมีพิรุธไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือได้ แม้ว่าผู้เสียหายจะให้การในชั้นสอบสวน และให้ข้อมูลจนออกมาเป็นภาพสเก็ตช์คนร้ายได้แต่ภาพสเก็ตช์ดังกล่าวก็ไม่มีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับจำเลย
คดีนี้โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงคนเดียว ดังนั้นข้อเท็จจริงจะต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง ทั้งโจทก์นำสืบยังคงมีข้อพิรุธสงสัยอยู่จึงยกประโยชน์ให้จำเลยตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสองยกฟ้องจำเลย