คำพิพากษาศาลชั้นต้น
บริษัทอัครา รีซอร์สเซส จำกัด(มหาชน) เป็นโจทก์ฟ้องสมลักษณ์ หุตานุวัตร จำเลย กรณีที่จำเลยแชร์ข่าวที่โจทก์ได้เตรียมดำเนินการยื่นขอต่อใบอนุญาตประกอบโลหะกรรมหรือใบอนุญาตโรงแต่งแร่ทองคำต่อกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ โดยในลิงค์ข่าวนั้นมีภาพของเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ปรากฏอยู่ด้วย และเขียนข้อความประกอบว่า ความเลวร้ายของทุนสามานย์ คือ ความไร้สำนึก ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทำทุกอย่างเพื่อสนองความโลภไม่มีขีดจำกัด ไม่เลือกกาลเทศะ ไม่ตระหนักถึงความเป็นชาติ ทุนสามานย์คิดเพียงเกิดมาเพื่อเสพสูงสุดตราบที่กฎหมายล่าตัวไม่ได้และใช้ทุนกับช่องว่างของกฎหมายเป็นเครื่องมือล่าฝ่ายต่อต้านที่ขัดขวางผลประโยชน์ เพื่อสถาปนาอาณานิคมด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ไม่ยี่หระต่อขอบขัณฑสีมาดินแดนบ้านเกิด เป็นนักล่าเท่านั้น
ในทางนำสืบโจทก์ว่า เดิมโจทก์ใช้ชื่อบริษัทว่า บริษัทอัคราไมนิ่ง จำกัด บุคคลทั่วไปเรียกว่า เหมืองทองพิจิตรหรือเหมืองแร่ทองคำชาตรี ดำเนินกิจการเหมืองแร่ทองคำถูกต้องตามกฎหมาย ตามหลักวิชาการมาตรฐานสากล ภายใต้การควมคุมของหน่วยงานราชการ ใบอนุญาตประกอบโลหะกรรมหรือใบอนุญาตแต่งแร่ทองคำของโจทก์จะหมดอายุในวันที่ 31 ธันวาคม 2559 ซึ่งจะต้องยื่นขอต่ออายุภายใน 60 วันก่อนใบอนุญาตเดิมหมดอายุ มีการเสนอข่าวของโจทก์ตามสื่อสาธารณะ
แต่จำเลยได้หมิ่นประมาทและดูหมิ่นโจทก์ด้วยการโฆษณาตามข้อความที่ระบุข้างต้น ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่ตรงกับความเป็นจริงที่ว่า โจทก์จดทะเบียนขออนุญาตและประกอบกิจการอย่างถูกต้องตามกฎหมายภายใต้การควบคุมจากภาครัฐ เสียภาษีรายได้ ค่าภาคหลวงมาโดยตลอด ไม่เคยใช้อำนาจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดำเนินการกับบุคลที่ต่อต้านการทำเหมืองแร่ทองคำ โจทก์อยู่ร่วมกับชุมชนมาเป็นระยะเวลา 15 ปี มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาโดยตลอด
จำเลยนำสืบว่า จำเลยเป็นผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการสิทธิมนุษยนชนแห่งชาติ เป็นคณะทำงานตรวจสอบและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการดำเนินกิจการเหมืองแร่ทองคำ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาข้อขัดแน้ง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ นอกจากนี้ยังเป็นคณะทำงานตรวจสอบและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการดำเนินกิจการเหมืองแร่ทองคำอีกด้วย
โพสต์ดังกล่าวเป็นข้อความที่ปรากฏตามสื่อออนไลน์ และข้อความเกี่ยวกับทุนสามานย์เป็นการเขียนตามหลักวิชาการ เป็นการติชมโดยบริสุทธิ์ใจตามหลักวิชาการ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริษัทของโจทก์หรือบุคคลภายในบริษัทของโจทก์ จำเลยไม่มีเจตนาในการหมิ่นประมาทโจทก์เพราะถ้าจำเลยมีเจตนาดังกล่าว จำเลยสามารถลงชื่อโจทก์ในข้อความดังกล่าวได้
พิเคราะห์ว่า ถ้าหากอ่านเฉพาะข้อความตามที่จำเลยเขียนประกอบนั้นไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับโจทก์ การใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา 326 และ 328 นั้นจะต้องได้ความว่า การใส่ความดังกล่าวได้ระบุถึงตัวตนผู้ถูกใส่ความเป็นการยืนยันรู้ได้แน่นอนว่า เป็นใครหรือหากไม่ระบุถึงผู้ที่ถูกใส่ความโดยตรง การใส่ความนั้นก็จะต้องได้ความว่าหมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ เมื่ออ่านข้อความแล้วไม่มีตอนใดระบุว่า เป็นโจทก์ ประกอบกับเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ได้ตอบคำถามทนายจำเลยว่า ข้อความดังกล่าวไม่มีเนื้อความใดที่ระบุว่า เป็นบริษัทของโจทก์
ดังนั้นการที่โจทก์อ่านข้อความประกอบโพสต์ของจำเลยและมารวมกับรูปภาพของเชิดศักิด์ที่อยู่ในลิงค์ข่าวด้านล่างและสรุปว่า เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์นั้นเป็นเพียงความเข้าใจของโจทก์เท่านั้น หาใช่ความเข้าใจของบุคคลทั่วไป ที่อ่านข้อความแล้วไม่ทราบหรือเข้าใจได้ว่า ข้อความที่จำเลยเขียนหมายถึงผู้ใด หากต้องการรู้ต้องไปสอบถามเพิ่มเติม ซึ่งไม่แน่ว่าสืบเสาะแล้วจะหมายถึงโจทก์หรือไม่ ดังนั้นเมื่อโจทก์ยึดถือความรู้สึกนึกคิดของตนเองเป็นสำคัญ ทั้งที่บุคคลทั่วไปไม่ได้มีการรับรู้หรือเข้าใจว่า ข้อความดังลก่าวหมายถึงโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์และไม่เป็นการดูหมิ่นโจทก์ตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด ได้รับสัมปทานบัตรอนุญาตในการทำเหมืองแร่ทองคำในการประกอบกิจการของโจทก์ โจทก์ได้รับใบอนุญาตประกอบโลหกรรมหรือใบอนุญาตโรงแต่งแร่ทองคำจากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ซึ่งจะหมดอายุในวันที่ 31 ธันวาคม 2559 ต่อมาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2559 โจทก์โดยเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ออกแถลงข่าวว่า โจทก์เตรียมดำเนินการยื่นขอต่อใบอนุญาตดังกล่าวต่อ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ก่อนใบอนุญาตหมดอายุและสื่อมวลชนต่าง ๆ รวมทั้งสำนักข่าว Newsdatatoday เสนอข่าวต่อสาธารณชน หลังจากนั้นโจทก์ได้ยื่นเอกสารขอต่อใบอนุญาต จำเลยเป็นคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจากการทำเหมืองแร่ทองคำของโจทก์
จำเลยใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า “Somlak Hutanuwatr (Thai Leak) หรือสมลักษณ์ หุตานุวัตร”ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยนำ ข้อความเข้าสู่ระบบสื่อสารคอมพิวเตอร์ประเภทเฟซบุ๊กของตนเองว่า “ความเลวร้ายของทุนสามานย์ คือ “ความไร้สำนึกชาติ ศาสน์ กษัตริย์” ทำทุกอย่างเพื่อสนองความโลภที่ไม่มีขีดจำกัด ไม่เลือกกาลเทศะ ไม่ตระหนักถึงความเป็นชาติ ทุนสามานย์คิดเพียงเกิดมาเสพสูงสุดตราบที่กฎหมายล่าตัวไม่ได้ และใช้ทุนกับช่องว่างกฎหมายเป็นเครื่องมือล่าฝ่ายต่อต้านที่ขัดขวางผลประโยชน์เพื่อสถาปนาอาณานิคมด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ไม่ยี่หระต่อขอบขัณฑสีมาดินแดนบ้านเกิด เป็นเผ่าพันธุ์นักล่าเท่านั้น”
คดีมีปัญหาต้อง วินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า ข้อความที่จำเลยโพสต์ในเฟซบุ๊กของจำเลยดังกล่าวข้างต้นหมายถึงโจทก์และเป็นการกล่าวหมิ่นประมาทและดูหมิ่นโจทก์ด้วยการโฆษณานั้น เห็นว่า แม้ข้อความที่จำเลยนำเข้าสู่เฟซบุ๊คของตนส่วนบนที่เป็นข้อความประกอบโพสต์จะไม่มีชื่อโจทก์หรือข้อความใดที่หมายถึงโจทก์ แต่ข้อความส่วนล่างในเฟซบุ๊กของจำเลย ดังกล่าวมีการนำเนื้อข่าวเรื่องโจทก์ ขอต่อใบอนุญาตที่ปรากฏรูป นายเชิดศักดิ์ ผู้แทนโจทก์ หัวข้อข่าวที่มีชื่อโจทก์และเนื้อข่าวบางส่วนที่มีสาระข่าวตามที่สำนักข่าว Newsdatatoday เสนอต่อสาธารณชน
ซึ่งเมื่อ่านข้อความประกอบกันทุกส่วนแล้วข้อความที่จำเลยนำเข้าสู่เฟซบุ๊กของตนดังกล่าวจึงหมายถึงโจทก์และมีความหมายที่สื่อให้เห็นว่า โจทก์เป็นบริษัทที่มีทุนประกอบการมากทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตนเองสนองความโลภที่ไม่มีขีดจำกัดใช้ทุนที่มีจำนวนมากและช่องว่างของกฎหมายเป็นเครื่องมือจัดการกับฝ่ายตรงข้ามที่ต่อต้านขัดขวางผลประโยชน์ในกิจการของโจทก์ โดยไร้ความสำนึกต่อแผ่นดินไทยทำนองว่าโจทก์เป็นบริษัทที่ใช้เงินทุนอย่างเลวทรามต่ำช้า ทำให้ผู้อ่านข้อความที่จำเลยลงไว้แล้วเชื่อว่าโจทก์มีพฤติกรรมในทางไม่ดีใช้เงินทุนชั่วช้า แม้จำเลยจะเป็นคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจากการทำเหมืองแร่ทองคำของโจทก์ จำเลยก็ไม่มีสิทธิกล่าวหาโจทก์ด้วยข้อความดังกล่าวกรณี จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการติชมด้วยความชอบธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำกัน
การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทและดูหมิ่นโจทก์ด้วยการโฆษณาส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ข้อต่อมาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1) ดังนั้น เห็นว่า ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นได้มีพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 แก้ไของค์ประกอบความผิดของมาตรา 14 (1) โดยมีสาระสำคัญว่า การนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนที่จะเป็นความผิด ตามบทบัญญัติดังกล่าวนั้นต้องมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฏหมายอาญา ดังนั้น เมื่อการกระทำ ของจำเลยเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญาแล้ว จึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14 (1) ที่แก้ไขใหม่ เป็นกรณีที่ตามบทบัญญัติของกฏหมายที่บัญญัติในภายหลังว่าการกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิดอีกต่อไป ให้ผู้ที่ได้กระทำการนั้นผลจากการเป็นผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง
กรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานหมิ่นประมาทและดูหมิ่นโจทก์ด้วยการโฆษณามานั้นศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน ที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้นับโทษจำเลยต่อโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.1468/2559 ของศาลชั้นต้นและคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.3843/2559 ของศาลอาญากรุงเทพใต้นั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องเรื่องขอให้นักโทษต่อและไม่มีคำขอท้ายฟ้องขอให้นับโทษไว้ จึงไม่อาจนับโทษต่อตามที่โจทก์ขอได้
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 328, 393 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ซึ่งเป็นกฎหมาย บทที่มีโทษหนักสุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 เดือนและปรับ 20,000 บาท จำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้จำเลยลงโฆษณาคำพิพากษาโดยย่อในหนังสือพิมพ์รายวันไทยรัฐเป็นเวลา 3 วัน ติดต่อกันโดยจำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณาข้อหา