21 พฤศจิกายน 2558
จ.ส.ต.ประธิน ถูกจับกุม ในคดี "ป่วน Bike for Dad"
23 พฤศจิกายน 2559
ณัฐพล ถูกจับกุมจากที่บ้านในจังหวัด ขอนแก่น
26 พฤศจิกายน 2559
จ.ส.ต.ประธิน และณัฐพล ถูกนำตัวมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 และถูกนำตัวไปศาลทหารกรุงเทพ เพื่อขออำนาจฝากขัง หลังจากนั้นทั้งสองคนถูกส่งตัวไปคุมขังที่เรือนจพิเศษแขวงนครชัยศรีซึ่งอยู่ ภายในค่ายทหาร มทบ.11 เป็นเวลานานกว่าสามเดือน
17 กุมภาพันธ์ 2559
อัยการทหารเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลทหารกรุงเทพ ในความผิดตามมาตรา 112 โดยในวันที่อัยการทหารส่งสำนวนฟ้อง จ.ส.ต.ประธินถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำจังหวัดขอนแก่นแล้ว เพื่อรอการดำเนินคดี "ป่วน Bike for Dad" ที่ศาลทหารจังหวัดขอนแก่น ขณะที่ณัฐพลถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ
22 สิงหาคม 2559
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทนายจำเลยเคยยื่นเรื่องต่อศาลทหารสูงสุดเพื่อขอโอนคดีนี้ไปพิจารณาที่ศาลทหารขอนแก่น เพราะจำเลยต่างมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดขอนแก่นไม่สะดวกที่จะดำเนินคดีที่กรุงเทพ ศาลทหารกรุงเทพนัดฟังคำสั่งเรื่องการโอนคดีในวันนี้
แต่เมื่อทนายความจำเลยเดินทางมาถึงศาลก็พบว่าจำเลยทั้งสองคนซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำคนละแห่งไม่ได้ถูกนำตัวมาศาลตามนัด เจ้าหน้าที่ศาลแจ้งว่าทางเรือนจำขอนแก่นมีเหตุขัดข้องจึงไม่ได้เบิกตัว จ.ส.ต.ประธินมา ส่วนณัฐพลก็ไม่ได้ถูกนำตัวมาในวันนี้โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้แจ้งว่าเพราะเหตุใด ศาลจึงให้เลื่อนไปฟังคำสั่งวันที่ 23 กันยายน 2559 และให้เบิกตัวจำเลยมาใหม่
23 กันยายน 2559
นัดฟังคำสั่งเรื่องการโอนคดี
จำเลยทั้งสองถูกพาตัวมาศาลทหารกรุงเทพเพื่อฟังคำสั่งเรื่องการโอนคดีจากศาลทหารกรุงไปพิจารณาที่ศาลทหารขอนแก่น ในเวลาประมาณ 9.55 น. ศาลขึ้นบัลลังก์และอ่านคำสั่งศาลทหารสูงสุดซึ่งมีใจความว่า
มูลเหตุคดีนี้เกิดขึ้นในจังหวัดขอนแก่น พยานหลักฐานต่างๆ ล้วนเกิดขึ้นที่จังหวัดขอนแก่น และ จ.ส.ต.ประธินหนึ่งในจำเลยในคดีนี้ยังถูกดำเนินคดีอีกสองคดีที่ศาลทหารขอนแก่นด้วย ทำให้ต้องนำตัว จ.ส.ต.ประธืนเดินทางกลับไปกลับมาระหว่างกรุงเทพกับจังหวัดขอนแก่น เป็นการไม่สะดวก การให้โอนคดีไปพิจารณาที่ศาลทหารขอนแก่นน่าจะเกิดประโยชน์และสะดวกแก่การพิจารณามากกว่า ตามพ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร มาตรา 57 จึงอนุญาตให้โอนคดีไปที่ศาลทหารขอนแก่นตามที่จำเลยร้องขอ
หลังฟังคำสั่ง เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่นำตัวจำเลยทั้งสองมาที่ศาลแจ้งว่า จ.ส.ต.ประธิน จะถูกนำตัวกลับขอนแก่นในวันรุ่งขึ้นเลย ส่วนณัฐพลจะอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพก่อน เพื่อรอขั้นตอนเกี่ยวกับเอกสาร ส่วนจะได้ย้ายไปอยู่เรือนจำจังหวัดขอนแก่นเมื่อไรยังไม่อาจระบุได้แน่ชัด
9 กุมภาพันธ์ 2560
นัดสืบพยานโจทก์นัดแรก ที่ศาลทหารขอนแก่น ในเวลา 13.00 ประธินและณัฐพล ถูกนำตัวมาที่ศาลทหารขอนแก่นในเวลาประมาณ 9.30 เนื่องจากมีนัดสืบพยานโจทก์ใน
คดีวางแผนป่วนกิจกรรม Bike for Dad ในช่วงเช้า แต่เมื่อมาถึงศาล เจ้าหน้าที่ศาลทหารก็แจ้งว่า การสืบพยานในคดีนี้จะต้องเลื่อนออกไป เพราะพยานโจทก์ในวันนี้ คือ พ.ต.วิจารณ์ จดแตง ติดราชการ ไม่สามารถมาศาลได้ และให้นัดสืบพยานโจทก์ใหม่ ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2560
23 สิงหาคม 2562
ศาลมณฑลทหารบกที่ 23 ออกหมายเรียกให้จำเลยที่เป็นพลเรือนสามคดีมาศาลพร้อมกัน โดยศาลเรียกว่า เป็น "นัดพร้อมเพื่อฟังคำสั่ง" ที่นัดพิเศษขึ้นมาต่างหากจากนัดที่กำหนดไว้แล้ว ซึ่งทั้งสามคดีจำเลยมีความเกี่ยวข้องกัน จึงนัดให้มาพร้อมกันในวันนี้
วันนี้จำเลยทั้ง 5 คนที่ถูกคุมตัวอยู่ถูกพาตัวจากเรือนจำมาที่ศาล และจำเลยอีก 18 คน เดินทางมาศาล พร้อมทนายความจากสหพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพ (สกสส.) ที่เช่ารถตู้เดินทางมาจากกรุงเทพฯ ส่วนจำเลยอีก 2 คน เสียชีวิตแล้วระหว่างการพิจารณาคดียังไม่เสร็จ และจำเลยอีก 2 คน หลบหนี ไม่มาตามนัดหมายของศาลเป็นเวลากว่าสองปีแล้ว
เนื่องจากคดีนี้มีจำเลย และทนายความจำนวนมาก ห้องพิจารณาคดีที่ศาลทหารขอนแก่นเล็กเกินไปสำหรับปริมาณคนที่ต้องเข้าไปในห้อง ทางเจ้าหน้าที่ศาลจึงกั้นพื้นที่ชั้นหนึ่งของอาคารศาลขึ้นมาใหม่ และเอาโต๊ะเก้าอี้เข้ามาวางเพื่อใช้เป็นห้องพิจารณาคดีชั่วคราว พร้อมติดเครื่องปรับอากาศเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าไปในห้องได้โดยไม่อึดอัดจนเกินไป จำเลยทั้งสามคดีถูกพาตัวเข้าไปในห้องพิจารณาชั่วคราวนี้พร้อมกัน โดยเจ้าหน้าที่ศาลใช้วิธีการเช็คชื่อจำเลยทีละคนตั้งแต่เช้า และให้จำเลยติดป้ายระบุหมายเลขว่า เป็นจำเลยคนที่เท่าไรไว้ที่หน้าอกเสื้อ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว
ตุลาการทหารขึ้นบัลลังก์ในเวลาประมาณ 10.30 น. ตุลาการไม่ได้ขานชื่อจำเลยทีละคนในคดีขอนแก่นโมเดล แต่เรียกชื่อจำเลยอีกสองคดีทุกคนที่อยู่ในชุดนักโทษให้ยืนขึ้น เสร็จแล้วศาลแจ้งว่า จำเลยทุกคนในคดีนี้เป็นพลเรือน แต่ต้องมาพิจารณาคดีที่ศาลทหารตามประกาศของ คสช. และบัดนี้ คสช. ได้มีคำสั่งยกเลิกการให้พลเรือนต้องขึ้นศาลทหารแล้ว หลังจากนี้ก็ขอให้ทุกคดีกลับไปพิจารณาคดีที่ศาลพลเรือน และถามทุกคนว่า ทราบแล้วใช่หรือไม่ จำเลยบางคนพยักหน้ารับ
จากนั้นศาลจึงอ่านรายงานกระบวนพิจารณาคดีที่เตรียมไว้แล้ว ระบุว่า "เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2562 ได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2562 เรื่องการยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับที่หมดความจำเป็น กำหนดให้คดีอยู่ในอำนาจของศาลทหารตามประกาศและคำสั่งดังกล่าวไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหาร ตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป คำสั่งดังกล่าวมีผลทำให้คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหาร ตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป แต่ให้อยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม จึงให้งดการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราว กับให้โอนคดีไปยังศาลยุติธรรมที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา และจำหน่ายคดีออกจากสารระบบความในศาลนี้ ให้มีหนังสือไปยังสำนักงานศาลยุติธรรม และเพื่อให้การโอนคดีเป็นไปด้วยความเรียบร้อยจึงให้สัญญาประกันและหมายขังของจำเลยยังคงมีผลใช้บังคับต่อไป ก่อนส่งสำนวนให้ศาลถ่ายสำเนาสำนวนและเอกสารต่างๆทั้งหมดเก็บไว้ที่ศาลนี้ด้วย”
หลังจากนั้นตุลาการลุกขึ้นและจะเดินออกจากห้องพิจารณาคดีชั่วคราวทันที แต่หนึ่งในทีมทนายความยกขึ้น และขออนุญาตศาลว่า จะขอกล่าวอะไรสักหน่อย ทุกคนจึงนั่งลงฟัง ทนายแถลงว่า ตลอดเวลาห้าปีเต็มที่ต้องมาขึ้นศาลแห่งนี้เพื่อการพิจารณาคดี ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเจ้าหน้าที่และศาลทุกคน เป็นบรรยากาศที่รู้สึกว่า ไม่ได้เป็นศัตรูกัน ไม่ได้สร้างความกดดันให้กัน แม้การพิจารณาคดีจะช้าไปสักหน่อย จนท่านอัยการทหารบางคนจากไป และจำเลยบางคนก็จากไปก่อนคดีจะเสร็จ ขอขอบคุณทั้งศาลและเจ้าหน้าที่ทุกคนที่อำนวยความสะดวกให้และช่วยเหลือกันเสมอมา โดยหวังว่า จะไม่ต้องกลับมาที่นี่กันอีก
ด้านศาลก็กล่าวตอบว่า ศาลนี้ไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร ศาลเพียงแต่ต้องทำตามคำสั่งของ คสช. บัดนี้คำสั่งของ คสช. ยกเลิกแล้วก็ขอให้ทุกคนโชคดี