13 กุมภาพันธ์ 2561
ประชาไทรายงานว่า ผู้จัดกิจกรรม "รวมพลคนอยากเลือกตั้ง" ที่หน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซึ่งไปยื่นหนังสือแจ้งการชุมนุมกับสถานีตำรวจเจ้าของท้องที่ไว้ ได้รับแจ้งจากทางตำรวจว่าพื้นที่ที่จะใช้จัดการชุมนุมเป็นพื้นที่ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้ผู้จัดไปขออนุญาตจัดกิจกรรมกับทางมหาวิทยาลัยเอง
ประชาไทรายงานด้วยว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจติดต่อขอพบผู้จัดกิจกรรมเพื่อสอบถามถึงรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรม แต่เมื่อเดินทางไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจตามนัดปรากฎว่าเจ้าหน้าที่ที่นัดไว้ไม่อยู่ กลุ่มนักศึกษาที่จัดการชุมนุมให้ข้อมูลด้วยว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีข้อมูลส่วนตัวของเขาโดยรู้ว่ามีเรียนวิชาอะไรที่ห้องไหนเวลาเท่าไหร่
โปสเตอร์ประชาสัมพันธ์กิจกรรมคนอยากเลือกตั้ง วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561
14 กุมภาพันธ์ 2561
ประชาไทรายงานว่า ในเวลาประมาณ 16.50 น. กลุ่มนักศึกษาสมัชชาเสรีแห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพื่อประชาธิปไตยจัดกิจกรรม "รวมพลคนอยากเลือกตั้ง" ที่บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อคัดค้านการเลื่อนการเลือกตั้งและสืบทอดอำนาจ พร้อมทั้งเรียกร้องให้คสช. กำหนดวันเลือกตั้งให้ชัดเจน
การชุมนุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมประมาณ 100 คน นอกจากนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์ลำปางแล้ว ยังมีนักวิชาการ ประชาชน รวมทั้งแนวร่วม นปช. ในพื้นที่มาร่วมกิจกรรมและให้กำลังใจนักศึกษาด้วย
ในส่วนของการดูแลความเรียบร้อย ระหว่างที่การชุมนุมดำเนินไปก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบคอยสังเกตการณ์และบันทึกภาพ รวมทั้งมีการตั้งด่านตรวจบนถนนห้วยแก้วฝั่งขาออกช่วงหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วย
ในระหว่างการทำกิจกรรมมีการตะโกนคำขวัญ "เลือกตั้ง เลือกตั้ง เลือกตั้ง" เป็นระยะ หลังจากนั้นก็มีการอ่านแถลงการณ์ของสมัชชาเสรีแห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพื่อประชาธิไตยและร่วมกันร้องเพลงก่อนจะยุติกิจกรรมไปในเวลา 17.45 น.
21 กุมภาพันธ์ 2561
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 ได้รับหมายเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหาชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ห้าคน ขัดคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 3/2558 โดยกำหนดให้เข้าพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 5 มีนาคม 2561
2 มีนาคม 2561
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ผู้ต้องหาทั้งหกให้ทนายเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อขอเลื่อนนัดรับทราบข้อกล่าวหาออกไปเนื่องจากวันที่ 5 มีนาคม ซึ่งเป็นวันนัดเดิมเป็นช่วงเวลาที่ผู้ต้องหาที่เป็นนักศึกษาต้องสอบกลางภาค ผู้ต้องหาทั้งหมดจึงขอเลื่อนไปพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 21 มีนาคม 2561 แทน
21 มีนาคม 2561
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า เวลาประมาณ 13.00 น. ผู้ที่ได้รับหมายเรียกจากการร่วมกิจกรรมการชุมนุม ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 ทั้งหกคนเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.ภูพิงค์ราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ตามนัดแล้ว
บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาของพนักงานสอบสวนระบุว่า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 16.45 น.ผู้ต้องหาทั้งหกคนร่วมกันชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้มีการจัดการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการชุมนุมทางการเมืองกันที่บริเวณป้ายชื่อมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ของ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ในระหว่างที่ผู้ต้องหาทั้งหกคนร่วมกันชุมนุม ผู้ต้องหาห้าคนยกเว้นอ๊อด ใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกําลังไฟฟ้าในการปราศรัยและชูป้ายที่มีข้อความโจมตีการบริหารราชการของคณะรัฐบาลชุดปัจจุบัน และปลุกระดมให้คนทั่วไปออกมาชุมนุม ซึ่งการร่วมกันชุมนุมของผู้ต้องหาทั้งหกคนไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้าคสช. หรือผู้ได้รับมอบหมาย และการใช้เครื่องขยายเสียงดังกล่าวก็ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด
ผู้ต้องหาทั้งหกคนถูกตั้งข้อหาในความผิดฐานชุมนุมตั้งแต่ห้าคนฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 3/2558 และผู้ต้องหาห้าคนยกเว้น
อ๊อด ถูกตั้งข้อหาร่วมกันโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงด้วย กําลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกข้อหาหนึ่งด้วย
ในชั้นนี้ผู้ต้องหาทั้งหกให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาและแจ้งพนักงานสอบสวนว่าจะยื่นคำให้การเพิ่มเติมเป็นเอกสารในวันที่ 2 เมษายน 2561
หลังเสร็จสิ้นกระบวนการพนักงานสอบสวนปล่อยตัวทั้งหกโดยไม่เรียกหลักทรัพย์ค้ำประกันและนัดมาพบเพื่อส่งตัวให้อัยการศาลแขวงเชียงใหม่ในวันที่ 9 เมษายน 2561
9 เมษายน 2561
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ผู้ต้องหาทั้งหกคนเข้าพบพนักงานสอบสวนตามนัดซึ่งพนักงานสอบสวนได้ส่งตัวทั้งหมดฟ้องต่ออัยการ ผู้ต้องหาทั้งหกยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมจากอัยการศาลแขวงเชียงใหม่และขอให้สอบปากคำพยานเพิ่มเติมคือ สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในประเด็นการใช้เสรีภาพการชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ อัยการนัดให้ผู้ต้องหาทั้งหมดมาฟังคำสั่งคดีในวันที่ 11 เมษายน 2561
11 เมษายน 2561
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เวลา 13.30 น. ที่สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงเชียงใหม่ผู้ต้องหาทั้งหกคน เข้ารายงานตัวเพื่อฟังคำสั่งของอัยการแขวงตามที่ได้นัดหมาย หลังจากพนักงานสอบสวนสภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ส่งสำนวนคดีให้อัยการเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2561 โดยมีความเห็นสั่งฟ้องคดี โดยอัยการแขวงระบุว่ายังไม่มีคำสั่งทางคดี จึงให้ผู้ต้องหาทั้ง 6 ทำการเซ็นรับทราบนัดหมายและให้มารายงานตัวอีกครั้งในวันที่ 20 เมษายน 2561
หลังจากผู้ต้องหาได้เซ็นรับทราบนัดของอัยการแล้ว ได้ทำการยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด ผ่านอธิบดีอัยการภาค 5 เพื่อขอให้มีคำสั่งไม่ฟ้องคดี เนื่องจากการฟ้องคดีต่อผู้ต้องหาทั้งหกคน จะไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ พร้อมกับได้ยื่นหนังสืออีกหนึ่งฉบับเพื่อแจ้งแก่อัยการแขวง ให้ทราบว่าขณะนี้ผู้ต้องหาทั้งหกคนได้ทำการยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมฉบับดังกล่าวต่ออัยการสูงสุดผ่านอธิบดีอัยการภาค 5 แล้ว โดยบรรยายกาศการรายงานตัววันนี้ได้มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ หกนาย คอยติดตามสังเกตการณ์ถ่ายภาพผู้ต้องหาและทนายความอย่างใกล้ชิดด้วย
มีการคุกคามจากเจ้าหน้าที่
ในวันเดียวกันนี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เวลาประมาณ 10.00 น. ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารในเครื่องแบบสามนาย ระบุว่ามาจากหน่วยในพื้นที่ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สันติบาลนอกเครื่องแบบสองนาย เดินทางเข้าไปยังบ้านที่จังหวัดเชียงรายของจตุพล นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หนึ่งในผู้ต้องหาคดีนี้ เจ้าหน้าที่สอบถามหาจตุพล ระบุว่าได้รับคำสั่งจาก “นาย” ให้มาพูดคุยปรับความเข้าใจ โดยสอบถามจากพ่อแม่ของนายจตุพลว่าเหตุใดจึงออกมาทำกิจกรรมคนอยากเลือกตั้งที่เกิดขึ้น และมีการพูดคุยขอให้พ่อแม่ของจตุพลตักเตือนอย่าให้จตุพลออกมาทำกิจกรรมอีก
ภายหลังจากการพูดคุยประมาณ 30 นาที ได้มีการขอถ่ายรูปภาพของจตุพลในวัยเด็กไปด้วย พร้อมขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อเอาไว้ ด้านพ่อแม่ของนายจตุพลได้ขอถ่ายรูปเจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่มาในวันนี้เพื่อเก็บไว้ เจ้าหน้าที่ทหารได้ระบุว่า ไม่ต้องถ่ายก็ได้ เพราะพวกตนไม่ได้มาคุกคามอะไร เพียงแต่มาปรับความเข้าใจกันเท่านั้น ก่อนที่จะเดินทางกลับไป
13.30 น. ขณะผู้ต้องหาทั้งหกคน ข้ารายงานตัวอัยการแขวงเชียงใหม่ ประสิทธิ์ ผู้ต้องหาที่ 1 ในคดีนี้ ก็ได้รับการติดต่อจากทางบ้านในจังหวัดกำแพงเพชร ว่าได้มีเจ้าหน้าที่ทหารในเครื่องแบบ 2 นาย ไม่ได้ระบุสังกัด เข้ามาสอบถามหาประสิทธิ์ ระบุว่าได้รับคำสั่งจาก “นาย” ให้มาติดตามว่าประสิทธิ์อยู่บ้านหรือไม่ สามารถติดต่อได้หรือไม่ ทางบ้านของประสิทธิ์ระบุว่าประสิทธิ์ไม่ได้อยู่บ้าน ทางเจ้าหน้าที่ทหารจึงได้ทำการถ่ายภาพรอบๆ บ้านก่อนจะเดินทางกลับไป
ก่อนหน้านั้น ในช่วงเดือนมีนาคม ก่อนการรับทราบข้อกล่าวหาของผู้ต้องหาทั้งหกคน มีรายงานว่าได้มีเจ้าหน้าที่ทหารเดินทางเข้าไปที่บ้านของอ๊อด ที่จังหวัดกำแพงเพชร และจิตต์ศจีฐ์ ที่จังหวัดเชียงราย มาก่อนแล้วเช่นกัน โดยเป็นการเข้าไปพูดคุยสอบถามเรื่องการเข้าร่วมกิจกรรมของทั้งสองคน
20 เมษายน 2561
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เวลา 13.30 น. ที่สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงเชียงใหม่ ผู้ต้องหาทั้งหกคน เข้ารายงานตัวเพื่อฟังคำสั่งของอัยการแขวงตามที่ได้นัดหมาย อัยการแขวงระบุว่ายังไม่มีคำสั่งทางคดีในวันนี้ จึงให้ผู้ต้องหาทั้ง 6 ทำการเซ็นรับทราบนัดหมายและให้มารายงานตัวอีกครั้งในวันที่ 23 พฤษภาคม 2561 เวลา 13.30 น.
ก่อนหน้านี้ผู้ต้องหาทั้งหกคน ได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด ผ่านอธิบดีอัยการภาค 5 เพื่อขอให้มีคำสั่งไม่ฟ้องคดี เนื่องจากการฟ้องคดีจะไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ แต่อัยการยังไม่ได้มีคำสั่งใดๆ
23 พฤษภาคม 2561
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เวลา 13.30 น. ที่สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงเชียงใหม่ ผู้ต้องหาห้าคน เข้ารายงานตัวเพื่อฟังคำสั่งของอัยการแขวงตามที่ได้นัดหมาย ส่วนผู้ต้องหาที่ไม่มา คือยามารุดดิน ซึ่งได้ยื่นหนังสือขอเลื่อนการรายงานตัวไว้ก่อนนี้ เนื่องจากติดสอบ
โดยอัยการแขวงระบุว่ายังไม่มีคำสั่งทางคดีในวันนี้ จึงให้ผู้ต้องหาทั้งห้าคน ทำการเซ็นรับทราบนัดหมายและให้มารายงานตัวอีกครั้งในวันที่ 25 มิถุนายน 2561 เวลา 13.30 น.
ส่วนหนังสือขอความเป็นธรรมที่ยื่นต่ออัยการสูงสุด ทางอัยการยังไม่ได้มีคำสั่งใดๆ
25 มิถุนายน 2561
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เวลา 13.30 น. ที่สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงเชียงใหม่ ผู้ต้องหาทั้งหกคน เข้ารายงานตัวกับอัยการ โดยอัยการยังไม่มีความเห็นทางคดี และนัดหมายให้มารายงานตัวและฟังคำสั่งอัยการอีกครั้งในวันที่ 25 กรกฎาคม 2561 เวลา 13.30 น.
25 กรกฎาคม 2561
สื่อสารธารณะเพื่อพัฒนาสังคมชาวเหนือ รายงานว่า ที่สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงเชียงใหม่ ผู้ต้องหาห้าคน เข้ารายงานตัวกับอัยการ ส่วนอีกคนที่ไม่มาคือ สิทธิชัย คำมี เนื่องจากติดกิจกรรมค่าย โดยอัยการยังไม่มีความเห็นทางคดี และนัดหมายให้มารายงานตัวและฟังคำสั่งอัยการอีกครั้งในวันที่ 27 สิงหาคม 2561 เวลา 13.30 น.
27 สิงหาคม 2561
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ที่สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงเชียงใหม่ ผู้ต้องหาห้าคน เข้ารายงานตัวกับอัยการ ส่วนอีกคนที่ไม่มาได้ยื่นหนังสือขอเลื่อนรายงานตัวไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เนื่องจากติดเรียน โดยอัยการยังไม่มีความเห็นทางคดี และนัดหมายให้มารายงานตัวและฟังคำสั่งอัยการอีกครั้งในวันที่ 27 กันยายน 2561 เวลา 13.30 น.
27 กันยายน 2561
ที่สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงเชียงใหม่ ผู้ต้องหาเข้ารายงานตัวกับอัยการ อัยการยังไม่มีความเห็นทางคดี และนัดหมายให้มารายงานตัวและฟังคำสั่งอัยการอีกครั้งในวันที่ 26 ตุลาคม 2561
26 ตุลาคม 2561
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ที่สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงเชียงใหม่ ผู้ต้องหาเข้ารายงานตัวกับอัยการ อัยการยังไม่มีความเห็นทางคดี และนัดหมายให้มารายงานตัวและฟังคำสั่งอัยการอีกครั้งในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561
โดยในระหว่างการรายงานตัวได้มีเจ้าหน้าที่เครื่องแบบ 3-4 คน คอยติดตามถ่ายภาพผู้ต้องหาและทนายความตลอดการรายงานตัวอย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังได้สอบถามวันนัดหมายครั้งต่อไปจากทนายความด้วย
26 พฤศจิกายน 2561
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ที่สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงเชียงใหม่ ผู้ต้องหาเข้ารายงานตัวกับอัยการ อัยการยังไม่มีความเห็นทางคดี และนัดหมายให้มารายงานตัวและฟังคำสั่งอัยการอีกครั้งในวันที่ 24 ธันวาคม 2561
11 ธันวาคม 2561
24 ธันวาคม 2561
ที่สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงเชียงใหม่ ผู้ต้องหาเข้ารายงานตัวกับอัยการ อัยการยังไม่มีความเห็นทางคดี และนัดหมายให้มารายงานตัวและฟังคำสั่งอัยการอีกครั้งในวันที่ 28 มกราคม 2562
28 มกราคม 2562
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ที่สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงเชียงใหม่ ตัวแทนผู้ต้องหาที่ได้รับมอบอำนาจจากผู้ต้องหาคนอื่นๆ ได้เข้ารายงานตัวเพื่อฟังคำสั่งของอัยการแขวง
พนักงานอัยการคดีศาลแขวงระบุว่าหลังจากส่งสำนวนไปที่สำนักงานอัยการภาค 5 ได้มีคำสั่งให้สั่งฟ้องคดีนี้ในทั้งสองข้อหาดังกล่าว อัยการจึงต้องนัดหมายผู้ต้องหาทั้งหกคน มาส่งฟ้องคดีต่อศาลแขวงเชียงใหม่ ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 13.30 น.
6 กุมภาพันธ์ 2562
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เวลา 13.00 น. ที่ศาลแขวงเชียงใหม่ ผู้ต้องหาทั้งหกคนได้เข้ารายงานตัวตามที่พนักงานอัยการคดีศาลแขวงเชียงใหม่นัดหมายสั่งฟ้องคดีต่อศาล
เวลา 15.00 น. เจ้าหน้าที่อัยการจากสำนักงานอัยการคดีศาลแขวงได้นำคำฟ้อง และสำนวนคดีมายื่นฟ้องต่อศาล โดยสั่งฟ้องประสิทธิ์ และพวกรวมหกคน ในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ข้อ 12 เรื่องการร่วมกันมั่วสุมชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และสั่งฟ้องจำเลยที่ 1-4 และจำเลยที่ 6 ในข้อหาร่วมกันโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมีอธิบดีอัยการภาค 5 เป็นผู้อนุญาตให้ฟ้องคดี
อัยการโจทก์บรรยายฟ้องโดยระบุว่ากลุ่มจำเลยได้ร่วมกันกล่าวแถลงการณ์ที่มีข้อความโจมตีการทำงานของรัฐบาลและคสช. ซึ่งมีสาระสำคัญว่าภายหลังจากการจัดตั้งคสช. จนถึงการจัดตั้งรัฐบาลเผด็จการทหารของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการกระทำการละเมิดหลักการแห่งสิทธิมนุษยชนมากมาย ทั้งยังมีการเลื่อนการเลือกตั้งหลายครั้ง ซึ่งจำเลยกับพวกต้องการให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด
คำฟ้องระบุว่า "จำเลยกับพวกได้ร่วมกันกล่าวปราศรัยเชิญชวนบุคคลอื่นให้มาร่วมชุมนุมกับพวกของจำเลย เพื่อเรียกร้องให้มีการจัดการเลือกตั้ง และร่วมกันแสดงแผ่นป้ายที่มีข้อความต่างๆ อันมีเนื้อหาในการต่อต้านการทำงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน เพื่อให้ประชาชนทั่วไปที่พบเห็นการชุมนุมดังกล่าวเข้าใจว่ารัฐบาลและทหารจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งก่อให้เกิดภาพลักษณ์ในเชิงลบกับรัฐบาล และเป็นการยุยงปลุกปั่น สร้างความแตกแยกระหว่างประชาชนให้เห็นต่างกับรัฐบาล อันเป็นการร่วมกันมั่วสุม หรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป โดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้าคสช. หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย"
ศาลได้ประทับรับฟ้องดังกล่าวไว้ เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1142/2562 และกำหนดวันนัดพร้อมและคุ้มครองสิทธิต่อไปในวันที่ 18 มีนาคม 2562 เวลา 9.00 น.
จากนั้น จำเลยทั้งหกคนได้ยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นศาล โดยไม่ใช้หลักทรัพย์ในการประกันตัว เนื่องจากไม่ได้มีพฤติการณ์จะหลบหนี และคดีไม่ได้มีโทษร้ายแรง ซึ่งต่อมาศาลได้มีคำสั่งในห้องควบคุมตัวผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ อนุญาตให้ปล่อยตัวจำเลยทั้งหมดไป โดยให้สาบานตัวว่าจะมาตามนัดศาล และไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ในการประกัน
ทนายจำเลยยังได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายเบื้องต้น โดยขอให้ศาลยกฟ้องจำเลยในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ข้อ 12 เนื่องจากหัวหน้าคสช. ได้มีการออกคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 22/2561 ลงวันที่ 11 ธ.ค. 61 ให้มีการยกเลิกความผิดในข้อหาเรื่องการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปแล้ว การฟ้องของโจทก์เป็นการฟ้องในข้อหาที่ไม่เป็นความผิดตามกฎหมายอีกต่อไป จึงเป็นการฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ศาลยังไม่ได้มีคำวินิจฉัยในประเด็นข้อกฎหมายนี้ในการพิจารณารับฟ้องคดีในวันนี้
มีการฟ้องจำเลยสองคนที่เคยเข้ารับการปรับทัศนคติจากเจ้าหน้าที่ทหารแล้ว
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้ตั้งข้อสังเกตว่าในการสั่งฟ้องของอัยการนั้นได้มีการฟ้องจำเลยสองราย ซึ่งเคยเข้ารับการอบรมจากเจ้าหน้าที่ทหารในระหว่างที่คดียังอยู่ในชั้นอัยการ ตามเงื่อนไขในวรรคที่ 2 ของ 12 ในคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 3/2558 ซึ่งกำหนดว่าหากผู้กระทำความผิดที่สมัครใจเข้ารับการอบรมจากเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย ให้ถือว่าคดีเลิกกัน แต่อัยการกลับมีการสั่งฟ้องในข้อหามั่วสุมชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปเข้ามาอีก เพียงแต่บรรยายฟ้องไว้ว่าจำเลยทั้งสองคนได้เข้ารับการอบรมตามเจตนารมณ์ของคำสั่งในวรรคนี้แล้ว
18 มีนาคม 2562
นัดพร้อม และคุ้มครองสิทธิ
ก่อนเริ่มการพิจารณาทนายจำเลยทั้งหกได้ยื่นคำร้องเป็นครั้งที่สองเพื่อขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายเกี่ยวกับคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ข้อ 12 ที่จำเลยทั้งหกถูกฟ้อง ว่าได้ถูกยกเลิกโดยคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 22/2561 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2561 จากที่ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 62 ในนัดยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงเชียงใหม่ ทนายจำเลยได้ยื่นเพื่อให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวแล้วครั้งหนึ่ง โดยการยื่นคำร้องทั้งสองครั้ง ศาลได้มีคำสั่งว่าจะวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวพร้อมกับมีคำพิพากษาไปในคราวเดียวกัน
ทนายจำเลยจึงแถลงต่อศาลว่า การพิจารณาคดีนี้จะรวดเร็วขึ้น หากศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายที่ถูกยกเลิกนี้ตามที่จำเลยทั้งหกคนได้ร้องขอ เพราะการต่อสู้คดีในส่วนข้อกล่าวหาดังกล่าวจะยุติลง และจะทำให้คดีของจำเลยหนึ่งรายที่ถูกกล่าวหาด้วยคำสั่งนี้เพียงข้อหาเดียวยุติลงด้วย อย่างไรก็ตาม ศาลได้ระบุกับทนายจำเลยว่าการวินิจฉัยข้อกฎหมายในส่วนนี้ไม่ทำให้คดีเสร็จสิ้นไปทั้งหมด เนื่องจากในคดีนี้ยังมีข้อกล่าวหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตประกอบอยู่ด้วย ซึ่งยังทำให้ต้องมีการสืบพยานโจทก์และจำเลยในคดี เพื่อให้ศาลได้รับทราบข้อเท็จจริงอย่างทั่วถึงก่อนจะมีคำวินิจฉัยและคำพิพากษาได้ ทนายจำเลยจึงได้ขอเวลาในการปรึกษากับจำเลยทั้งหกก่อนเริ่มการสอบคำให้การต่อไป
ทั้งนี้ หลังจากทนายความและจำเลยทั้งหกคนได้ปรึกษากันแล้ว จำเลยทั้งหกจึงขอให้การในคดี โดยจำเลยทั้งห้าคน (ยกเว้นอ๊อด) ที่ถูกฟ้องจากข้อกล่าวหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้การรับสารภาพในข้อกล่าวหาดังกล่าว แต่จำเลยทั้งหกขอให้การปฏิเสธในข้อกล่าวหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ข้อ 12
เมื่อสอบถามคำให้การจำเลยทั้งหกคนเรียบร้อยแล้ว ศาลได้ระบุว่าจากการที่จำเลยห้าคนได้รับสารภาพในข้อกล่าวหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้คดีเหลือเพียงประเด็นเกี่ยวกับคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ข้อ 12 ซึ่งเป็นประเด็นข้อกฎหมายที่ศาลสามารถวินิจฉัยได้เอง จึงไม่มีประเด็นในคดีที่ต้องสืบพยานโจทก์ และจำเลย ศาลจึงมีคำสั่งให้งดการสืบพยานโจทก์ และจำเลย โดยนัดหมายจำเลยทั้งหกเพื่อฟังคำพิพากษาหรือคำสั่ง ในวันที่ 29 มีนาคม 2562 เวลา 9.00 น.
29 มีนาคม 2562
นัดฟังคำพิพากษา
ศาลแขวงเชียงใหม่ได้อ่านคำพิพากษาคดี โดยพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหกคน ในข้อหาชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คน ขึ้นไป ตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ข้อ 12 เนื่องจากคำสั่งดังกล่าวได้ถูกยกเลิกโดยคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 22/2561 ลงวันที่ 11 ธันวาคม 2561 เป็นกรณีที่บทบัญญัติของกฎหมายบัญญัติให้การกระทำไม่เป็นความผิดอีกต่อไป แต่ทั้งนี้ไม่กระทบถึงการดำเนินการหรือการปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้กระทำไปก่อนหน้านั้น
ส่วนข้อหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ศาลพิพากษาให้ลงโทษปรับจำเลย 5 คน คนละ 200 บาท แต่เนื่องจากจำเลยทั้ง 5 ให้การรับสารภาพ จึงให้ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงเหลือโทษปรับคนละ 100 บาท