- คดีอื่นๆ, ฐานข้อมูลคดี
ปิยรัฐ: ฉีกบัตรประชามติ
ผู้ต้องหา
สถานะคดี
คดีเริ่มในปี
โจทก์ / ผู้กล่าวหา
สารบัญ
ภูมิหลังผู้ต้องหา
ปิยรัฐ จงเทพ เป็นชาวจังหวัดกาฬสินธุ์ สมัยที่ปิยรัฐศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าพระนครเหนือเคยทำกิจกรรมในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้าน Sotus ในมหาวิทยาลัย หลังการรัฐประหารปี 2557 ปิยรัฐเข้าร่วมการชุมนุมทางการเมืองในบางโอกาส ในปี 2559 เขาแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วยการฉีกบัตรออกเสียงประชามติจนทำให้ถูกดำเนินคดีในความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ต่อมาในปี 2561 ปิยรัฐเข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งจนเป็นเหตุให้ถูกดำเนินคดีในความปิดฐานยุยงปลุกปั่นให้ประชาชนก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง
ในการเลือกตั้งปี 2562 ปิยรัฐลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตหนึ่ง ของพรรคอนาคตใหม่ โดยได้คะแนนเป็นลำดับที่ 3 ในปี 2563 ปิยรัฐเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มราษฎรและได้ก่อตั้งกลุ่มมวลชนอาสา “We Volunteer” ขึ้นมาทำหน้าที่เป็นฝ่ายดูแลความปลอดภัยและสนับสนุนด้านเทคนิคในพื้นที่การชุมนุม
ทรงธรรมหรือเดฟ เป็นอดีตนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชมงคลสุวรรณภูมิ นอกจากคดีนี้ ทรงธรรมยังถูกดำเนินคดีในความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งห้ามชุมนุมของหัวหน้าคสช. 3/2558 และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 จากการเดินขบวนจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยร่วมกับนักกิจกรรมอีก 13 คน (คดีขบวนการประชาธิปไตยใหม่) นอกจากนี้ทรงธรรมยังถูกดำเนินคดีในความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งห้ามชุมนุมฉบับที่ 3/2558 จากการร่วมชุมนุมครบรอบหนึ่งปีการรัฐประหารที่หน้าหอศิลป์กรุงเทพอีกด้วย
จิรวัฒน์ เคยทำกิจกรรม "เรือนจำพิเศษประเทศไทย" สวมชุดนักโทษเดินที่ห้างเพื่อแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยไร้เสรีภาพเหมือนอยู่ในเรือนจำ
ข้อหา / คำสั่ง
การกระทำที่ถูกกล่าวหา
พฤติการณ์การจับกุม
ปิยรัฐ ทรงธรรม และจิรวัฒน์ ถูกควบคุมตัวที่หน่วยเลือกตั้งในสำนักงานเขตบางนา หลังปิยรัฐฉีกบัตรประชามติในหน่วยเลือกตั้ง ทั้งสามถูกนำตัวไปควบคุมที่สน.บางนาตั้งแต่เวลาประมาณ14.00 น. จนถึงเวลาประมาณตีสามจึงได้รับการประกันตัวในชั้นสอบสวน
บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล
หมายเลขคดีดำ
ศาล
เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
แหล่งอ้างอิง
ประชาไทรายงานอ้างอิงจากการสัมภาษณ์ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนว่า ศาลจังหวัดพระโขนงมีคำสั่งรับฟ้องในคดีที่ปิยรัฐและพวกรวมสามคน ถูกฟ้องร้องฐานละเมิด พ.ร.บ.ประชามติฯ ทนายจำเลยจึงได้ยื่นประกันตัวปิยรัฐและพวกรวมสามคนในชั้นศาล โดยใช้ตำแหน่งทางวิชาการของอาจารย์มหาวิทยาลัยสองคนจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยก่อนหน้านี้มีอาจารย์จาก ม.เกษตรศาสตร์อีกหนึ่งคนใช้ตำแหน่งยื่นประกันด้วยแต่เจ้าหน้าที่ศาลแจ้งว่าเอกสารไม่ครบและตำแหน่งอาจารย์เพียงสองคนก็ครอบคลุมวงเงินที่ต้องใช้ประกันทั้งสามคนแล้ว
ต่อมาในช่วงบ่ายศาลมีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวทั้งสามคนโดยให้เหตุผลว่า อาจารย์ไม่ใช่ญาติพี่น้องและไม่ใช่นายจ้างของผู้ต้องหา จึงไม่อนุญาตให้ประกันตัว ทำให้ทั้งสามคนถูกควบคุมตัวไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในช่วงเย็น
14 ธันวาคม 2559
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ศาลจังหวัดพระโขนงให้ประกันตัว ปิยรัฐและพวก พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามคำร้องผู้ร้องเป็นอาจารย์มีความสัมพันธ์กับจำเลย ถือได้ว่ามีส่วนได้เสีย อนุญาตให้ปล่อยจำเลย ตีราคาประกันคนละ 200,000 บาท แม้ว่าวานนี้ศาลจะไม่อนุญาตให้บุญเลิศและนักวิชาการอีกคนใช้ตำแหน่งประกันให้โตโต้และเพื่อนด้วยเหตุผลว่า นักวิชาการทั้งไม่ใช่ญาติและนายจ้างของจำเลย จึงไม่ให้ใช้ตำแหน่งราชการมาเป็นหลักทรัพย์ประกันก็ตาม
30 มกราคม 2560
นัดสอบคำให้การ
ศาลจังหวัดพระโขนงนัดจำเลยทั้งสามสืบคำให้การในเวลา 9.00 น. วันนี้จำเลยทั้งสามมาศาลพร้อมด้วยทีมทนายจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนอีกสามคน ศาลเริ่มประบวนพิจารณาคดี้ในเวลาประมาณ 10.00 น.
ศาลเริ่มกระบวนพิจารณาโดยอ่านฟ้องให้จำเลยฟังก่อนจำถามคำให้การ จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ศาลถามว่าจำเลยได้ทำการฉีบบัตรจริงหรือไม่เพราะในวันเกิดเหตุก็มีภาพโพสต์บนเฟซบุ๊กของจำเลยเอง ปิยรัฐแถลงต่อศาลว่าในสำนวนคดีมีข้อความบางส่วนที่ผิดไปจากข้อเท็จจริงจึงประสงค์จะสู้คดี
ศาลถามอัยการว่าประสงค์จะนำพยานเข้าสืบกี่ปาก อัยการแถลงว่ามีทั้งหมด 14 ปาก เป็นเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำหน่วยลงคะแนนประชามติอีกส่วนหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศาลบอกอัยการว่าพยานหลายคนน่าจะเบิกความประเด็นเดียวกัน หากนำพยานมาสืบทั้งหมดจะทำให้เสียเวลา จึงอยากให้คู่ความไปตกลงกันดูว่าจะรับข้อเท็จจริงในชั้นสอบสวนของพยานปากไหนได้บ้างเพื่อจะได้ประหยัดเวลาในการสืบพยาน
ศาลถามปิยรัฐอีกครั้งว่าวันเกิดเหตุปิยรัฐฉีกบัตรจริงหรือไม่ปิยรัฐตอบว่าจริงแต่สู้คดีเพราะเห็นว่าการฉีกบัตรลงคะแนนไม่เป็นการทำลายทรัพย์สินของทางราชการเพราะเป็นบัตรของตัวเอง ศาลแย้งว่าบัตรลงคะแนนไม่ได้เป็นบัตรที่ให้ขาดเพราะสุดท้ายจะต้องส่งคืนเจ้าหน้าที่ ศาลถามปิยรัฐอีกครั้งด้วยว่าวันเกิดเหตุได้ตะโกนประโยค "เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ" จริงหรือไม่ ปิยรัฐรับว่าจริงแต่เชื่อว่าการกระทำดังกล่าวไม่ได้เป็นการก่อความวุ่นวายในหน่อยลงคะแนนและตนเองมีแนวทางสู้คดีแล้ว
ทนายของจำเลยทั้งสามแถลงว่าอยากจะขอนัดตรวจพยานหลักฐานสักหนึ่งนัดก่อน ศาลอนุญาตโดยสั่งให้คู่ความส่งบัญชีพยานหลักฐานให้กับศาล 7 วันก่อนถึงวันนัดและให้คู่ความกำหนดวันนัดกันเอง อัยการกับทนายตกลงกันว่าจะตรวจพยานหลักฐานกันในวันที่ 7 มีนาคม 2560 แต่ศาลเห็นว่าจะเป็นการทิ้งระยะเวลานานเกินไปขอให้คู่ความนัดวันกันภายในเดือนกุมภาพันธ์ แต่เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถหาวันว่างตรงกันได้ศาลจึงอนุญาตให้ตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 7 มีนาคม 2560 เวลา 9.00 น. และให้คู่ความส่งบัญชีพยานหลักฐานให้ศาลเจ็ดวันก่อนถึงวันนัด
7 มีนาคม 2560
นัดตรวจพยานหลักฐาน
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า โจทก์แถลงขอนำพยานเข้าสืบรวม 14 ปาก เป็นเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยออกเสียงและเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ทำการจับกุม ฝ่ายจำเลยมีจำเลยสามคนเบิกความเป็นพยานให้ตัวเองและมีนักวิชาการกับเจ้าหน้าที่กกต.มาเบิกความเป็นพยาน โดยศาลนัดสืบพยานในวันที่ 13 – 16 มิถุนายน 2560 โดยให้เวลาสืบพยานฝ่ายละสองนัด
13 มิถุนายน 2560
นัดสืบพยานโจทก์
ศาลจังหวัดพระโขนงนัดสืบพยานโจทก์เป็นวันแรก ก่อนเริ่มสืบพยานศาลถามจำเลยทั้งสามอีกครั้งว่า เคยให้การปฏิเสธในวันที่ 30 มกราคม 2560 แต่ต่อมาปิยรัฐ จำเลยที่หนึ่งให้การรับสารภาพในข้อกล่าวหาฉีกบัตรลงคะแนนตามพ.ร.บ.ประชามติฯแต่ให้การปฏิเสธในข้อหาทำเลยเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญาถูกต้องหรือไม่ จำเลยทั้งสามรับว่าใช่
ศาลถามปิยรัฐ จำเลยที่หนึ่งว่า หากรับสารภาพในข้อหาฉีกบัตรตามมาตรา 59 ของพ.ร.บ.ประชามติฯแต่ศาลไปพิพากษาลงโทษในข้อหาทำให้เสียทรัพย์หรือทำลายเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญาจะไม่ได้รับประโยชน์จากคำรับสารภาพจะยืนยันตามเดิมหรือไม่ ปิยรัฐยืนยันคำให้การเดิม
สืบพยานโจทก์ปากที่หนึ่ง จารุวรรณ ศรีทองชัย ผู้กล่าวหา
จารุวรรณเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุรับราชการครูที่โรงเรียนศรีเอี่ยมอนุสรณ์ เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้เพราะได้รับแต่งตั้งเป็นประธานหน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดหน่วยที่สาม เขตบางนา โดยได้รับแต่งตั้งในวันที่ 15 กรกฎาคม 2559 อัยการให้จารุวรรณยืนยันคำสั่งแต่งตั้งและถามว่าตามคำสั่งแต่งตั้งนี้มีระบุหน้าที่หรือไม่ จารุวรรณตอบว่าไม่ได้มีการแบ่งหน้าที่กันเป็นการเฉพาะ โดยคำสั่งดังกล่าวระบุว่าให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 7 สิงหาคม 2557 โดยก่อนหน้าวันออกเสียงประชามติผู้ปฏิบัติหน้าที่จะต้องเข้ารับการอบรมก่อน
จารุวรรณเบิกความตอบอัยการถึงขั้นตอนการออกเสียงประชามติว่า ขั้นตอนแรกผู้มีสิทธิออกเสียงจะต้องตรวจสอบรายชื่อของตัวเองที่บอร์ดรายชื่อก่อน หลังจากนั้นจึงมาให้เจ้าหน้าที่ในหน่วยออกเสียงตรวจดูรายชื่อ พิมพ์ลายนิ้วมือ หลังทำการตรวจสอบเจ้าหน้าที่จะฉีกบัตรออกจากต้นขั้วก่อนจะพับแล้วส่งให้ผู้มีสิทธินำไปลงคะแนนในคูหา
อัยการถามจารุวรรณว่าในวันเกิดเหตุจารุวรรณปฏิบัติหน้าที่ในส่วนไหน จารุวรรณเบิกความว่าปฏิบัติหน้าที่ดูแลหีบบัตร อัยการถามจารุวรรณว่ากรรมการประจำหน่วยที่นั่งตรงโต๊ะตรวจรายชื่อจะต้องทำหน้าที่ใครหน้าที่มันโดยตลอดหรือสามารถสลับตำแหน่งกันได้
จารุวรรณตอบว่าเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ตรวจรายชื่อ พิมพ์ลายนิ้วมือ หรือส่งบัตรให้ผู้มาใช้สิทธิสามารถปฏิบัติหน้าที่แทนกันได้ในกรณีที่มีคนไปเข้าห้องน้ำหรือทำธุระส่วนตัว
อัยการถามจารุวรรณว่าหน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดหน่วยที่สาม เขตบางนาตั้งอยู่ที่ใด จารุวรรณตอบว่าอยู่ในสำนักงานเขตบางนา อัยการถามจารุวรรณต่อว่า ในสำนักงานเขตบางนามีหน่วยออกเสียงกี่หน่วย จารุวรรณตอบว่ามีสี่หน่วย เป็นหน่วยออกเสียงนอกเขตจังหวัดทั้งสี่หน่วย
อัยการถามจารุวรรณว่าวันเกิดเหตุมาถึงที่เกิดเหตุกี่โมง จารุวรรณตอบว่ามาถึงตั้งแต่ 6 โมงเช้าเพื่อมาจัดสถานที่ โดยการจัดหน่วยทำตามแผนผังที่กกต.กำหนดมา แต่มีการปรับเปปลี่ยนบ้างตามความเหมาะสมของสถานที่จริง โดยวางหีบไว้ตรงกลางหน่วย
ด้านหน้าหน่วยมีบอร์ดรายชื่อผู้มีสิทธิ โต๊ะของกรรมการอยู่ด้านหน้าหน่วยออกเสียงหากหันหน้าเข้าหน่วยออกเสียงโต๊ะของกรรมการจะอยู่ด้านซ้าย สำหรับสถานที่ตั้งของหน่วยออกเสียง จารุวรรณตอบว่าน่าจะเป็นลานจอดรถของสำนักงานเขตบางนาแต่มีการเอาเตนท์มากาง
อัยการถามจารุวรรณว่ามีการกั้นเขตระหว่างหน่วยออกเสียงอย่างไร จารุวรรณตอบว่ามีการใช้แถบพลาสติกกั้นและบอร์ดกั้นระหว่างหน่วยออกเสียง จารุวรรณเบิกความต่อว่าการเดินมาหน่วยออกเสียงที่สามจะต้องผ่านหน่วยออกเสียงที่หนึ่งและสองก่อน โดยทางเดินจะอยู่ด้านนอกเต้นท์หน่วยออกเสียง
อัยการถามต่อว่าผู้ใดมีสิทธิเดินเข้ามาในหน่วยออกเสียงบ้าง จารุวรรณตอบว่าเจ้าหน้าที่และผู้มีสิทธิออกเสียงในหน่วย อัยการถามต่อว่าหากผู้มาออกเสียงมีผู้ติดตามมาด้วยจะต้องรอที่ใด จารุวรรณตอบว่าจะต้องรอด้านนอก
อัยการถามว่าบริเวณหน่วยออกเสียงหมายถึงพื้นที่บริเวณไหนบ้าง จารุวรรณตอบว่านับจากด้านในบอร์ดที่มีรายชื่อผู้มีสิทธิติดอยู่เป็นต้นไป แต่ทางเดินถือว่าอยู่นอกหน่วยออกเสียง
อัยการขอให้จารุวรรณเล่าถึงเหตุการณ์ในคดี จารุวรรณตอบว่า ประมาณเที่ยงมีชายคนหนึ่งซึ่งต่อมาทราบว่าเป็นปิยรัฐ เดินเข้ามาในหน่วยออกเสียงและเข้ามาตรวจรายชื่อตามปกติ แต่ก็เห็นความผิดปกติเพราะมีชายสองคนยืนถือโทรศัพท์ในลักษณะถ่ายภาพหรือวิดีโออยู่ด้านในเต็นท์ซึ่งเป็นบริเวณด้านในหน่วยออกเสียง
เมื่อจารุวรรณเห็นดังนั้นจึงห้ามทั้งสองว่าไม่ให้ถ่ายภาพในหน่วย ชายหนึ่งในสองคนบอกว่าจะมาถ่ายรูปเพื่อน จารุวรรณจึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยออกเสียงที่สี่ เจ้าหน้าที่นายนั้นจึงกันชายทั้งสองคนออกไปด้านนอกบอร์ดติดรายชื่อผู้มีสิทธิ
จารุวรรณเบิกความต่อว่า ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกันตัวชายสองคนนั้นออกไปตนเดินตามไปด้วยโดยขณะเดินหันหน้าออกจากหน่วยออกเสียง เมื่อหันหน้ากลับมาที่หีบบัตรอีกครั้งก็เห็นปิยรัฐออกจากคูหาแล้วเดินเลยหีบบัตรมาโดยไม่หย่อนบัตรลงในหีบ จากนั้นปิยรัฐชูบัตรขึ้นและตะโกนว่า "เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ" พอพูดจบก็ฉีกบัตร แต่ตนไม่ทราบว่าปิยรัฐฉีกบัตรจนขาดเป็นสองท่อนเลยหรือไม่
จารุวรรณเบิกความต่อว่าหลังจากปิยรัฐฉีกบัตรก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งแต่จำไม่ได้ว่าเป็นคนไหนเข้าไปประชิดตัวเพื่อควบคุมตัว อัยการถามว่าระหว่างเกิดเหตุชายสองคนที่ทำท่าเหมือนถ่ายรูปได้บันทึกภาพเหตุการณ์หรือไม่ จารุวรรณตอบว่าไม่ทราบเนื่องจากขณะนั้นตนเองหันกลับมาดูเหตุการณ์ที่จำเลยที่หนึ่งฉีกบัตรลงคะแนน
จารุวรรณเบิกความต่อว่า หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่เชิญตัวไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจโดยอยู่ที่นั่นประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นจึงกลับมาที่หน่วยออกเสียงในเวลาก่อน 16.00 น. เพื่อช่วยนับคะแนน อัยการย้อนถามว่าระหว่างที่ให้การกับพนักงานสอบสวนจารุวรรณให้การว่าอย่างไร จารุวรรณตอบว่าจำไม่ได้ว่า ให้การว่าอะไรบ้าง
อัยการย้อนถามว่าตอนให้การกับพนักงานสอบสวนจารุวรรณเบิกความว่า ปิยรัฐฉีกบัตรลงคะแนนเป็นสองท่อนจะยืนยันหรือไม่ จารุวรรณเบิกความว่าเห็นหตุการณ์ขณะฉีกไม่ชัดเจนว่าบัตรที่ปิยรัฐฉีกจะขาดเป็นสองท่อนเลยหรือไม่
สำหรับคำให้การในชั้นสอบสวนและข้อกล่าวหาที่ตั้งกับจำเลยทั้งสาม จารุวรรณลงชื่อรับรองคำให้การตามที่พนักงานสอบสวนพิมพ์มา ในคำให้การฉบับดังกล่าวจารุวรรณเบิกความว่าตนเองลงนามในฐานะผู้กล่าวหาเนื่องจากประธานหน่วยออกเสียงต้องเป็นผู้กล่าวหาในกรณีที่มีการกระทำผิดในหน่วยออกเสียง
อัยการให้จารุวรรณดูผังการจัดหน่วยลงออกเสียงของกกต. จารุวรรณเบิกความว่า ผังการจัดหน่วยแบบที่สองคล้ายกับการจัดหน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดหน่วยที่สาม เขตบางนา แต่ไม่เหมือนกันเสียทีเดียวเนื่องจากในสถานที่จริงมีความจำเป็นต้องปรับบางส่วนเพื่อความเหมาะสม
อัยการถามจารุวรรณว่า ทราบหรือไม่ว่าจิรวัฒน์จำเลยที่สองและทรงธรรมจำเลยที่สามนั่งอยู่บริเวณที่นั่งใกล้ๆหน่วยออกเสียงนานแล้วก่อนเดินมาถ่ายภาพ จารุวรรณเบิกความว่า เรื่องที่จำเลยทั้งสองนั่งอยู่บริเวณนั้นนานแล้วจึงลุกมาถ่ายภาพหรือวิดีโอ ตนเพียงได้ยินจากเจ้าหน้าที่คนอื่น แต่ตนเองเห็นทั้งสองเฉพาะตอนที่ทำท่าเหมือนถ่ายภาพหรือวิดีโอเท่านั้น
เกี่ยวกับบัตรลงคะแนนที่เป็นของกลาง จารุวรรณเบิกความว่าไม่ทราบว่าบัตรดังกล่าวมีมูลค่าเท่าใด ส่วนบัตรที่ลงลายมือชื่อรับรองว่าเป็นหลักฐาน เป็นบัตรที่เจ้าหน้าที่นำมาให้ลงชื่อและแจ้งว่าเป็นบัตรที่เก็บมาจากที่เกิดเหตุแต่ตนเองไม่เห็นเหตุการณ์ขณะที่เจ้าหน้าที่ยึดหรือเก็บบัตรมา
จารุวรรณเบิกความว่า หลังวันเกิดเหตุได้ไปร่วมในการจำลองเหตุการณ์วันเกิดเหตุ โดยมีเจ้าหน้าที่ที่เป็นพยานผู้เห็นเหตุการณ์มาร่วมในการจำลองเหตุการณ์ แต่จำเลยทั้งสามไม่ได้มาด้วย ในการจำลองเหตุการณ์มีคนสองคนทำท่าเหมือนถ่ายภาพหรือวิดีโอแต่เท่าที่ตนเห็นในวันเกิดเหตุมีเพียงหนึ่งในสองที่เป็นผู้ถ่ายภาพ
อย่างไรก็ตามในการทำภาพจำลองเหตุการณ์วันเกิดเหตุไม่ได้มีใครลงชื่อคัดค้าน จารุวรรณเบิกความต่อว่า คลิปวิดีโอที่เผยแพร่ในโลกออนไลน์ ไม่ทราบว่ามาจากไหน แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นของจริงเพราะเห็นเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยที่ร่วมงานกับตนอยู่ในภาพด้วยและเป็นภาพเหตุการณ์ในที่เกิดเหตุจริง
อัยการแถลงหมดคำถาม เนื่องจากขณะนั้นเวลาใกล้เที่ยงและทนายจำเลยแถลงว่ามีคำถามที่จะถามค้านพยานปากนี้มาก ศาลจึงให้ไปสืบพยานต่อในช่วงบ่าย
ในเวลาประมาณ 14.00 น. ศาลเริ่มสืบพยานต่อในช่วงบ่ายโดยเป็นการถามค้านของทนายจำเลย
ตอบทนายจำเลยถามค้าน
ทนายจำเลยถามว่า หน่วยออกเสียงที่จารุวรรณดูแล เป็นหน่วยออกเสียงปกติหรือหน่วยออกเสียงที่ตั้งขึ้นเฉพาะ จารุวรรณตอบว่าหน่วยออกเสียงที่ตนเองปฏิบัติหน้าที่เป็นหน่วยออกเสียงของผู้ขอใช้สิทธินอกเขตจังหวัด ซึ่งผู้มีสิทธิลงคะแนนในหน่วยนี้มีเฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนไว้ล่วงหน้าเท่านั้น
ทนายจำเลยถามว่า ทราบหรือไม่ว่าทรงธรรม จำเลยที่สามเป็นผู้มีสิทธิลงคะแนนในหน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดหน่วยที่สาม จารุวรรณตอบว่าไม่ทราบ ทนายจำเลยถามว่าจารุวรรณเคยเห็นระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)เรื่องห้ามถ่ายภาพหรือไม่ จารุวรรณตอบว่าไม่เคยเห็นแต่มีการแจ้งในที่อบรมว่าห้ามถ่ายภาพ
ทนายจำเลยขออนุญาตศาลเปิดคลิปวิดีโอบันทึกเหตุการณ์ พร้อมทั้งถามจารุวรรณว่า ตามคลิปวิดีโอ ชายที่หน้าตาคล้ายทรงธรรม กำลังยืนอยู่หลังด้านนอกบอร์ดติดป้ายชื่อลงคะแนนใช่หรือไม่ และจากมุมกล้องคนที่ถ่ายคลิปนี้น่าจะยืนถ่ายจากด้านนอกหน่วยออกเสียงใช่หรือไม่ จารุวรรณตอบว่าตามคลิปน่าจะเป็นเช่นนั้น
ทนายจำเลยถามจารุวรรณว่า ขณะเกิดเหตุการออกเสียงยังดำเนินต่อไปใช่หรือไม่ จารุวรรณรับว่า ใช่ ทนายจำเลยถามว่าหลังปิยรัฐฉีกบัตรลงคะแนนถูกเจ้าหน้าที่พาตัวไปไหน จารุวรรณตอบว่าเห็นว่าเจ้าหน้าที่พาตัวปิยรัฐไป แต่จะพาไปที่ใดไม่ทราบ
ทนายจำเลยถามว่า จารุวรรณเบิกความกับอัยการว่า ขณะที่ปิยรัฐฉีกบัตรลงคะแนนก็หันไปมองจึงหันหลังให้ชายสองคนที่ทำท่าเหมือนถ่ายภาพ แล้วจารุวรรณทราบได้อย่างไรว่า ชายทั้งสองคนถ่ายภาพ
จารุวรรณตอบว่า ทราบเพราะอมรินทร์ ผู้อำนวยการหน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดที่สามแจ้งกับตนว่า เห็นชายสองคนคือจิรวัฒน์ และทรงธรรม ยืนอยู่ตรงจุดที่ถูกกันตัวออกไปและทำท่าทางเหมือนถ่ายภาพหรือวิดีโอ แต่จะถ่ายอยู่จริงหรือไม่ ไม่ทราบ
ทนายจำเลยถามจารุวรรณว่า ตามที่ได้รับการอบรม การถ่ายภาพบริเวณหน่วยออกเสียงประชามติทำได้หรือไม่ จารุวรรณตอบว่า การถ่ายภาพในหน่วยออกเสียงทำไม่ได้ แต่การยืนถ่ายจากนอกหน่วยออกเสียงเข้ามาจะทำได้หรือไม่ ไม่ทราบ
จารุวรรณเบิกความต่อว่าในฐานะที่ตนเป็นประธานฯ หากจำเลยทั้งสองถ่ายภาพจากด้านนอกหน่วยออกเสียงจะไม่ห้าม
ทนายจำเลยถามว่า ในวันเกิดเหตุจารุวรรณเคยให้การกับพนักงานสอบสวนสองครั้ง ครั้งแรกช่วงกลางวันหลังเกิดเหตุครั้งที่สองช่วงกลางคืนหลังปิดหีบและนับคะแนนเรียบร้อยแล้ว ในการให้การรอบแรกจารุวรรณไม่ได้พูดถึงคลิปวิดีโอ แต่มาให้การในการสอบสวนรอบสองช่วงกลางคืน เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น จารุวรรณตอบว่าเป็นเพราะเพิ่งมาทราบว่ามีคลิปวิดีโอดังกล่าวในภายหลัง
ทนายจำเลยเปิดวิดีโอคลิปข่าวที่นักแสดงคนหนึ่งไปออกเสียงประชามติซึ่งตามคลิปปรากฎภาพเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยออกเสียงใช้โทรศัพท์ถ่ายภาพดาราให้จารุวรรณดูจากนั้นถามจารุวรรณว่า ในคลิปวิดีโอที่เปิดให้ดูมีคนถ่ายภาพในหน่วยออกเสียงประชามติใช่หรือไม่
จารุวรรณตอบว่าใช่แต่ชี้แจงต่อว่า ตนเองได้รับแจ้งจากการอบรมของเขตบางนาว่า การถ่ายภาพในหน่วยออกเสียงทำไม่ได้ แต่ไม่ทราบว่าหน่วยออกเสียงอื่นมีแนวปฏิบัติอย่างไร
ทนายจำเลยถามจารุวรรณว่าขณะเกิดเหตุ ปิยรัฐไม่ได้มีพฤติการณ์ด่าทอบุคคลใด และเมื่อเจ้าหน้าที่จะทำการควบคุมตัวปิยรัฐเองก็ยอมให้เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวแต่โดยดีใช่หรือไม่ จารุวรรณรับว่าใช่ ทนายจำเลยถามว่าขณะเกิดเหตุผู้ที่มีใช้สิทธิก็ลงคะแนนตามปกติใช่หรือไม่ จารุวรรณรับว่า ใช่ และอธิบายต่อว่า
ขณะเกิดเหตุมีคนที่มาออกเสียงบางส่วนหันมามอง และปิยรัฐก็ไม่ได้ฉีกบัตรเงียบๆแต่มีการตะโกนเสียงดัง ทนายจำเลยถามว่าจารุวรรณได้แจ้งจับจิรวัฒน์และทรงธรรม หรือไม่ จารุวรรณรับว่า ตนไม่ได้เป็นคนแจ้ง แต่จะมีบุคคลใดไปแจ้งหรือไม่ ไม่ทราบ ทนายจำเลยแถลงหมดคำถาม
ตอบอัยการถามติง
อัยการถามว่า ขณะที่ปิยรัฐฉีกบัตรลงคะแนน จิรวัฒน์ และทรงธรรมฃจะอยู่ด้านในหรือด้านนอกหน่วยออกเสียงจารุวรรณไม่ทราบใช่หรือไม่ จารุวรรณรับว่า ไม่ทราบเนื่องจากขณะนั้นหันหลังให้ทั้งสอง
อัยการถามต่อว่า ขณะเกิดเหตุจิรวัฒน์และทรงธรรมบันทึกภาพอยู่หรือไม่ จารุวรรณตอบว่า ไม่ทราบ อัยการถามว่า การอบรมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในหน่วยออกเสียงมีการอบรมเฉพาะหน่วยของจารุวรรณหรือเขตบางนาทั้งเขต จารุวรรณเบิกความว่า เป็นการอบรมเจ้าหน้าที่ทั้งเขต
อัยการถามว่า ตามกฎหมายที่ทนายจำเลยให้จารุวรรณดูคลิปเหตุการณ์ขณะ ปิยรัฐก่อเหตุและคลิปข่าวนักแสดงไปออกเสียงประชามติ ทั้งสองคลิปเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
จารุวรรณตอบว่า ทั้งสองกรณีถือว่าผิดระเบียบ การเข้าไปถ่ายภาพในหน่วยออกเสียงก่อให้เกิดความวุ่นวาย ส่วนกรณีของจำเลยที่หนึ่งการฉีกบัตรถือว่าผิดกฎหมายและก่อให้เกิดความวุ่นวาย
อัยการแถลงหมดคำถาม
หลังสืบพยานปากที่หนึ่งเสร็จ ศาลสั่งให้นำพยานโจทก์ปากที่สองเข้าสืบต่อทันที
สืบพยานโจทก์ปากที่สอง อมรินทร์ นนทะโคตร ผู้อำนวยการหน่วยออกเสียงนอกเขตจังหวัดที่สาม เขตบางนา
อมรินทร์ เบิกความว่าเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้เพราะได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการหน่วยออกเสียงนอกเขตจังหวัดที่สาม เขตบางนา โดยมีหน้าที่ดูแลอำนวยความสะดวกและประสานงานในหน่วยออกเสียงซึ่งหลังได้รับแต่งตั้งก็ต้องเข้าประชุมเพื่อรับทราบแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่เขตเช่น การตรวจสอบหีบบัตร การนับบัตรออกเสียง
อมรินทร์ อธิบายต่อว่าในวันที่ 7สิงหาคม 2559 รับหน้าที่ดูแลการทำงานหน่วยออกเสียงนอกเขตจังหวัดที่สามในภาพรวมโดยไม่ได้ถูกมอบหมายให้ประจำที่จุดใดจุดหนึ่ง โดยเริ่มตนเริ่มมาปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่เวลาประมาณ 4.00 น. ส่วนหน่วยออกเสียงเริ่มเปิดให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนตั้งแต่เวลา 8.00 น.
อมรินทร์เบิกความว่าหน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัด ซึ่งตั้งอยู่ในสำนักงานเขตบางนา มีทั้งหมดสี่หน่วย โดยการจะเดินมาหน่วยออกเสียงที่สามซึ่งตนปฏิบัติหน้าที่จะต้องเดินผ่านหน่วยที่หนึ่งและสองก่อน
อมรินทร์เบิกความว่าในเวลาประมาณ 12.00 น. ขณะที่ตนยืนอยู่ข้างนุชนภา หนึ่งในพยานโจทก์ซึ่งเป็นกรรมการประจำหน่วยออกเสียงที่กำลังทำหน้าที่ยื่นบัตรลงคะแนนให้กับผู้มาใช้สิทธิ ก็เห็นชายสองคนเดินเลยบอร์ดติดรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ามาแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นทำท่าเหมือนถ่ายภาพหรือวิดีโอ
ในฐานะผู้อำนวยหน่วยอมรินทร์จึงเดินไปหาและบอกว่า ถ่ายไม่ได้ ห้ามถ่าย แต่ชายสองคนซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นจิรวัฒน์ จำเลยที่สองและทรงธรรม จำเลยที่สามในคดีนี้บอกว่า ขอถ่ายรูปเพื่อนตอนที่ใช้สิทธิหน่อย และไม่ยอมถอยออกไป
จารุวรรณซึ่งเป็นประธานหน่วยออกเสียงได้ประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำหน่วยมาช่วยกันตัวออกไป โดยตำรวจนายนั้นเป็นเจ้าหน้าที่อีกนายหนึ่งไม่ใช่ด.ต.สมพรซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำหน่วยออกเสียงที่สาม
อมรินทร์เบิกความต่อว่าระหว่างนั้นมีชายคนหนึ่งซึ่งทราบในเวลาต่อมาว่าคือปิยรัฐ จำเลยที่หนึ่งในคดีนี้เดินอ้อมคูหามายืนด้านหน้าห่างจากหีบบัตรประมาณหนึ่งเมตร พูดว่า "เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ" แล้วฉีกบัตรลงคะแนน
อัมรินทร์เบิกความด้วยว่าตนตกใจกับเหตุการณ์นั้นและจำไม่ได้ว่าจำเลยที่หนึ่งพูดประโยคดังกล่าวก่อนหรือหลังการฉีกบัตร อัมรินทร์เบิกความต่อว่าหลังจำเลยที่หนึ่งฉีกบัตรก็ขยำและปล่อยลงพื้น
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบทำการควบคุมตัวปิยรัฐ พร้อมเก็บบัตรที่ถูกฉีกไปด้วย ส่วนจิรวัฒน์และทรงธรรมยังยืนอยู่ที่บอร์ดรายชื่อและถือโทรศัพท์ในลักษณะถ่ายภาพหรือวิดีโอแต่ทั้งสองจะถูกควบคุมตัวเลยหรือไม่ ตนไม่ทราบ
อมรินทร์เบิกความถึงเหตุการณ์ขณะเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวปิยรัฐว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวปิยรัฐไปนั่งบนเก้าอี้ซึ่งอยู่ในเขตหน่วยออกเสียงที่สาม หลังเกิดเหตุตนไม่ได้ประสานหรือรายงานเหตุไปที่เขตบางนา แต่เขตบางนาได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่มาคอยดูแลอยู่แล้ว
เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉีกบัตรเจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้จารุวรรณ ซึ่งเป็นประธานหน่วยออกเสียงไปร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สำหรับเหตุการณ์หลังจากนั้นมีผู้มาใช้สิทธิตามปกติและมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบมารับตัวปิยรัฐไปส่วนจิรวัฒน์และทรงธรรมจะไปที่ใดตนไม่ทราบ
อมรินทร์เบิกความต่อว่า เหตุการณ์ที่จำเลยที่สองและสามถูกผลักออกไปเป็นเหตุการณ์ที่เกิดต่อเนื่องกับการฉีกบัตรของจำเลยที่หนึ่ง ซึ่งเกิดห่างกันไม่นาน
อัยการถามอมรินทร์ว่าบุคคลใดบ้างที่มีสิทธิเข้าไปในหน่วยออกเสียง อัมรินทร์เบิกความว่ามีกรรมการประจำหน่วย และผู้มีสิทธิออกเสียงในหน่วยนั้นๆ ส่วนบุคคลอื่นไม่มีสิทธิเข้ามา
ในกรณีที่ผู้มีสิทธิมีผู้ติดตามจะต้องให้ผู้ติดตามรออด้านนอกหน่วยออกเสียง อัยการถามอมรินทร์ว่านอกจากนี้มีข้อห้ามอื่นอีกหรือไม่ อมรินทร์เบิกความว่ามีข้อห้ามไม่ให้ถ่ายภาพหรือวิดีโอ อมรินทร์เบิกความด้วยว่าการกระทำของจำเลยที่สามเข้าข่ายเป็นการก่อความวุ่นวายในหน่วยออกเสียง
อัยการให้อมรินทร์ดูบัตรลงคะแนนแล้วถามว่าใช่ของที่ปิยรัฐฉีกในวันเกิดเหตุใช่หรือไม่ อมรินทร์ตอบว่าเป็นบัตรลักษณะเดียวกัน อมรินทร์เบิกความรับกับอัยการว่าตนอยู่ร่วมทำแผนจำลองวันเกิดเหตุด้วย แต่ตำแหน่งที่ระบุในเอกสารดังกล่าวระบุจุดที่จิรวัฒน์และทรงธรรมยืนผิดโดยขณะเกิดเหตุทั้งสองยืนอยู่ที่บอร์ดแล้ว แต่ตามแผนจำลองระบุว่าทั้งสองยืนอยู่ด้านในหน่วยออกเสียง
อมรินทร์ชี้แจงว่าตำแหน่งตามภาพเป็นตำแหน่งที่จำเลยทั้งสองคนเข้ามาขอถ่ายภาพก่อนจะถูกกันตัวไปข้างนอก
อัมรินทร์เบิกความต่อว่า หลังเกิดเหตุตนยังปฏิบัติหน้าที่ต่อตามปกติ หลังนับคะแนนเสร็จจึงได้ไปที่สน.บางนาเพื่อให้ปากคำ
ตอบทนายจำเลยถามค้าน
ทนายจำเลยถามว่าถ้อยคำที่อมรินทร์เบิกความกับพนักงานสอบสวนและที่เบิกความต่อศาลตรงกันหรือไม่ อมรินทร์ตอบว่า ตรงกัน
ทนายจำเลยถามต่อว่า ที่อมรินทร์กล่าวว่า ห้ามถ่ายรูปในหน่วยออกเสียงมีการติดข้อความที่ชัดเจนไว้หรือไม่ อมรินทร์ตอบว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มีคู่มือและมาตราระบุไว้ ซึ่งก่อนวันลงประชามติมีการจัดอบรมว่า กฎหมายให้ทำอะไรได้บ้าง
ทนายจำเลยถามต่อว่า จากการอบรมมาตรา 60 ของพ.ร.บ.ประชามติฯไม่มีข้อห้ามเรื่องการถ่ายภาพใช่หรือไม่ พร้อมทั้งให้อมรินทร์อ่านรายละเอียดในมาตรา 60 ของพ.ร.บ.ประชามติฯ และขอให้ศาลบันทึกว่า มาตรา 60 ไม่มีข้อห้ามการถ่ายรูปในหน่วยออกเสียงและไม่มีข้อห้ามให้บุคคลอื่นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปในหน่วยออกเสียง
ทนายจำเลยขอศาลให้เปิดคลิปวิดีโอเหตุการณ์วันเกิดเหตุแล้วถามอมรินทร์ว่าเป็นภาพเหตุการณ์วันเกิดเหตุใช่หรือไม่
อมรินทร์เบิกความว่าเป็นภาพขณะที่ปิยรัฐกำลังฉีกบัตร และมีตนเองปรากฎในคลิปนี้ด้วยโดยยืนอยู่ตรงบอร์ดรายชื่อและกำลังหันไปไปดูปิยรัฐ แต่ผู้ใช้สิทธิคนอื่นยังใช้สิทธิตามปกติโดยไม่ได้หันมามองเหตุการณ์
อัมรินทร์เบิกความด้วยว่าจากคลิปวิดีโอเห็นทรงธรรมยืนอยู่ด้านข้างบอร์ด ซึ่งอยู่นอกหน่วยออกเสียง อมรินทร์เบิกความต่อว่า ขณะที่ปิยรัฐฉีกบัตร ตนเองยืนหันหลังให้จิรวัฒน์และทรงธรรมและไม่ได้ยินว่าทั้งสองพูดจาหรือตะโกนแต่อย่างใด
ทนายจำเลยถามว่า หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจพาปิยรัฐไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ในหน่วยออกเสียง เห็นหรือไม่ว่าจิรวัฒน์และทรงธรรมอยู่ที่ใด อมรินทร์ตอบว่าไม่ได้สนใจว่าทั้งสองอยู่ที่ใด และไม่ได้คุยกับทั้งสองหรือจารุวรรณซึ่งเป็นประธาน
ทนายจำเลยถามว่าที่อมรินทร์ให้การว่าจิรวัฒน์และทรงธรรมเป็นผู้ถ่ายวิดีโอ อมรินทร์ไม่ได้เห็นเองใช่หรือไม่ อมรินทร์รับว่าไม่ได้เห็นเองแต่ฟังจากคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุบอกมา
ทนายจำเลยถามว่าอมรินทร์พอจะระบุได้หรือไม่ว่ารับฟังมาจากผู้ใด อมรินทร์ตอบว่าผู้ที่บอกตนเป็นกรรมการจากหน่วยออกเสียงอื่น
อมรินทร์ขอศาลเบิกความใหม่ด้วยว่า หลังจากจำเลยที่หนึ่งฉีกบัตรแล้ว มีกรรมการจากหน่วยออกเสียงอื่นบอกว่า มีคนถ่ายคลิป ตนจึงหันไปดูและเห็นจิรวัฒน์และทรงธรรม
ทนายจำเลยถามว่า จากภาพที่ปรากฏในวิดีโอ จิรวัฒน์และทรงธรรมอยู่ด้านนอกหน่วยออกเสียง การถ่ายภาพหรือวิดีโอถือเป็นความผิดหรือไม่ อมรินทร์ตอบว่า การถ่ายรูปนอกเขตหน่วยออกเสียงไม่ถือเป็นความผิด และเบิกความต่อว่า
ตอนที่จิรวัฒน์และทรงธรรมเข้ามาในหน่วยออกเสียงครั้งแรก ไม่แน่ใจว่าทั้งสองได้บันทึกภาพหรือวิดีโอไว้หรือไม่ ทนายจำเลยถามต่อว่าหลังปิยรัฐถูกนำตัวไปที่สน.อมรินทร์ได้ตามไปหรือไม่ อมรินทร์ตอบว่าไม่ได้ไป หลังจากมีการควบคุมตัวปิยรัฐแล้ว อมรินทร์ไม่ได้ตามไป
ทนายจำเลยถามว่าอมรินทร์เป็นผู้แจ้งให้จารุวรรณดำเนินคดีกับจิรวัฒน์และทรงธรรมใช่หรือไม่ อมรินทร์ตอบว่าไม่ใช่และในชั้นสอบสวนตนก็ไม่ได้พูดถึงทั้งสองเลย
ทนายจำเลยถามว่าพนักงานสอบสวนได้ให้อมรินทร์ดูวิดีโอคลิปขณะเกิดเหตุเหมือนที่ทนายจำเลยให้ดูวันนี้หรือไม่ อมรินทร์ตอบว่าพนักงานสอบสวนไม่ได้ให้ดูและไม่เคยเห็นคลิปดังกล่าวสื่อสังคมออนไลน์ รวมทั้งไม่ได้ลงลายมือชื่อรับรองเอกสารที่เป็นภาพนิ่งซึ่งตัดมาจากคลิปวิดีโอขณะเกิดเหตุซึ่งอัยการอ้างส่งศาล ทนายจำเลยแถลงหมดคำถาม
ตอบอัยการถามติง
อัยการถามอมรินทร์ย้ำว่าการกระทำของจิรวัฒน์และทรงธรรมเป็นการก่อความวุ่นวายอย่างไร อมรินทร์ตอบว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ผลักดันทั้งสองออกจากเขตหน่วยออกเสียงก่อนที่ทั้งสองจะอ้อมมาถ่ายภาพ
การกระทำของทั้งสองก่อให้เกิดความวุ่นวายในหน่วยออกเสียง เพียงแค่การที่ทั้งสองเข้ามาก็ถือเป็นการรบกวนแล้ว อมรินทร์เบิกความด้วยว่าการถ่ายรูปไม่ใช่พฤติกรรมที่ควรจะทำในขณะนั้น ซึ่งในทางปฏิบัติ ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ไม่ควรเข้าไปรบกวนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่
อัยการขอให้อมรินทร์อธิบายเพิ่มเติมว่า ที่ยืนยันกับทนายจำเลยว่า การถ่ายภาพนอกหน่วยออกเสียงไม่เป็นความผิด หมายความว่าอย่างไร อมรินทร์ตอบว่าขณะที่ปิยรัฐฉีกบัตร จิรวัฒน์และทรงธรรมจะอยู่ในหน่วยออกเสียงหรือไม่ตนไม่ทราบ แต่ในความเห็นของตน ถ้าหากมีการยื่นส่วนใดส่วนหนึ่งเข้ามาในหน่วยออกเสียง เช่นยื่นแขนเข้ามาในเขตหน่วยออกเสียงเพื่อถ่ายภาพก็ถือเป็นความผิดแล้ว
อัยการแถลงหมดคำถาม การสืบพยานปากนี้เสร็จในเวลาประมาณ 18.30 น.
หลังเสร็จสิ้นการสืบพยานปากนี้ ศาลถามโจทก์ว่าเหลือพยานที่ต้องนำเข้าสืบอีกกี่ปาก อัยการตอบว่าเหลือ 12 ปาก ศาลฝ่ายจำเลยว่าพอจะรับข้อเท็จจริงคำให้การพยานในชั้นสอบสวนบางปากได้หรือไม่เพื่อจะได้ลดจำนวนพยานเป็นการกระชับการพิจารณา
ทนายจำเลยแถลงว่าไม่สามารถรับและติดใจขอถามค้านพยานทุกปาก
ศาลกล่าวต่อว่าวันนัดสืบพยานของโจทก์และจำเลยนัดไว้น้อยเกินไปทำให้ไม่สามารถสืบได้ทันตามนัด และอาจต้องเลื่อนการสืบพยานโจทก์บางปากไปนัดขอจำเลยและต้องไปหาวันนัดสืบพยานฝ่ายจำเลยใหม่ ทำให้การนัดจะไม่เป็นการนัดแบบต่อเนื่อง ซึ่งไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของกระบวนการยุติธรรมในรัฐธรรมนูญ
ทนายจำเลยแถลงต่อศาลว่า ในวันที่ 15 มิถุนายน 2560 พยานจำเลยที่อยู่ต่างจังหวัดได้ซื้อตั๋วเครื่องบินมากรุงเทพเพื่อเข้าเบิกความต่อศาลแล้ว
ศาลถามว่าพยานจำเลยเป็นใคร ทนายจำเลยตอบว่า เป็นอาจารย์นิติศาสตร์จะมาพูดในเรื่องข้อกฎหมาย ศาลตอบว่าถ้ามาให้ความเห็นเรื่องกฎหมายศาลจะไม่รับฟัง เพราะคดีอาญาเป็นคดีที่ต้องพิจารณาตามตัวบทเท่านั้น
ศาลนัดสืบพยานโจทก์ต่อเป็นวันที่สองโดยเริ่มในเวลาประมาณ 9.30 น.
สืบพยานโจทก์ปากที่สาม สุภักตราพรรณ สุวรรณศรี พยานผู้เห็นเหตุการณ์
สุภักตราพรรณเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุรับราชการครูอยู่ที่โรงเรียนศรีเอี่ยมอนุสรณ์เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้เนื่องจากเป็นพยานผู้เห็นเหตุการณ์โดยในวันและเวลาเกิดเหตุปฏิบัติหน้าที่เป็นกรรมการประจำหน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดหน่วยที่สาม เขตบางนา
สุภักตาพรรณเบิกความว่า ตนเองได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการประจำหน่วยออกเสียงประชามติหน่วยที่สาม ซึ่งมีจารุวรรณ พยานโจทก์ปากที่หนึ่งเป็นประธาน
ในคำสั่งแต่งตั้งระบุว่าให้ไปปฏิบัติหน้าที่เป็นกรรมการประจำหน่วยในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 ที่หน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดหน่วยที่สาม เขตบางนา ซึ่งตั้งอยู่ที่สำนักงานเขตบางนา
อัยการถามว่าก่อนการปฏิบัติหน้าที่สุภักตราพรรณต้องเข้ารับการอบรมใดๆหรือไม่ สุภักตราพรรณเบิกความว่า ต้องเข้าประชุมที่สำนักงานเขตบางนาเพื่อกำหนดข้อตกลงในการปฏิบัติงานร่วมกัน
โดยในการประชุมดังกล่าวมีผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นกรรมการประจำหน่วยออกเสียงทั้งหมดในเขตบางนามาประชุมร่วมกัน วันดังกล่าวที่ประชุมมีการแจ้งข้อกำหนดเรื่องห้ามถ่ายภาพด้วย
สุภักตราพรรณเบิกความต่อว่า ในวันเกิดเหตุเดินทางมาถึงหน่วยออกเสียงตั้งแต่ก่อนเวลา 6.00 น.เพื่อเตรียมความพร้อมของหน่วย สุภักตราพรรณเบิกความต่อว่าในบริเวณสำนักงานเขตบางนามีหน่วยออกเสียงประชามติรวมสี่หน่วย คือหน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดที่หนึ่งถึงสี่
การเดินไปหน่วยออกเสียงประชามติที่สามซึ่งเธอปฏิบัติหน้าที่ต้องผ่านหน่วยที่หนึ่งและสองก่อน อัยการถามสุภักตราพรรณว่า ในช่วงเช้าปฏิบัตหน้าที่ตรงจุดใด สุภักตราพรรณเบิกความว่าปฏิบัติหน้าที่ตรงบอร์ดตรวจบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ
อัยการถามต่อว่า ขณะเกิดเหตุปฏิบัติหน้าที่ตรงจุดดังกล่าวหรือไม่ สุภักตราพรรณเบิกความว่า ไม่ใช่เนื่องจากเพื่อนร่วมงานที่มีหน้าที่ตรวจรายชื่อผู้มาใช้สิทธิบริเวณโต๊ะจ่ายบัตรออกไปเข้าห้องน้ำ ตนจึงเข้าไปปฏิบัติหน้าที่บริเวณโต๊ะจ่ายบัตรแทน
อัยการให้สุภักตราพรรณเล่าเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ สุภักตราพรรณเบิกความว่า ในเวลาประมาณ 12.00 น. มีชายคนหนึ่งซึ่งต่อมาทราบว่าเป็นปิยรัฐ จำเลยที่หนึ่งเดินเข้ามาตรวจรายชื่อผู้มีสิทธิเพื่อรับบัตรลงคะแนน
ระหว่างที่ปิยรัฐตรวจรายชื่อเพื่อรับบัตรก็ได้ยินเสียงคนพูดว่า ห้ามถ่ายรูป จึงเงยหน้าขึ้นดูเหตุการณ์ ก็เห็นชายสองคนถือโทรศัพท์ในลักษณะถ่ายภาพหรือวิดีโอ และเห็นจารุวรรณซึ่งเป็นประธานหน่วยออกเสียง อัมรินทร์ ผู้อำนวยการหน่วยออกเสียงที่สาม รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งช่วยกันกันตัวชายทั้งสองคนออกไปที่บริเวณบอร์ดติดรายชื่อผู้มีสิทธิ
สุภักตราพรรณเบิกความต่อว่า เนื่องจากขณะนั้นยังมีผู้มาออกเสียงตามปกติ ตนจึงละสายตาจากเหตุการณ์กลับมาตรวจรายชื่อผู้ใช้สิทธิต่อ
สุภักตราพรรณเบิกความต่อว่า ระหว่างที่ละสายตากลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติก็ได้ยินเสียงปิยรัฐพูดว่า "เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ"
เมื่อได้ยินเสียงจึงเงยหน้าขึ้นดูเห็นปิยรัฐฉีกบัตรและเกิดความชุลมุน และเห็นชายสองคนซึ่งทราบในเวลาต่อมาว่าเป็นจิรวัฒน์ จำเลยที่สองและทรงธรรม จำเลยที่สามยกโทรศัพท์ในลักษณะถ่ายภาพหรือวิดีโอ แต่ไม่แน่ใจว่าทั้งสองยืนอยู่ด้านในหรือด้านนอกหน่วยออกเสียง
ขณะเกิดเหตุแม้จะมีผู้มาใช้สิทธิตามปกติแต่ก็มีเสียงดังและมีประชาชนเงยหน้าดู สุภักตราพรรณเบิกความต่อว่าหลังเกิดเหตุจารุวรรณซึ่งเป็นประธานต้องไปให้ปากคำที่สน.บางนา แต่ตนเองยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่หน่วยออกเสียง
สุภักตราพรรณเบิกความต่อว่า หลังปิดหีบมีเพื่อนร่วมงานที่โรงเรียนส่งคลิปวิดีโอขณะเกิดเหตุมาให้ทางไลน์ อัยการขออนุญาตศาลเปิดคลิปขณะเกิดเหตุให้สุภักตราพรรณดูแล้วถามว่าเป็นคลิปขณะเกิดเหตุใช่หรือไม่ สุภักตราพรรณรับว่าใช่
อัยการถามสุภักตราพรรณว่า หลังปิดหีบไปที่ไหนต่อ สุภักตราพรรณตอบว่าไปให้ปากคำที่สน.บางนาร่วมกับเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยออกเสียงคนอื่นๆ
อัยการแถลงหมดคำถาม
ตอบทนายจำเลยถามค้าน
ทนายจำเลยถามว่า สุภักตราพรรณเคยเป็นเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยออกเสียงประชามติ หรือหน่วยเลือกตั้งมาก่อนหรือไม่ สุภักตราพรรณรับว่า เคยแต่จำไม่ได้ว่าเป็นการลงประชามติหรือการเลือกตั้งครั้งใด
ทนายจำเลยถามต่อว่า การห้ามถ่ายภาพในหน่วยออกเสียงเป็นข้อตกลงที่แจ้งในการอบรมกรรมการหน่วยออกเสียงที่โรงเรียนพาณิชย์บางนาใช่หรือไม่ สุภักตราพรรณรับว่าใช่
ทนายจำเลยถามสุภักตราพรรณต่อว่า ในหน่วยออกเสียงมีการติดป้ายห้ามทำการอย่างหนึ่งอย่างใดหรือมีข้อความว่าห้ามถ่ายภาพหรือไม่ สุภักตราพรรณรับว่า ไม่มี
ทนายจำเลยถามว่า ลักษณะการติดรายชื่อผู้มีสิทธิเป็นการติดบอร์ดที่อยู่ด้านในหน่วยออกเสียง และผู้มีสิทธิต้องเดินเข้ามาในหน่วยออกเสียงเพื่อตรวจดูใช่หรือไม่ สุภัคตราพรรณรับว่าใช่
ทนายจำเลยให้สุภักตราพรรณดูเอกสารที่เป็นบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติซึ่งจัดทำโดยกกต.แล้วถามว่าเอกสารนี้เป็นเอกสารที่กกต.จัดทำซึ่งระบุว่าทรงธรรม มีสิทธิออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดที่เขตบางนาใช่หรือไม่ สุภักตราพรรณตอบว่า ไม่ทราบว่า ทรงธรรม เป็นผู้มีสิทธิออกเสียงในหน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดที่หนึ่งถึงสี่นี้หรือไม่
ทนายจำเลยถามสุภักตราพรรณว่า ช่วงเวลา 12.00 น. สุภักตราพรรณปฏิบัติหน้าที่ประจำจุดใด สุภักตราพรรณตอบว่า ตนประจำอยู่บริเวณบอร์ดรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติประจำหน่วยที่สาม ซึ่งบริเวณดังกล่าวแม้จะอยู่ด้านในหน่วยออกเสียงประชามติแต่ประชาชนสามารถเข้ามาตรวจสอบรายชื่อได้ แต่ก็ไม่ทราบว่า ทรงธรรม ได้เข้ามาตรวจสอบรายชื่อหรือไม่
ทนายจำเลยให้สุภักตราพรรณดูคลิปเหตุการณ์ขณะปิยรัฐฉีกบัตรซึ่งตอนท้ายปรากฎภาพชายคล้ายทรงธรรมอยู่ในคลิปและถามว่าตามภาพชายคนดังกล่าวอยู่ด้านในหรือด้านนอกบอร์ดป้ายชื่อ สุภักตราพรรณตอบว่าตามภาพเข้าใจว่าอยู่ด้านนอกบอร์ด
ทนายจำเลยถามต่อว่า การถ่ายภาพตามคลิปเกิดขึ้นนอกบอร์ดจึงถือว่าทำได้ใช่หรือไม่ สุภักตราพรรณตอบว่าการถ่ายภาพการออกเสียงประชามติทำไม่ได้ไม่ว่าจะถ่ายด้านในหรือด้านนอกหน่วยออกเสียง
ทนายจำเลยถามว่า ตามคลิปวิดีโอการออกเสียงประชามติยังคงดำเนินไปอย่างปกติมีภาพประชาชนกำลังตรวจสอบรายชื่อใช่หรือไม่ สุภักตราพรรณรับว่า ใช่ แต่ก็มีเสียงคนตะโกนห้ามซึ่งถือเป็นความวุ่นวาย ทนายจำเลยถามว่า ตามคลิปแม้ขณะเกิดเหตุก็ปรากฎว่ามีประชาชนตรวจรายชื่อเพื่อใช้สิทธิตามปกติ สุภักตราพรรณรับว่า ใช่
ทนายจำเลยถามว่าที่มาปฏิบัติหน้าที่เป็นกรรมการประจำหน่วยออกเสียงประชามติ สุภักตราพรรณเคยรู้จักหรือได้ยินชื่อสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้งหรือไม่ สุภักตราพรรณตอบว่าทราบว่าสมชัยอยู่ในคณะกรรรมการการเลือกตั้งแต่ไม่ทราบว่าดำรงตำแหน่งใด
ทนายจำเลยถามต่อว่าที่สุภักตราพรรณเบิกความว่า เคยเข้ารับการอบรมก่อนปฏิบัติหน้าที่ ในวันที่มีการอบรมดังกล่าวสมชัยมาอบรมให้หรือไม่และมีการแจกเอกสารประกอบใดๆหรือไม่ สุภักตราพรรณเบิกความว่าสมชัยไม่ได้มาอบรมให้พวกตนและไม่มีการแจกเอกสารใดๆ
ทนายจำเลยแถลงหมดคำถาม
ตอบอัยการถามติง
อัยการถามว่า ที่สุภักตราพรรณเบิกความว่าขณะเกิดเหตุกำลังตรวจรายชื่อผู้มาใช้สิทธิ สุภักตราพรรณเห็นเหตุการณ์ได้อย่างไร สุภักตราพรรณตอบว่าเห็นเพราะทำงานไปด้วยเหลือบดูเหตุการณ์ไปด้วย
อัยการถามว่าที่ตอบว่า ทนายจำเลยว่าประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามาดูรายชื่อที่บอร์ดบัญชีรายชื่อได้ ประชาชนทั่วไปที่ว่าหมายถึงใคร สุภักตราพรรณตอบว่าหมายถึงผู้มีสิทธิออกเสียง
อัยการถามว่า ทราบหรือไม่ว่าเหตุดังที่ประชุมจึงกำหนดกติกาห้ามการถ่ายรูป สุภักตราพรรณตอบว่าเข้าใจว่าเป็นไปเพื่อความสะดวกและความเรียบร้อยในการออกเสียงประชามติและเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย
อัยการแถลงหมดคำถาม หลังสืบพยานปากนี้เสร็จศาลใฟ้นำพยานปากต่อไปเข้าสืบต่อทันที
สืบพยานโจทก์ปากที่สี่ สุกานต์ดา ขนุนทอง พยานผู้เห็นเหตุการณ์
สุกานต์ดาเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุรับราชการครูอยู่ที่โรงเรียนศรีเอี่ยมอนุสรณ์ โดยเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้เนื่องจากได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการประจำหน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดหน่วยที่สาม เขตบางนา โดยหน่วยดังกล่าวมีจารุวรรณ พยานโจทก์ปากที่หนึ่งเป็นประธาน
สุกานต์ดาเบิกความว่า ผู้ที่มาปฏิบัติหน้าที่เป็นกรรมการประจำหน่วยของเขตบางนารวมทั้งตนเองต้องเข้ารับการอบรม โดยเนื้อหาในการอบรมได้แก่ระยะเวลาและขั้นตอนการปฏิบัติงาน สุกานต์ดาเบิกความว่าในหน่วยออกเสียงประชามติที่สาม ตนรับหน้าที่เป็นผู้ปั้มลายนิ้วมือผู้มีสิทธิ
ในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ ตนเดินทางมาที่หน่วยออกเสียงตั้งแต่ก่อนหกโมง เพื่อมาจัดสถานที่และทบทวนความพร้อมรอบสุดท้าย
สุกานต์เบิกความต่อว่าหน่วยออกเสียงเปิดให้ประชาชนใช้สิทธิระหว่างเวลา 8.00 – 16.00 โดยกรรมการประจำหน่วยที่ทำหน้าทีทำหน้าที่บริเวณโต๊ะตรวจลายนิวเมือ ลงชื่อ หรือจ่ายบัตร สามารถสลับหน้าที่กันได้ในกรณีที่เจ้าหน้าที่บางคนไปทำธุระส่วนตัว
สุกานต์ดาเบิกความว่าตั้งแต่เช้าเหตุการณ์ที่หน่วยออกเสียงเป็นไปอย่างปกติ จนกระทั่งช่วงเที่ยงมีชายคนหนึ่งซึ่งทราบทีหลังว่าเป็นปิยรัฐ จำเลยที่หนึ่งเดินเข้ามาตรวจรายชื่อรับบัตรตามปกติ ขณะนั้นมีเสียงคนพูดว่า "ห้ามถ่ายรูป" แต่ไม่ทราบว่าเป็นเสียงใคร
จากนั้นจึงเห็นว่ามีการกันตัวคนที่ยืนทำท่าเหมือนถ่ายภาพแต่ไม่ทราบว่าใครเป็นคนกัน เห็นแต่เพียงว่ากันไปที่บอร์ด หลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงเห็นปิยรัฐที่พึ่งมารับบัตรก่อนหน้านี้เดินมาที่หน้าหีบแล้วพูดขึ้นมาว่า "เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ"
สุกานต์ดาเบิกความว่าระหว่างที่ได้ยินเสียงยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่แต่ก็ชำเลืองมองและเห็นเหตุการณ์วุ่นวาย เห็นคนใช้โทรศัพท์ถ่ายภาพและมีเจ้าหน้าที่กันตัวออกไป รวมทั้งเห็นปิยรัฐถูกเจ้าหน้าที่คุมตัวไปนั่งที่เก้าอี้
อัยการย้อนถามว่า ที่สุกานต์ดาเบิกความว่าเห็นคนทำท่าเหมือนถ่ายภาพ เข้าใจว่าทั้งสองบันทึกภาพไว้ตลอดเลยหรือไม่ สุกานต์ดาเบิกความว่าเข้าใจว่าน่าจะถ่ายไว้ตลอด
อัยการถามต่อว่าการถ่ายภาพถือว่าผิดระเบียบหรือไม่ สุกานต์ดาตอบว่าเป็นการผิดกฎหมาย การถ่ายภาพทำให้เกิดความวุ่นวาย เป็นอุปสรรคเพราะทำให้คนไม่สามารถมาใช้สิทธิได้โดยสะดวก
อัยการถามว่าหลังเกิดเหตุเห็นชายสองคนที่ถ่ายภาพหรือไม่ สุกานต์ดาตอบว่าเห็นว่าเจ้าหน้าที่กันตัวไปแต่หลังจากนั้นจะถูกพาตัวไปไหนไม่ทราบ
อัยการถามว่าสุกานต์ดาเคยไปให้การที่ไหนอย่างไร สุกานต์ดาตอบว่าเคยถูกเชิญไปที่สน.บางนาเพื่อให้การหลังนับคะแนนเสร็จเรียบร้อย
อัยการย้อนถามว่าชายสองคนที่สุกานต์ดาเห็นว่าถ่ายภาพ ขณะถ่ายยืนอยู่จุดใด สุการต์ดาตอบว่าเห็นว่าเข้ามาในหน่วยออกเสียงบริเวณใกล้โต๊ะกรรมการ สำหรับคลิปภาพเหตุการณ์วันเกิดเหตุ สุการต์ดาเบิกความว่าได้ดูในวันเกิดเหตุหลังนับคะแนนโดยมีเพื่อนครูที่โรงเรียนส่งมาให้ดู
อัยการถามว่าบุคคลใดบ้างที่สามารถเข้ามาในหน่วยออกเสียงได้ สุการต์ดาตอบว่ามีเพียงกรรมการ เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยและผู้มีสิทธิออกเสียงในหน่วยเท่านั้น ผู้ติดตามไม่สามารถเข้ามาในหน่วยได้แต่จะมีเก้าอี้ให้นั่งรอนอกหน่วยออกเสียง อัยการแถลงหมดคำถาม
ตอบทนายจำเลยถามค้าน
ทนายจำเลยเปิดคลิปดาราคนหนึ่งไปลงคะแนนให้สุกานต์ดาดูแล้วถามว่า ลักษณะการจัดหน่วยออกเสียงในคลิป เหมือนลักษณะการจัดเหมือนหน่วยออกเสียงที่สุกานต์ดารับผิดชอบที่เขตบางนาหรือไม่ สุกานต์ดารับว่าเหมือน ทนายจำเลยต่อว่าคลิปดังกล่าวปรากฎภาพอะไร สุกานต์ดาตอบว่ามีภาพนักแสดงคนหนึ่งเข้ามาตรวจรายชื่อเพื่อใช้สิทธิเหมือนบุคคลอื่น
ทนายถามต่อว่าตามคลิปดังกล่าวปรากฎว่ามีเจ้าหน้าที่ในหน่วยใช้โทรศัพท์บันทึกภาพดาราที่มาออกเสียงใช่หรือไม่ สุกานต์ดารับว่าใช่และกล่าวต่อว่าเท่าที่ตนเองได้รับการอบรม การถ่ายภาพในหน่วยออกเสียงทำไม่ได้
ทนายจำเลยถามต่อว่าผู้มาทำการอบรมให้สุกานต์ดากับผู้ปฏิบัติงานคนอื่นเป็นเจ้าหน้าที่กกต.หรือเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตบางนา สุกานต์ดาตอบว่าเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตบางนา
ทนายจำเลยถามว่าสุกานต์ดาเคยได้ยินชื่อสมชัย ศรัสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้งหรือไม่ สุการต์ดาตอบว่าเคยได้ยินชื่อสมชัยและทราบว่าเป็นกรรมการการเลือกตั้ง
ทนายจำเลยถามต่อว่าสุกานต์ดาทราบเรื่องที่สมชัยเคยบอกว่าการถ่ายภาพการออกเสียงประชามติสามารถทำได้หรือไม่ สุกานต์ดาตอบว่าไม่ทราบว่าสมชัยเคยออกมาพูดเรื่องนี้ และไม่ทราบว่าหน่วยออกเสียงอื่นจะมีแนวปฏิบัติอย่างไร ทราบแค่ว่าตามที่ตนได้รับการอบรมไม่สามารถทำได้
ทนายจำเลยเปิดคลิปวิดีโอเหตุการณ์ขณะที่ปิยรัฐฉีกบัตรแล้วถามสุกานต์ดาว่า ตามคลิปวิดีโอขณะเกิดเหตุมีผู้มาตรวจรายชื่อเพื่อใช้สิทธิตามปกติใช่หรือไม่ สุกานต์ดารับว่าใช่
ทนายจำเลยถามต่อว่าขณะเกิดเหตุสุกานต์ดายังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติใช่หรือไม่ สุกานต์ดารับว่าได้ยินเสียงของปิยรัฐแต่ตนเองยังปฏิบัติหน้าที่อยู่
ทนายจำเลยถามต่อว่าหากดูจากคลิปไม่ปรากฎว่ามีคนมามุงดูและที่ปรากฎภาพชายคล้ายจำเลยที่สามในคลิป ตำแหน่งที่ชายคนดังกล่าวยืนก็น่าจะอยู่นอกหน่วยออกเสียงใช่หรือไม่ สุกานต์ดารับว่าใช่
ทนายจำเลยถามต่อว่าตามที่ได้รับการอบรมมา การถ่ายภาพหากถ่ายจากนอกเขตหน่วยออกเสียงสามารถทำได้หรือไม่ สุกานต์ดารับว่าสามารถทำได้
ทนายจำเลยถามสุกานต์ดาว่าขณะที่ได้ยินเสียงห้ามถ่ายภาพปิยรัฐอยู่ตรงไหน สุกานต์ดาตอบว่าตอนนั้นปิยรัฐกำลังตรวจรายชื่อที่โต๊ะแต่ยังไม่ได้ปั้มลายนิ้วมือ
ทนายจำเลยถามว่าขณะที่เจ้าหน้าที่ห้ามชายสองคนคือจิรวัฒน์จำเลยที่สองและทรงธรรมจำเลยที่สามถ่ายภาพ ทั้งสองมีอาการขัดขืนเจ้าหน้าที่หรือไม่ สุกานต์ดาตอบว่าทั้งสองไม่มีการขัดขืนส่วนระหว่างนั้นทั้งสองจะถ่ายเหตุการณ์หรือไม่นั้นไม่ทราบ
ทนายจำเลยถามสุกานต์ดาว่าหลังปิยรัฐก่อเหตุ เจ้าหน้าที่ดำเนินการควบคุมตัวอย่างไร สุกานต์ดาตอบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวปิยรัฐไปนั่งที่เก้าอี้บริเวณบอร์ดรายชื่อผู้มีสิทธิซึ่งอยู่ในหน่วยออกเสียง แต่นั่งตรงนั้นเพียงคู่เดียวก็พาตัวออกไปนอกหน่วยออกเสียง
ส่วนปิยรัฐกับเจ้าหน้าที่จะพูดอะไรกันไม่ทราบเพราะตนยังปฏิบัติหน้าที่ต่อ เช่นเดียวกับกรรมการประจำหน่วยคนอื่นๆที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
ทนายจำเลยถามสุกานต์ดาว่า รายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงติดอยู่ด้านในหรือด้านนอกหน่วยออกเสียง สุกานต์ดาตอบว่าอยู่ด้านในหน่วย ทนายจำเลยแถลงหมดคำถาม
ตอบอัยการถามติง
อัยการถามสุกานต์ดาว่า ที่ทนายจำเลยให้ดูคลิปดาราไปลงคะแนน แล้วมีคนถ่ายภาพในหน่วยออกเสียง ตามที่สุกานต์ดาได้รับการอบรมมาสามารถทำได้หรือไม่ สุกานต์ดาตอบว่าทำไม่ได้
อัยการถามว่าถ้าเปรียบเทียบเหตุการณ์ระหว่างคลิปนักแสดงมาใช้สิทธิ กับเหตุในคดีนี้มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร สุกานต์ดาตอบว่าเหตุการณ์ในคลิปดารามาใช้สิทธิไม่มีการฉีกบัตรลงคะแนน ทนายจำเลยค้านอัยการว่าประเด็นนี้ไม่ได้ถามค้านไว้ ศาลจึงไม่บันทึกคำถามนี้
อัยการถามสุกานต์ดาว่าที่ตอบทนายจำเลยว่าในคลิปวิดีโอขณะเกิดเหตุไม่มีประชาชนมามุงดู สุกานต์ดาเห็นหรือไม่ว่าในมุมอื่น บริเวณอื่นหรือด้านหลังกล้องมีคนดูเหตุการณ์นี้หรือไม่ สุกานต์ดาเบิกความว่าด้านหลังกล้องมีประชาชนบางส่วนหันมองเหตุการณ์
อัยการถามว่าตอนที่จิรวัฒน์และทรงธรรมบันทึกภาพเหตุการณ์ ทั้งสองยืนอยู่ด้านในหรือด้านนอกหน่วย สุกานต์ดาตอบว่าขณะนั้นไม่ได้สังเกตว่าทั้งสองยืนอยู่ด้านในหรือด้านนอกหน่วยออกเสียง เห็นแต่เพียงว่ามีคนถือโทรศัพท์ทำท่าเหมือนกำลังถ่ายเหตุการณ์ขณะที่ปิยรัฐกำลังฉีกบัตรลงคะแนน อัยการแถลงหมดคำถาม
การสืบพยานปากนี้เสร็จในเวลาประมาณ 12.00 น. ศาลจึงสั่งพักการพิจารณาและสืบพยานปากต่อไปในช่วงบ่ายโดยเริ่มการพิจารณาในเวลาประมาณ 14.00 น.
สืบพยานจำเลยปากที่ห้า นุชนภา ตุนชัยภูมิ พยานผู้เห็นเหตุการณ์
นุชนภาเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุรับราชการครูที่โรงเรียนศรีเอี่ยมอนุสรณ์ เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีเนื่องจากได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการประจำหน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดที่สาม เขตบางนา โดยในคำสั่งแต่งตั้งระบุให้มาปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 7 สิงหาคม 2559
อัยการถามนุชนภาว่า ก่อนวันเกิดเหตุต้องเข้ารับการอบรมใดๆหรือไม่ นุชนภาเบิกความได้เข้ารับการอบรมเรื่องการใช้สิทธิและระเบียบการปฏิบัติงานของกกต.
อัยการถามว่าในที่ประชุมมีการชี้แจงข้อห้ามเรื่องใดหรือไม่ นุชนภาตอบว่า มีข้อห้ามเรื่องการถ่ายรูปและการบันทึกเสียงเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย
นุชนภาเบิกความต่อว่า หลังการอบรมมีการแบ่งหน้าที่ระหว่างกรรมการที่ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดหน่วยที่สาม โดยตนเองรับหน้าที่เป็นผู้พับและจ่ายบัตรออกเสียงให้ผู้มาใช้สิทธิ
อัยการถามว่า กรรมการที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำโต๊ะตรวจรายชื่อ พิมพ์ลายนิ้วมือ พับบัตรและจ่ายบัตร สามารถสลับหน้าที่กันได้ใช่หรือไม่ นุชนภาตอบว่ากรรมการที่ทำหน้าที่ประจำโต๊ะสามารถสลับหน้าที่กันได้หากมีเจ้าหน้าที่คนใดไปห้องน้ำหรือทำธุระส่วนตัว
อัยการถามนุชนภาว่าวันที่ 7 สิงหาคม 2559 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุมาถึงที่เกิดเหตุกี่โมง นุชนภาตอบว่ามาถึงในเวลาประมาณ 6.00 น.เพื่อมาจัดสถานที่ นุชนภาเบิกความต่อว่า การออกเสียงประชามติในวันเกิดเหตุเปิดให้ประชาชนมาใช้สิทธิระหว่างเวลา 8.00 – 16.00 น. โดยตั้งแต่ช่วงเช้าถึงเที่ยงเหตุการณ์ในหน่วยเป็นไปอย่างปกติ
นุชนภาเบิกความว่าช่วงเวลาประมาณ 12.00 น. มีชายคนหนึ่งซึ่งต่อมาทราบว่าเป็น ปิยรัฐ จำเลยที่หนึ่งเข้ามาตรวจรายชื่อเหมือนผู้ใช้สิทธิทั่วไป ระหว่างที่ปิยรัฐตรวจรายชื่อมีเสียงคนพูดว่า "ไม่ให้ถ่ายรูป" ดังขึ้น จึงเงยหน้าขึ้นมองเห็นชายสองคนถือโทรศัพท์ในลักษณะถ่ายภาพหรือวิดีโอ และเห็นคนเดินไปกันคนทั้งสองออกไป
นุชนภาเบิกความต่อว่าเหตุการณ์ในขณะนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตนเห็น ปิยรัฐ เดินไปทางคูหาลงคะแนนและเดินออกมาแต่ไม่ทราบว่า ปิยรัฐได้ลงคะแนนหรือไม่ จากนั้นปิยรัฐก้าวเลยหีบบัตรลงคะแนนแล้วพูดว่า "เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ" จากนั้นจึงฉีกบัตรลงคะแนน
อัยการถามนุชนภาว่าขณะที่ ปิยรัฐฉีกบัตร ชายสองคนที่ถือโทรศัพท์ในลักษณะถ่ายภาพหรือวิดีโอยืนถ่ายจากด้านนอกหรือด้านในหน่วยออกเสียง นุชนภาเบิกความว่าทั้ งสองยืนอยู่บริเวณบอร์ดรายชื่อ แต่ไม่ทราบว่ายืนอยู่ด้านในหรือด้านนอกหน่วยออกเสียง นุชนภาเบิกความเสริมว่า ขณะนั้นไม่ได้ลุกขึ้นดูเพราะมีคนอื่นมาใช้สิทธิ
อัยการถามว่า นุชนภาเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุยังปฏิบัติหน้าที่อยู่และเหตุการณ์ทั้งหมดก็เกิดขึ้นในเวลาอย่างรวดเร็ว แล้วนุชนภาเห็นเหตุการณ์ทันได้อย่างไร นุชนภาตอบว่า เห็นเหตุการณ์เพราะขณะเกิดเหตุผู้มาใช้สิทธิยังอยู่ระหว่างตรวจรายชื่อที่โต๊ะยังมาไม่ถึงจุดที่ตนเองปฏิบัติหน้าที่อยู่ จึงเห็นเหตุการณ์
อัยการถามว่า เมื่อปิยรัฐฉีกบัตรแล้วเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น นุชนภาตอบว่าทีตำรวจคนหนึ่งพาปิยรัฐไปนั่งที่เก้าอี้ หลังจากนั้นก็เห็นตำรวจพาปิยรัฐออกไปนอกหน่วยออกเสียง นุชนภาเบิกความด้วยว่า ขณะเกิดเหตุมีคนมาใช้สิทธิไม่มาก ตนจึงเห็นเหตุการณ์
อัยการถามนุชนภาว่าผู้ใดบ้างที่มีสิทธิเข้าไปบริเวณหน่วยออกเสียง นุชนภาตอบว่าผู้มีสิทธิเข้ามาในหน่วยได้แก่กรรมการประจำหน่วย และผู้มีสิทธิออกเสียงที่หน่วย อัยการถามว่าหากผู้มาใช้สิทธิมีผู้ติดตาม ผู้ติดตามสามารถเข้ามาได้หรือไม่ นุชนภาตอบว่าเข้ามาไม่ได้ต้องนั่งรอที่หน้าหน่วย
อัยการถามว่าทราบหรือไม่ว่าจิรวัฒน์จำเลยที่สองและทรงธรรมจำเลยสามซึ่งเป็นคนที่ถือกล้องในลักษณะถ่ายภาพ เป็นผู้มีสิทธิออกเสียงในหน่วยที่สามหรือไม่ นุชนภาตอบว่าไม่ทราบ
อัยการถามว่าการขอใช้สิทธินอกเขตต้องลงชื่อล่วงหน้าหรือไม่และมีขั้นตอนการลงทะเบียนอย่างไร นุชนภาตอบว่าต้องมีการลงทะเบียนล่วงหน้าแต่ขั้นตอนการลงทะเบียนจะเป็นอย่างไรไม่ทราบ
อัยการถามว่าทราบหรือไม่ว่าบัตรออกเสียงที่ ปิยรัฐ จำเลยที่หนึ่งฉีกอยู่ที่ไหน นุชนภาตอบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้เก็บไป อัยการถามว่าหลังเกิดเหตุได้ไปให้การที่ไหนอย่างไร นุชนภาตอบว่าไปให้ปากคำที่สน.บางนา
นุชนภาเบิกความด้วยว่าหลังปิดหีบก่อนที่จะมาให้การที่สน. บางนามีเพื่อนนำคลิปขณะเกิดเหตุมาให้ดู นุชนภายืนยันด้วยว่าหลักฐานที่คัดลอกมาจากคลิปวิดีโอขณะเกิดเหตุเป็นภาพในวันเกิดเหตุและภาพจำลองเหตุการณ์วันเกิดเหตุเป็นภาพจริง แต่จำไม่ได้ว่าการทำเหตุการณ์จำลองจัดทำในวันใด อัยการแถลงหมดคำถาม
ตอบทนายจำเลยถามค้าน
ทนายจำเลยถามว่า นุชนภาทราบหรือไม่ว่าวันเกิดเหตุปฏิบัติหน้าที่ในนามคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นุชนภาตอบว่าทราบ
ทนายจำเลยขอศาลเปิดคลิปวิดีโอรายการซึ่งสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้งให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนจากนั้นถามนุชนภาว่า ในคลิปวิดีโอคือสมชัยใช่หรือไม่ นุชนภารับว่า ใช่
ทนายจำเลยถามว่านุชนภาทราบหรือไม่ว่าสมชัยดำรงตำแห่งใดในคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นุชนภาตอบว่า ไม่ทราบ
นุชนภายืนยันว่าตามคลิปที่ทนายจำเลยเปิดให้ดู สมชัยพูดว่าในหน่วยออกเสียงจะมีการใช้เส้นพลาสติกสีเหลืองกั้นเขตและตามคลิปดังกล่าวด้านนอกเส้นสีเหลืองถือว่าอยู่นอกเขตหน่วยออกเสียงสามารถถ่ายภาพได้
ทนายจำเลยถามว่า ระหว่างที่ปิยรัฐตรวจรายชื่อได้ยินเสียงจิรวัฒน์และทรงธรรม ถามเจ้าหน้าที่ว่า "ขอถามรูปเพื่อนได้ไหม" หรือไม่ นุชนภาตอบว่า ไม่ได้ยินเสียงคนขออนุญาตถ่ายภาพ ได้ยินแต่เสียงเจ้าหน้าที่พูดว่าทำนองว่า "ถ่ายภาพไม่ได้" และได้ยินเสียงจิรวัฒน์และทรงธรรมพูดว่าขอถ่ายภาพเพื่อน
ทนายจำเลยถามว่า เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งว่าห้ามถ่ายภาพจิรวัฒน์และทรงธรรมที่ทำท่าเหมือนถ่ายภาพมีท่าทางขัดขืนเจ้าหน้าที่หรือไม่ นุชนภาตอบว่า ไม่มีการขัดขืน
ทนายจำเลยถามว่า นุชนภาเคยเห็นคลิปวิดีโอวันเกิดเหตุที่มีการถ่ายตั้งแต่ตอนปิยรัฐ เข้ามาตรวจรายชื่อที่หน่วยออกเสียงที่สามหรือไม่ นุชนภาตอบว่าไม่เคยดูคลิปที่มีภาพตั้งแต่ปิยรัฐเข้ามาตรวจรายชื่อ
ทนายจำเลยถามรายชื่อผู้มีสิทธิติดบนบอร์ดด้านไหน ด้านที่หันหน้าเข้าหีบบัตรออกเสียงหรือด้านนอก นุชนภารับว่าติดอยู่ด้านในหน่วยออกเสียง หันหน้าเข้าหาหีบบัตร
ทนายจำเลยถามว่าเมื่อรายชื่อติดอยู่ด้านใน ประชาชนก็สามารถเดินเข้ามาตรวจรายชื่อได้ใช่หรือไม่ นุชนภารับว่า ได้ ทนายจำเลยถามต่อว่า ทราบหรือไม่ว่าจิรวัฒน์ หรือทรงธรรมเป็นผู้มีสิทธิในหน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตที่สามหรือไม่ นุชนภาตอบว่า ไม่ทราบ
ทนายจำเลยนำเอกสารแสดงว่าจำเลยที่สามเป็นผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติที่หน่อยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดที่เขตบางนามาให้นุชนภาดู นุชนภาตอบว่าตามเอกสารทรงธรรมเป็นผู้มีสิทธิออกเสียงที่หน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดที่เขตบางนา ทนายจำเลยถามต่อว่าทรงธรรมจึงมีสิทธิเข้ามาตรวจสอบรายชื่อได้ใช่หรือไม่ นุชนภารับว่า ใช่
ทนายจำเลยให้นุชนภาดูคลิปเหตุการณ์แล้วถามว่า ตามคลิปมีเพียงตำรวจเข้าไปห้ามปิยรัฐ ส่วนจิรวัฒน์และทรงธรรมยืนถ่ายคลิปอยู่ด้านนอกบอร์ดและไม่ปรากฎว่ามีเจ้าหน้าที่เข้ามาห้ามขณะมีการบันทึกคลิปวิดีโอใช่หรือไม่ นุชนภารับว่าใช่
ทนายจำเลยถามว่าขณะมีเสียงตะโกนด่าทอหรือไม่ นุชนภาตอบว่า ไม่มี แต่มีคนชะงักดูเหตุการณ์ รวมทั้งมีคนในหน่วยออกเสียงที่สองและสี่หันมาดูเหตุการณ์
นุชนภาเบิกความเพิ่มเติมว่า ภาพคนหันมองเหตุการณ์ไม่ได้อยู่ในมุมกล้องวิดีโอ และเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุการออกเสียงยังดำเนินไปตามปกติ ทนายจำเลยแถลงหมดคำถาม
ตอบอัยการถามติง
อัยการถามว่า ที่ทนายจำเลยให้ดูคลิปที่สมชัยให้ข้อมูลกับสื่อ นุชนภาทราบหรือไม่ว่าคลิปดังกล่าวเผยแพร่ในการออกเสียงครั้งใด ออกอากาศในวันที่เท่าไหร่ และเคยดูคลิปดังกล่าวหรือไม่ นุชนภาตอบว่า ไม่ทราบและไม่เคยดู
อัยการถามว่านุชนภาทราบหรือไม่ว่าเส้นพลาสติกสีเหลืองเป็นเส้นที่กั้นเขต นุชนภาตอบว่า ไม่ทราบเรื่องดังกล่าว ทราบแต่เพียงว่าห้ามถ่ายภาพภายในหน่วยออกเสียง
อัยการถามว่า ในการอบรมเจ้าหน้าที่ผู้ทำการอบรมพูดเรื่องแนวกั้นเขตที่อนุญาตให้ถ่ายภาพตามที่สมชัยพูดหรือไม่ นุชนภาตอบว่า ไม่มี
อัยการถามว่า ทราบหรือไม่ว่าสมชัยให้ข้อมูลกับสื่อก่อนหรือหลังเกิดเหตุคดีนี้ นุชนภาตอบว่า ไม่ทราบ อัยการถามว่าเอกสารที่ทนายจำเลยให้ดูที่ระบุว่า ทรงธรรมมีสิทธิออกเสียงในหน่วยออกเสียงประชามตินอกเขต นุชนภาเคยเห็นมาก่อนหรือไม่ นุชนภาตอบว่า ไม่เคยเห็น
อัยการถามว่า ที่ทนายจำเลยถามว่าได้ยินจิรวัฒน์หรือทรงธรรมพูดว่าขอถ่ายภาพเพื่อน เป็นการพูดก่อนหรือหลังเจ้าหน้าที่ห้ามถ่ายภาพ นุชนภาตอบว่าได้ยินเจ้าหน้าที่พูดว่าห้ามถ่ายก่อน อัยการแถลงหมดคำถาม
หลังสืบพยานปากนี้เสร็จศาลให้อัยการนำพยานปากต่อไปเข้าสืบต่อทันที
สืบพยานโจทก์ปากที่หก ศรัณย์ ปรีชา ผู้จัดการแผนกส่วนงานกฎหมาย บริษัท แอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส จำกัด
ศรัณย์เบิกความขณะเกิดเหตุประกอบอาชีพรับจ้างเป็นผู้จัดการแผนกส่วนงานกฎหมาย ที่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส จำกัด (เอไอเอส)
เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมาขอข้อมูลการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นของจำเลยในคดีนี้
อัยการขอให้ศรัณย์เล่าเหตุการณ์ที่มีเจ้าหน้าที่มาประสานงานขอข้อมูล ศรัณย์เบิกความว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางนาทำหนังสือมาถึงเอไอเอส ขอข้อมูลการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลงทะเบียนในเครือข่ายเอไอเอสจำนวนสามหมายเลขได้แก่
หมายเลขที่จดทะเบียนในชื่อของปิยรัฐ จำเลยที่หนึ่ง, จิรวัฒน์ จำเลยที่สองและทรงธรรม ทรงธรรม จำเลยที่สาม ตั้งแต่วันที่ 1-18 สิงหาคม 2559 ตนจึงได้รวบรวมข้อมูลและส่งหนังสือรายการการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ให้เจ้าหน้าที่หลังได้รับหนังสือ
อัยการถามว่า ศรัณย์พบอะไรบ้างจากการตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์ทั้งสามหมายเลข ศรัณย์ตอบว่า โทรศัพท์ทั้งสามหมายเลขจดทะเบียนโดยปิยรัฐ,จิรวัฒน์และทรงธรรม
ในวันที่ 7 สิงหาคม 2560 เวลาประมาณ 9.40 น. หมายเลขโทรศัพท์ของปิยรัฐโทรออกไปหาทรงธรรม ต่อมาเวลา 10.19 น. ทรงธรรมได้โทรออกไปหาจิรวัฒน์
อัยการถามต่อว่า จากการดูข้อมูลเห็นความสอดคล้องของข้อมูลอย่างไร ศรัณย์ตอบว่า ถ้าดูจากการใช้งานพบว่า ทั้งสามมีการติดต่อหากัน นอกจากนี้จากการตรวจสอบทั้งสามหมายเลขยังสามารถดูได้ว่า ใช้เสาสัญญาณต้นใดจึงสามารถบ่งบอกได้ว่า บริเวณการใช้งานอยู่ที่ใดบ้าง
อัยการแถลงหมดคำถาม
ทนายจำเลยถามค้าน
ทนายจำเลยถามว่า ศรัณย์มีความรู้ทางด้านนิติศาสตร์เป็นอย่างดีใช่หรือไม่ ศรัณย์ตอบว่า ใช่ ทนายจำเลยถามต่อว่า การทำงานฝ่ายกฎหมาย ศรัณย์มีการติดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโทรคมนาคมอยู่ตลอดหรือไม่ ศรัณย์ตอบว่า ใช่
ทนายจำเลยถามว่าในการขอข้อมูลการสื่อสารส่วนบุคคล จะมีขั้นตอนที่เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายใช่หรือไม่ ศรัณย์ชี้แจงว่า ประกาศกสทช.ระบุว่า หากมีเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจตามกฎหมายเกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีมาติดต่อสามารถให้ข้อมูลได้ ซึ่งตนเห็นว่าผู้มาขอเป็นตำรวจมีอำนาจตามกฎหมายจึงให้ข้อมูลดังกล่าวแก่ตำรวจ
ทนายจำเลยถามศรัณย์ว่าโดยปกติเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจขอข้อมูลการติดต่อส่วนบุคคลจะต้องเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจตามกฎหมายเฉพาะเช่น กองบังคับการปราบปรามอาชกรรมทางเทคโนโลยี, คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และกรมสอบสวนคดีพิเศษใช่หรือไม่
ศรัณย์แย้งว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 132 เจ้าหน้าที่มีอำนาจรวบรวมพยานหลักฐานได้ ส่วนกรณีที่ทนายชี้ว่าการเข้าถึงข้อมูลต้องอาศัยหมายศาล นั่นเป็นข้อมูลในระดับเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับหลักฐานในคดีนี้ซึ่งเป็นประวัติการใช้โทรศัพท์ที่พิมพ์ออกมาเป็นเอกสาร
ทนายจำเลยศรัณย์ว่า ตามประมวลวิธีพิจารณาอาญา มาตรา 132 พนักสอบสวนมีอำนาจรวบรวมอะไร ศรัณย์ตอบว่า ตามมาตรา 132 อนุสาม กำหนดให้มีอำนาจรวมรวมเฉพาะสิ่งของ
ระหว่างนั้นศาลบอกกับทนายจำเลยว่า พยานยืนยันว่าการรวบรวมพยานเอกสารนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว ทนายจำเลยชี้แจงต่อศาลว่า จะถามคำถามต่อในประเด็นการตีความของกฤษฎีกาในกรณีการส่งข้อมูลการใช้งานโทรศัพท์ในคดีที่ศาลทหารกรุงเทพ ศาลบอกให้ทนายจำเลยอ้างส่งเอกสารต่อศาลเลยเพราะศรัณย์ในฐานะพยานไม่ทราบถึงประเด็นดังกล่าว
ทนายจำเลยแถลงหมดคำถาม
ตอบอัยการถามติง
อัยการถามว่า เหตุใดศรัณย์จึงรวบรวมส่งข้อมูลให้เจ้าหน้าที่สน.บางนา ศรัณย์ตอบว่า ตนเชื่อว่า พนักงานสอบสวนมีอำนาจในการรวบรวมเอกสารและพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีจึงส่งมอบเอกสารดังกล่าวให้
อัยการแถลงหมดคำถาม
หลังเสร็จสิ้นการสืบพยานปากนี้ซึ่งเป็นปากสุดท้ายของวัน ศาลขอหารือกับคู่ความเรื่องวันนัด เนื่องจากวันนัดสืบพยานโจทก์ที่นัดไว้เดิมหมดแล้ว และเหลือการสืบพยานอีกสองนัดในวันที่ 15 และ 16 มิถุนายน ซึ่งเป็นนัดสืบพยานจำเลย แต่โจทก์ยังนำพยานเข้าสืบไม่หมดและฝ่ายจำเลยก็แถลงว่าติดใจขอสืบพยานโจทก์ทุกปาก
ศาลให้คู่ความตกลงกันว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร อัยการและทนายตกลงกันว่านัดสืบพยานจำเลยที่เหลือสองนัดให้โจทก์นำพยานของโจทก์เข้าสืบต่อ หากโจทก์สืบเสร็จแล้วยังเหลือเวลาก็ให้ฝ่ายจำเลยนำพยานเข้าสืบต่อเลย แต่หากไม่เสร็จก็ขอให้ศาลนัดวันใหม่ ศาลอนุญาตให้ดำเนินการตามนั้นพร้อมกับกำชับคู่ความให้สืบพยานโดยกระชับ
15 มิถุนายน 2560
นัดสืบพยานโจทก์
เบื้องต้นการสืบพยานในวันนี้เป็นนัดของฝ่ายจำเลยแต่เนื่องจากโจทก์ยังนำพยานเข้าสืบไม่หมดและฝ่ายจำเลยติดใจขอถามค้าน ทั้งสองฝ่ายจึงตกลงให้นำพยานโจทก์ที่เหลือมาถามต่อในนัดนี้
การพิจารณาในวันนี้เริ่มประมาณสิบนาฬิกาเศษโดยเหตุที่เริ่มการสืบล่าช้าเนื่องจากหนึ่งในจำเลยมาถึงศาลช้า
สืบพยานโจทก์ปากที่เจ็ด ด.ต.สมพร ภักวงษ์ทอง ผู้จับกุม ปิยรัฐ จำเลยที่หนึ่ง
ด.ต.สมพรเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุรับราชการตำรวจเป็นผู้บังคับหมู่งานจราจรสน.บางนา
เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้เพราะในวันเกิดเหตุปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดหน่วยที่สาม เขตบางนา โดยปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้รักษาความปลอดภัยภายในหน่วยออกเสียง
ด.ต.สมพรเบิกความด้วยว่าวันเกิดเหตุตนมาถึงที่สำนักงานเขตบางนาประมาณ 5.00 น. เพื่อดำเนินการรับหีบบัตรจากสำนักงานเขต
อัยการถามว่า ลักษณะหน่วยออกเสียงประชามติที่เกิดเหตุเป็นอย่างไร ด.ต.สมพรตอบว่า เป็นเตนท์ยาวแบ่งเป็นสี่ช่อง
อัยการถามว่า ด.ต.สมพรได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ที่หน่วยออกเสียงใด ด.ต.สมพรตอบว่าได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่หน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดหน่วยที่สาม
อัยการถามว่า บรรยากาศการลงคะแนนในช่วงเช้าเป็นอย่างไร ด.ต.สมพรตอบว่า ตั้งแต่เวลา 8.00-12.00 น. บรรยากาศการลงคะแนนไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติ
ด.ต.สมพรเล่าถึงเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุว่า ในเวลาประมาณ 12.00 น. มีชายซึ่งทราบภายหลังว่าเป็น ปิยรัฐ จำเลยที่หนึ่ง เดินเข้ามาในหน่วยออกเสียง ส่วนจิรวัฒน์ จำเลยที่สอง และทรงธรรม จำเลยที่สามนั่งเก้าอี้อยู่ด้านหน้าหน่วยออกเสียง
ระหว่างที่ปิยรัฐตรวจรายชื่อที่โต๊ะกับเจ้าหน้าที่ ด.ต.สมพรยืนอยู่บริเวณบอร์ดที่กั้นเขตระหว่างหน่วยออกเสียงที่สามกับสี่ โดยยืนอยู่กับด.ต.วิรัตน์ชัย อุ่นสมัย ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำหน่วยออกเสียงที่สี่
ระหว่างที่ยืนคุยกันจารุวรรณ ซึ่งเป็นประธานหน่วยออกเสียงเดินมาบอกกับพวกตนว่า มีคนมาถ่ายรูปขอให้ไปห้ามหน่อย
เมื่อหันไปดูที่หน้าหน่วยออกเสียง ก็เห็นชายสองคนซึ่งทราบภายหลังว่า เป็นจิรวัฒน์และทรงธรรมยืนถือโทรศัพท์ในลักษณะถ่ายภาพหรือวิดีโอ ด.ต.วิรัตน์ชัยจึงเข้าไปห้ามจิรวัฒน์และทรงธรรมโดยกันตัวออกไป
ด.ต.สมพรเบิกความต่อว่า ระหว่างที่ด.ต.วิรัตน์ชัยดันตัวจิรวัฒน์และทรงธรรมออกไปได้หันกลับมามองที่หีบบัตรลงคะแนน เห็นปิยรัฐเดินเลยไปด้านหน้าของหีบบัตรออกเสียงแล้วชูบัตรออกเสียงขึ้นแล้วตะโกนว่า "เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ" จากนั้นจึงฉีกบัตรออกเสียงและปล่อยลงพื้น
ด.ต.สมพรจึงเข้าไปจับแขนปิยรัฐ จากนั้นจึงจูงปิยรัฐไปนั่งที่เก้าอี้ แล้วขอตรวจบัตรประชาชนและโทรแจ้งผู้บังคับบัญชาว่ามีเหตุประชาชนฉีกบัตร จากนั้นจึงแจ้งศูนย์วิทยุบางนาให้ประสานหน่วยเคลื่อนที่เร็วมารับตัวปิยรัฐ
ด.ต.สมพรเบิกความว่า หลังให้ปิยรัฐนั่งในหน่วยออกเสียงครู่หนึ่งก็พาตัวออกมานั่งข้างนอกและถ่ายภาพปิยรัฐไว้ พร้อมกับแจ้งข้อกล่าวหาและแจ้งสิทธิกับปิยรัฐ
ด.ต.สมพรเบิกความด้วยว่า เมื่อหน่วยเคลื่อนที่เร็วมาถึงด.ต.สมพรได้แจ้งว่าจิรวัฒน์และทรงธรรมน่าจะรู้จักกับปิยรัฐเพราะเห็นทั้งสองเข้าไปถ่ายรูปปิยรัฐ หลังจากนั้นหน่วยเคลื่อนที่เร็วก็ควบคุมตัวปิยรัฐออกไป แต่ไม่ทราบว่าหลังจากนั้นจิรวัฒน์และทรงธรรมไปที่ไหน
อัยการถามว่าหลังเกิดเหตุ สถานการณ์ในหน่วยออกเสียงเป็นอย่างไร ด.ต.สมพรตอบว่าเหตุการณ์ทั่วไปเป็นปกติ หลังเวลา 16.00 น. จึงมีการนับคะแนน หลังการปิดหีบผู้บังคับบัญขาให้เจ้าหน้าที่นายอื่นมาเปลี่ยนเพื่อให้ตนกลับไปให้ปากคำที่สน.บางนา
อัยการถามว่าตอนที่ด.ต.วิรัตน์ชัยเข้าไปกันไม่ให้จิรวัฒน์และทรงธรรมถ่ายภาพ ด.ต.สมพรได้ยินจำเลยทั้งสองพูดคุยกับด.ต.วิรัตน์ชัยหรือไม่ ด.ต.สมพรตอบว่า ได้ยินทรงธรรมพูดทำนองว่าขอถ่ายรูปเพื่อนออกเสียงหน่อยครับ แต่จำไม่ได้ชัดเจนว่าเป็นประโยคนี้เลยหรือไม่
อัยการถามว่าหลังวันเกิดเหตุด.ต.สมพรได้มาร่วมทำแผนจำลองวันเกิดเหตุหรือไม่ ด.ต.สมพรรับว่ามาร่วมทำด้วย โดยตามภาพการทำเหตุการณ์จำลอง มีภาพที่ด.ต.สมพรนำปิยรัฐไปนั่งด้านนอกระหว่างหน่วยออกเสียงที่สามและสี่ ด.ต.สมพรรับด้วยว่าได้ร่วมลงชื่อในการทำภาพจำลองเหตุการณ์
อัยการถามว่าหลังปิยรัฐฉีกบัตรออกเสียง บัตรที่ถูกฉีกอยู่ที่ไหน ด.ต.สมพรตอบว่าปิยรัฐปล่อยบัตรลงบนพื้น ด.ต.วิรัตน์ชัยเป็นผู้เก็บจากพื้นและไปนำถุงมาใส่ ด.ต.สมพรได้นำบัตรประชาชนของปิยรัฐใส่ถุงไปด้วยและมอบให้ชุดเคลื่อนที่เร็วที่มารับตัวปิยรัฐ
อัยการให้ด.ต.สมพรดูบันทึกการจับกุมและให้เล่าถึงการจัดทำเอกสารดังกล่าว ด.ต.สมพรตอบว่าเมื่อไปถึงสน.บางนามีการทำบันทึกการจับกุมไว้แล้ว ตนเองเพียงแต่ลงชื่อในเอกสาร โดยขณะที่ลงชื่อ ไม่ทราบว่ามีใครลงชื่อในเอกสารแล้วบ้าง ทราบแต่เพียงปิยรัฐยังไม่ได้ลงชื่อ
ด.ต.สมพรเบิกความด้วยว่าเห็นจิรวัฒน์และทรงธรรมอยู่ที่สน.บางนาด้วย โดยด.ต.สมพรเป็นผู้อ่านบันทึกการจับกุมให้จิรวัฒน์และทรงธรรมฟัง ทั้งสองให้การปฏิเสธและแจ้งว่าไม่ประสงค์จะลงชื่อในเอกสาร
ด.ต.สมพรเบิกความด้วยว่า ตนให้ปากคำที่สน.บางนาเสร็จสิ้นในเวลาประมาณ 22.00 น. จึงกลับบ้านแล้วมาร่วมทำแผนจำลองเหตุการณ์ในวันที่ 8 สิงหาคม 2559
อัยการถามว่าเหตุใดด.ต.สมพรจึงเชื่อว่า ตนเองมีอำนาจจับกุมปิยรัฐ ด.ต.สมพรตอบว่าเชื่อว่า ตนเองมีอำนาจทำการจับกุมเพราะตามคำสั่งแต่งตั้งตนมีอำนาจระงับเหตุในหน่วยออกเสียงซึ่งรวมถึงบริเวณทางเดินและด้านหน้าบอร์ดติดรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงด้วย
อัยการแถลงหมดคำถาม
ตอบทนายจำเลยถามค้าน
ทนายจำเลยถามว่าด.ต.สมพรเคยปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยออกเสียงมาก่อนหรือไม่ ด.ต.สมพรตอบว่าเคย ทนายจำเลยถามว่าเท่าที่เคยปฏิบัติหน้าที่หน้า บอร์ดติดรายชื่อผู้มีสิทธิจะติดอยู่ด้านนอกหน่วยหรือติดด้านในหันหน้าเข้าหน่วยออกเสียง
ด.ต.สมพรตอบว่า ปกติจะติดอยู่ด้านนอก แต่ครั้งนี้ติดด้านในหันหน้าเข้าหน่วยออกเสียง ทนายจำเลยถามว่าเมื่อเป็นเช่นนั้นคนทั่วไปจริงมีสิทธิเข้ามาด้านในเพื่อตรวจรายชื่อได้ใช่หรือไม่ ด.ต.สมพรรับว่าใช่
ทนายจำเลยถามว่า ด.ต.สมพรเคยดูคลิปวันเกิดเหตุหรือไม่ ด.ต.สมพรตอบว่า เคย ทนายจำเลยของศาลเปิดคลิปให้ด.ต.สมพรดูแล้วถามว่าตามคลิปขณะเกิดเหตุก็มีผู้มาใช้สิทธิตามปกติใช่หรือไม่ ด.ต.สมพรรับว่า ใช่
ทนายจำเลยถามว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยมีท่าทางขัดขืนการจับกุมหรือไม่ ด.ต.สมพรตอบว่าจำเลยยินยอมให้จับกุมโดยดี
ทนายจำเลยถามว่าจิรวัฒน์และทรงธรรมทำท่าทางเหมือนถ่ายภาพหรือวิดีโอ ด.ต.สามารถยืนยันได้หรือไม่ว่าทั้งสองกำลังถ่ายภาพหรือวิดีโออยู่ ด.ต.สมพรตอบว่าไม่ทราบ
ทนายจำเลยถามว่าตามคลิปวิดีโอมีภาพเจ้าหน้าที่ผลักดันไม่ให้จำเลยทั้งสองถ่ายภาพหรือไม่ ด.ต.สมพรตอบว่า ตามคลิปไม่มี แต่วันเกิดเหตุเห็นว่าด.ต.วิรัตน์กางมือกันไม่ให้ทั้งสองบันทึกภาพ แต่จะมีการถูกเนื้อต้องตัวหรือไม่ ตนไม่ทราบ
ทนายจำเลยถามว่า ขณะที่มีการกันตัวจำเลยทั้งสองมีเหตุการณ์วุ่นวายหรือไม่ ด.ต.สมพรรับว่าไม่มี ทนายจำเลยถามว่า ขณะที่มีการกันตัวจิรวัฒน์และทรงธรรม ปิยรัฐฉีกบัตรหรือยัง ด.ต.สมพรตอบว่า ยัง
ทนายจำเลยถามว่า ด.ต.สมพรได้ควบคุมตัวจิรวัฒน์และทรงธรรมหรือไม่ ด.ต.สมพรตอบว่าไม่ได้ทำการจับกุม ทนายจำเลยถามว่าด.ต.สมพรทราบได้อย่างไรว่า มีข้อห้ามถ่ายภาพในหน่วยออกเสียง ด.ต.สมพรตอบว่า ทราบจากกรรมการประจำหน่วยที่เป็นครู
ทนายจำเลยถามว่าด.ต.สมพรเคยเข้ารับการอบรมก่อนปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ด.ต.สมพรตอบว่า เคยเข้ารับการอบรม ทนายจำเลยถามว่า ระเบียบห้ามถ่ายภาพปรากฎอยู่ตามกฎหมายใด ด.ต.สมพรตอบว่าไม่ทราบว่าเป็นกฎหมายใด
ทนายจำเลยให้ด.ต.สมพรดูเอกสารคู่มือเจ้าหน้าที่ของกกต. ด.ต.สมพรตอบว่า ตนไม่เคยเห็นเอกสารที่ทนายจำเลยให้ดู ทนายจำเลยถามว่า ตามบันทึกการจับกุมจิรวัฒน์และทรงธรรม ด.ต.สมพรเป็นผู้จับกุม แต่ด.ต.สมพรเบิกความต่อศาลว่าไม่ได้เป็นผู้จับกุมจำเลยทั้งสอง ข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร ด.ต.สมพรตอบว่า เป็นไปตามที่เบิกความต่อศาล
ทนายจำเลยถามว่า เอกสารและภาพจำลองเหตุการณ์วันเกิดเหตุที่ด.ต.สมพรร่วมลงชื่อด้วย ด.ต.สมพรได้อ่านเอกสารก่อนลงชื่อหรือไม่ ด.ต.สมพรตอบว่าไม่ได้อ่านข้อความก่อน ด.ต.สมพรเบิกความรับรองว่าเอกสารบันทึกการจับกุมและคำให้การชั้นสอบสวนของตนถูกต้องยกเว้นประเด็นที่ตนเป็นผู้จับกุมจิรวัฒน์และทรงธรรม
ทนายจำเลยแถลงหมดคำถาม
ตอบอัยการถามติง
อัยการถามว่า ตอนที่ด.ต.สมพรเข้ารับการอบรม เจ้าหน้าที่แจกเอกสารคู่มือใดๆให้หรือไม่ ด.ต.สมพรตอบว่า ไม่มี
อัยการถามด.ต.สมพรว่า บุคคลใดเป็นผู้ทำการอบรมให้และมีกรรมการประจำหน่วยที่สามคนอื่นร่วมอบรมด้วยหรือไม่
ด.ต.สมพรตอบว่าจำไม่ได้ว่าหน่วยงานใดเป็นผู้จัดอบรมและจำไม่ได้ว่ามีกรรมการหน่วยออกเสียงที่สามคนอื่นร่วมอบรมด้วยหรือไม่ เท่าที่จำได้ตนเข้ารับการอบรมเรื่องการดูแลรักษาความปลอดภัยในหน่วยออกเสียง
อัยการถามว่าภาพจำลองเหตุการณ์ทำขึ้นหลังวันเกิดเหตุซึ่งจำเลยทั้งสามถูกตั้งข้อกล่าวหาไปแล้วใช่หรือไม่ ด.ต.สมพรรับว่าใช่
อัยการถามว่าเหตุใดด.ต.สมพรจึงลงชื่อรับรองเอกสารการจัดทำเหตุการณ์จำลอง ด.ต.สมพรตอบว่าที่ลงชื่อรับรองเพราะเห็นว่าเอกสารการจัดทำเหตุการณ์จำลองถูกต้องเพียงแต่ไม่ได้อ่านข้อความ
อัยการถามว่า ที่ด.ต.สมพรตอบทนายจำเลยว่าประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามาดูรายชื่อที่บอร์ดได้ ในวันเกิดเหตุมีประชาชนเข้ามาตรวจรายชื่อแล้วพบว่า ไม่มีชื่อจึงเดินไปหน่วยอื่นต่อหรือไม่ ด.ต.สมพรอบว่าไม่มีเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้น
อัยการแถลงหมดคำถาม
หลังสืบพยานปากนี้เสร็จ ศาลสั่งให้เลื่อนไปสืบพยานปากต่อไปในช่วงบ่ายเนื่องจากขณะนั้นเป็นเวลา 12.00 น.แล้ว โดยศาลเริ่มสืบพยานโจทก์ต่อในเวลา 13.20 น.
สืบพยานโจทก์ปากที่แปด ด.ต.วิรัตน์ชัย อุ่นสมัย เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดที่สี่ สำนักงานเขตบางนา
ด.ต.วิรัตน์ชัยเบิกความขณะเกิดเหตุรับราชการตำรวจที่ส.น.บางนาในตำแหน่งผู้บังคับการหมู่งานจราจร มีหน้าที่จับกุมผู้กระทำความผิดในคดีจราจรและคดีอาญา
เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้เนื่องจากอยู่ในที่เกิดเหตุและเป็นผู้เข้าไปห้ามจิรวัฒน์ จำเลยที่สองและทรงธรรม จำเลยที่สาม ไม่ให้ถ่ายภาพ
ด.ต.วิรัตน์ชัยเบิกความเล่าว่าในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ ตนเองปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้รักษาความปลอดภัยประจำหน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดที่สี่ เขตบางนา ซึ่งตั้งอยู่ในสำนักงานเขตบางนา โดยได้รับการแต่งตั้งตามประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง
อัยการไม่ได้อ้างส่งคำสั่งแต่งตั้งให้ด.ต.วิรัตน์ชัยปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยออกเสียงประชามติต่อศาลแต่ด.ต.วิรัตน์ชัยเบิกความรับรองว่าเอกสารแต่งตั้งของตนมีลักษณะเดียวกับเอกสารของ ด.ต.สมพร ภักวงษ์ทอง พยานโจทก์ปากที่เจ็ดซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รักษาความปลอดภัยประจำหน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดที่สาม สำนักงานเขตบางนา
ด.ต.วิรัตน์ชัยเบิกความต่อว่าหน่วยออกเสียงเปิดให้ประชาชนมาใช้สิทธิตั้งแต่เวลา 8.00 น. ในช่วงเช้าเหตุการณ์โดยทั่วไปเป็นปกติ
ด.ต.วิรัตน์ชัยเบิกความต่อว่าช่วงก่อนเกิดเหตุในเวลาประมาณ 12.00 น. ตนเองยืนคุยกับด.ต.สมพรอยู่บริเวณบอร์ดที่กั้นระหว่างหน่วยออกเสียงที่สามและสี่ ระหว่างที่ยืนคุยกันอยู่จารุวรรณ ศรีทองชัยซึ่งเป็นประธานหน่วยออกเสียงที่สามเดินเข้ามาหาพวกตนและบอกว่ามีคนมาถ่ายภาพในหน่วยให้ไปห้าม
เมื่อได้รับแจ้งด.ต.วิรัตน์ชัยไปด้านหน้าหน่วยออกเสียงก็พบชายสองคนซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นจิรวัฒน์และทรงธรรมยกโทรศัพท์มือถือในลักษณะกำลังถ่ายภาพหรือวิดีโอแต่ด.ต.วิรัตน์ชัยไม่สามารถยืนยันได้ว่าขณะนั้นชายทั้งสองบันทึกภาพหรือวิดีโอแล้วหรือยัง
อัยการถามว่าจุดที่ชายทั้งสองยืนอยู่คือจุดไหน ด.ต.วิรัตน์ชัยตอบว่าอยู่ในหน่วยออกเสียงโดยยืนห่างจากบอร์ดเข้ามาด้านในประมาณหนึ่งเมตร
เมื่อเห็นพฤติการณ์ของชายทั้งสอง ด.ต.วิรัตน์ชัยจึงเดินเข้าไปหาพร้อมกับกางมือและบอกชายทั้งสองว่าห้ามถ่ายภาพโดยขณะที่พูดจาห้ามปรามด.ต.วิรัตน์ชัยยืนยันว่าไม่มีการสัมผัสตัวกับชายทั้งสอง
สำหรับพฤติการณ์ของจิรวัฒน์และทรงธรรมในขณะนั้น ด.ต.วิรัตน์ชัยเบิกความว่าทั้งสองเดินถอยหลังไปด้านนอกบอร์ดออกจากหน่วยเมื่อตนเดินเข้าไปหาแต่ยังถือโทรศัพท์ในลักษณะถ่ายภาพหรือวิดีโอส่วนจะถ่ายอยู่หรือไม่ไม่สามารถยืนยันได้
ด.ต.วิรัตน์ชัยเบิกความต่อว่าเมื่อกันจิรวัฒน์และทรงธรรมออกไปด้านนอกบอร์ดบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์ ก็หันมาก้มดูโทรศัพท์มือถือเพื่อจะเปิดดูข้อกฎหมายที่ห้ามการถ่ายรูป
แต่ยังไม่ทันจะดูก็ได้ยินเสียงชายอีกคนซึ่งมาทราบในภายหลังว่าเป็นปิยรัฐจำเลยที่หนึ่งตะโกนว่า "เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ" จึงเงยหน้าดูก็เห็นปิยรัฐฉีกบัตรลงคะแนน
ด.ต.วิรัตน์ชัยเบิกความต่อว่าหลังปิยรัฐฉีกบัตรก็ทิ้งบัตรลงกับพื้น ด.ต.สมพรวิ่งเข้ามาจับมือขวาของปิยรัฐ ส่วนบัตรที่ถูกฉีกและทิ้งไว้บนพื้น ด.ต.วิระชัยเป็นผู้เก็บขึ้นมาจากพื้น แต่ไม่แน่ใจว่าในภายหลังส่งต่อให้ใคร เป็นด.ต.สมพรหรืออัมรินทร์ นนทะโคตรซึ่งเป็นผู้อำนวยการหน่วยออกเสียงที่สาม
ด.ต.วิรัตน์ชัยเบิกความตอบอัยการถึงการดำเนินการของด.ต.สมพรว่า ด.ต.สมพรให้จำเลยนั่งที่เก้าอี้พร้อมทั้งใช้วิทยุสื่อสารและโทรศัพท์มือถือติดต่อบุคคลอื่นแต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าติดต่อใคร
อัยการถามด.ต.วิรัตน์ชัยว่าขณะเกิดเหตุทราบหรือไม่ว่าจำเลยทั้งสามรู้จักกันมาก่อน ด.ต.วิรัตน์ชัยตอบว่าขณะนั้นยังไม่ทราบ พึ่งมาทราบภายหลังว่าทั้งสามรู้จักกัน
อัยการถามต่อว่าทราบหรือไม่ว่าโทรศัพท์ที่จำเลยทั้งสองใช้ถ่ายภาพคือโทรศัพท์รุ่นใดยี่ห้อใด ด.ต.วิรัตน์ชัยตอบว่าไม่ทราบ
อัยการถามด.ต.วิรัตน์ชัยว่าที่ได้รับการอบรมมาอาณาเขตของหน่วยออกเสียงเริ่มตั้งแต่บริเวณไหน ด.ต.วิรัตน์ชัยตอบว่าตั้งแต่ด้านในบอร์ดบัญชีรายชื่อไปจนถึงบริเวณที่มีแนวล้อมไว้ อัยการถามด.ต.วิรัตน์ชัยว่าในช่วงเกิดเหตุมีคนลงคะแนนเยอะหรือไม่ ด.ต.วิรัตน์ชัยตอบว่ามีประมาณสองสามคน
อัยการแถลงหมดคำถาม
ตอบทนายจำเลยถามค้าน
ทนายจำเลยถามด.ต.วิรัตน์ชัยว่า การกั้นหน่วยออกเสียงจะมีการเว้นช่องว่างบริเวณบอร์ดติดรายชื่อผู้มีสิทธิ ทำให้ผู้ที่ต้องการตรวจสอบรายชื่อสามารถเดินทะลุจากหน่วยลงออกเสียงที่หนึ่งถึงที่สี่ได้ใช่หรือไม่ ด.ต.วิรัตน์ชัยรับว่าใช่
ทนายจำเลยถามว่าในหน่วยออกเสียงที่สามและสี่มีการปะข้อห้ามว่าอะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ไว้หรือไม่ ด.ต.วิรัตน์ชัยตอบว่าไม่ทราบ
ทนายจำเลยถามด.ต.วิรัตน์ชัยว่า ที่ตอบอัยการว่าหันมาเปิดโทรศัพท์เพื่อดูข้อห้ามถ่ายรูป ด.ต.วิรัตน์ชัยดูโทรศัพท์เพราะไม่แน่ใจว่ามีข้อห้ามดังกล่าวอยู่หรือเปล่าใช่หรือไม่ ด.ต.วิรัตน์ชัยตอบว่าขณะนั้นไม่แน่ใจ
ทนายจำเลยถามว่าขณะที่มีการโต้ตอบกัน มีอยู่ตอนหนึ่งที่จิรวัฒน์และทรงธรรมพูดว่าขอถ่ายรูปเพื่อนได้หรือไม่ ใช่หรือไม่ ด.ต.วิรัตน์ชัยตอบว่าไม่ได้ยินว่าทั้งสองพูดเช่นนั้น
ทนายจำเลยถามว่าขณะที่ปิยรัฐฉีกบัตรลงคะแนน การออกเสียงประชามติในหน่วยที่สามยังดำเนินไปอย่างปกติใช่หรือไม่ ด.ต.วิรัตน์ชัยรับว่าใช่
ทนายจำเลยถามด.ต.วิรัตน์ชัยต่อว่าหลังปิยรัฐถูกควบคุมตัวก็ไม่ได้แสดงอาการขัดขืนใช่หรือไม่ ด.ต.วิรัตน์ชัยตอบว่าปิยรัฐไม่ได้แสดงอาการขัดขืนใดๆ
ทนายจำเลยถามด.ต.วิรัตน์ชัยว่าบัตรที่ถูกฉีกมีการลงคะแนนแล้วหรือยัง ด.ต.วิรัตน์ชัยตอบว่าไม่ทราบ
ทนายจำเลยถามต่อว่าขณะที่ปิยรัฐฉีกบัตร จิรวัฒน์และทรงธรรมยืนถ่ายภาพหรือวิดีโอจากด้านในหรือด้านนอกหน่วยออกเสียง ด.ต.วิรัตน์ชัยตอบว่าไม่ทราบ
ทนายจำเลยถามว่าด.ต.วิรัตน์ชัยทราบหรือไม่ว่าจำเลยทั้งสามรู้จักหรือมีความสัมพันธ์กัน ด.ต.วิรัตน์ชัยตอบว่าขณะเกิดเหตุไม่ทราบว่าทั้งสามเกี่ยวข้องกัน มาทราบภายหลัง
ทนายจำเลยถามด.ต.วิรัตน์ชัยว่า ขณะที่กันตัวจิรวัฒน์และทรงธรรมออกไป มีการถูกเนื้อต้องตัวกันหรือไม่ ด.ต.วิรัตน์ชัยตอบว่าไม่มี
ทนายจำเลยถามว่าขณะเกิดเหตุที่มีเสียงดังเป็นเสียงของเจ้าหน้าที่ที่ร้องด้วยความตกใจใช่หรือไม่ ด.ต.วิรัตน์ชัยรับว่าใช่
ตอบอัยการถามติง
อัยการถามด.ต.วิรัตน์ชัยว่า ที่ตอบทนายจำเลยว่าบริเวณด้านในบอร์ดรายชื่อผู้มีสิทธิ์ที่สามารถเดินทะลุกันได้ตั้งแต่หน่วยที่หนึ่งถึงหน่วยที่สี่ นอกจากจิรวัฒน์และทรงธรรมแล้วมีบุคคลที่ไม่มีชื่อเป็นผู้มีสิทธิลงคะแนนในหน่วยออกเสียงที่สามนี้เข้ามาเดินในบริเวณดังกล่าวเหมือนทั้งสองหรือไม่ ด.ต.วิรัตน์ชัยตอบว่าไม่มี
อัยการขออนุญาตศาลถามคำถามที่ลืมถามพร้อมทั้งระบุว่าหากตนเองถามคำถามไม่รัดกุมและภายหลังศาลพิพากษายกฟ้อง อาจถูกผู้บังคับบัญชาตำหนิ ศาลอนุญาตให้ถาม
อัยการให้ด.ต.วิรัตน์ชัยดูภาพการจำลองเหตุการณ์วันเกิดเหตุ และให้ด.ต.วิรัตน์ชัยยืนยันว่าเป็นบุคคลที่ทำท่าก้มเก็บบัตรลงคะแนนประชามติบนพื้นใช่หรือไม่ ด.ต.วิรัตน์ชัยรับว่าใช่
อัยการถามต่อว่าด.ต.วิรัตน์ชัยไม่ได้ลงชื่อในภาพการทำแผนฉบับดังกล่าวใช่หรือไม่ ด.ต.วิรัตน์ชัยตอบว่าตนไม่ได้ลงชื่อในการทำภาพจำลองเหตุการณ์ ทนายจำเลยไม่ติดใจถามติงประเด็นนี้
สืบพยานโจทก์ปากที่เก้า ส.ต.ท.มนตรี ศรีกรมราช ผู้ตรวจสอบการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของจำเลยที่สองและสาม
ส.ต.ท.มนตรีเบิกความว่าขณะเกิดเหตุรับราชการตำรวจในตำแหน่งผู้บังคับหมู่งานปราบปราม ส.น.บางนา มีหน้าที่หาข่าวและปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้เนื่องจากในวันเกิดเหตุได้รับรายงานว่าปิยรัฐ จำเลยที่หนึ่งในคดีนี้ฉีกบัตรลงคะแนนประชามติที่หน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดที่สาม เขตบางนา และได้รับรายงานว่ามีชายสองคนคือจิรวัฒน์ จำเลยที่สองและทรงธรรม จำเลยที่สามใช้โทรศัพท์บันทึกเหตุการณ์ไว้
ส.ต.ท.มนตรีเบิกความว่าในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 เวลาประมาณ 18.00 น. ได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบกรณีการเผยแพร่คลิปขณะปิยรัฐฉีกบัตรประชามติในอินเทอร์เน็ต จึงใช้โทรศัพท์มือถือตรวจสอบเฟซบุ๊กของทรงธรรมโดยพิพ์ชื่อของทรงธรรมบนแอพลิเคชันเฟซบุ๊ก ก็พบบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กของทรงธรรม
เมื่อทำการตรวจสอบพบว่ามีการเผยแพร่คลิปวิดีโอขณะที่ปิยรัฐก่อเหตุ จึงนำไปให้ผู้กำกับสน.บางนาดู พร้อมทั้งทำการบันทึกหลักฐาน โดยใช้โทรศัพท์ของผู้กำกับ บันทึกภาพที่เปิดจากโทรศัพท์ของตนเอง
ส.ต.ท.มนตรีเบิกความด้วยว่า ได้ทำการตรวจสอบเฟซบุ๊กของจิรวัฒน์ด้วยโดยใช้วิธีเดียวกัน แต่ไม่ได้ทำการตรวจสอบเฟซบุ๊กของปิยรัฐ
อัยการเปิดแผ่นซีดี ซึ่งเป็นคลิปวิดีโอที่ถ่ายโทรศัพท์ของผู้กำกับสน.บางนา ซึ่งเปิดคลิปขณะที่ปิยรัฐกำลังฉีกบัตร ให้ ส.ต.ท.มนตรี ดู ส.ต.ท.มนตรีเบิกความว่าคลิปดังกล่าวตนทำขึ้นและมอบให้พนักงานสอบสวนเพื่อเป็นหลักฐานว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันก่อเหตุโดยปิยรัฐเป็นผู้ฉีกบัตรลงคะแนน ส่วนจิรวัฒน์และทรงธรรมเป็นผู้บันทึกเหตุการณ์และเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ อัยการแถลงหมดคำถาม
ตอบทนายจำเลยถามค้าน
ทนายจำเลยถามว่าส.ต.ท.มนตรีใช้เฟซบุ๊กหรือไม่ ส.ต.ท.มนตรีตอบว่าใช่ ทนายจำเลยถามต่อว่าการตั้งชื่อเฟซบุ๊กจะตั้งชื่ออะไรก็ได้ใช่หรือไม่ ส.ต.ท.มนตรีรับว่าใช่ แต่ที่เชื่อว่าบัญชีผู้ดังกล่าวเป็นของจำเลยจริงเนื่องจากภาพโปรไฟล์ของบัญชีดังกล่าวเป็นภาพของจำเลย
ทนายจำเลยถามต่อว่าส.ต.ท.มนตรีเป็นผู้ตรวจสอบเฟซบุ้กแต่เพียงผู้เดียวใช่หรือไม่ ส.ต.ท.มนตรีรับว่าใช่ ทนายจำเลยถามว่าส.ต.ท.มนตรีได้ทำการตรวจสอบวิดีโอคลิปจากโทรศัพท์ของจำเลยทั้งสามหรือไม่ ส.ต.ท.มนตรีตอบว่าไม่ได้ตรวจสอบ แต่ทำการตรวจสอบจากเฟซบุ๊กเพียงอย่างเดียว
ทนายจำเลยถามว่าตามวิดีโอคลิปปรากฎว่ามีเจ้าหน้าที่มาห้ามไม่ให้ทำการบันทึกภาพหรือไม่ ส.ต.ท.มนตรีตอบว่าไม่มี มีเพียงภาพการจับกุมจำเลยที่หนึ่ง ทนายจำเลยถามต่อว่ารูปโปรไฟล์ของผู้ใช้เฟซบุ๊กสามารถนำรูปใดมาตั้งก็ได้ใช่หรือไม่ ส.ต.ท.มนตรีรับว่าใช่ ทนายจำเลยแถลงหมดคำถามค้าน อัยการแถลงต่อศาลว่าไม่ติดใจถามติงพยานปากนี้ ศาลจึงให้นำพยานปากต่อไปเข้าสืบต่อ
สืบพยานปากที่สิบ ร.ต.ท.คำสอน ไมสุวรรณ ผู้ควบคุมตัวจำเลยที่สองและสามไปส.น.บางนา
สำหรับการโดยสารรถของจิรวัฒน์ ร.ต.ท.คำสอนเบิกความว่าเป็นเพียงการอำนวยความสะดวกให้จำเลย แต่ขณะนั้นได้ควบคุมตัวทั้งสองไว้แล้ว ทนายจำเลยถามย้ำเรื่องการโดยสารรถของจิรวัฒน์อีกครั้ง ร.ต.ท.คำสอนตอบว่าไม่ได้ขอโดยสารแต่เป็นการควบคุมตัว ทนายจำเลยแถลงหมดคำถาม อัยการแถลงต่อศาลว่าไม่ติดใจถามติงพยานปากนี้ ศาลจึงสั่งให้สืบพยานปากที่ 11ต่อทันที
ศาลเริ่มการสืบพยานในเวลาประมาณ 10.00 น.
สืบพยานโจทก์ปากที่ 12 ร.ต.อ. ณัฐวัฒน์ ทารักษ์ รองสารวัตรสอบสวน ช่วยงานราชการสอบสวน สน.บางนา
ร.ต.อ.ณัฐวัฒน์ เบิกความว่าขณะเกิดเหตุรับราชการตำรวจที่สน.บางนา ในตำแหน่งรองสารวัตรสอบสวน เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้เนื่องจากได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ ซึ่งเป็นหมายเลขของจำเลยทั้งสามคนในคดีนี้ รวมทั้งหมายเลขประจำเครื่องโทรศัพท์ (IMEI) ของโทรศัพท์ทั้งสามเครื่องด้วย
จากการตรวจสอบกับเอไอเอสซึ่งเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายของทั้งสามหมายเลขพบว่า โทรศัพท์ทั้งสามหมายเลขเป็นของจำเลยทั้งสามจริง อัยการขอให้ร.ต.อ.ณัฐวัฒน์ชี้ตัวจำเลยทั้งสามในคดีนี้ ร.ต.อ.ณัฐวัฒน์หันมาชี้ตัวจำเลยทั้งสามคน
สำหรับข้อมูลการใช้งานโทรศัพท์ทั้งสามหมายเลขในวันเกิดเหตุ ร.ต.อ.ณัฐวัฒน์เบิกความว่าก่อนเกิดเหตุปิยรัฐโทรไปหาจิรวัฒน์สี่ครั้ง โดยตำแหน่งการใช้งานโทรศัพท์เริ่มจากพื้นที่อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการเคลื่อนที่ไปยังหน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดที่สาม เขตบางนา
สำหรับตำแหน่งการใช้งานของจิรวัฒน์ มีการติดต่อจากตลาดสดปู่เจ้าสำโรง จ.สมุทรปราการ มุ่งหน้าไปยังหน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดหน่วยที่สาม ส่วนตำแหน่งการใช้โทรศัพท์ของทรงธรรมเคลื่อนที่จากหมู่บ้านนภาลัย เขตบางนา ไปที่หน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัด หน่วยที่สาม เขตบางนา
เมื่อทำการเชื่อมโยงข้อมูลจึงพบว่าหมายเลขโทรศัพท์ทั้งสามหมายเลขน่าจะเกี่ยวข้องกันและมีลักษณะเป็นการนัดกันเนื่องจากมีลักษณะเป็นการเริ่มต้นจากคนละจุดแล้วมุ่งหน้าสู่สถานที่เดียวกัน
ร.ต.อ.ณัฐวัฒน์เบิกความด้วยว่าเมื่อใช้โปรแกรมค้นหาความเชื่อมโยงไอทู (I2) วิเคราะห์การใช้โทรศัพท์ของจำเลยทั้งสาม พบว่าระหว่างวันที่ 1 – 18 สิงหาคม 2559 หมายเลขโทรศัพท์ทั้งสามหมายเลขมีการติดต่อกันตลอด
มีรายละเอียดคือ ปิยรัฐโทรออกหาทรงธรรม 11 ครั้ง ทรงธรรมโทรหาปิยรัฐจำนวนห้าครั้ง ปิยรัฐโทรออกหาจิรวัฒน์ 14 ครั้ง ส่วนจิรวัฒน์โทรออกหาปิยรัฐจำนวนเจ็ดครั้ง
ร.ต.อ.ณัฐวัฒน์เบิกความด้วยว่าข้อมูลการใช้งานที่เบิกความต่อศาลนี้ปรากฎตามรายงานการสืบสวนลงวันที่ 21 สิงหาคม 2559 อัยการแถลงหมดคำถาม
ทนายจำเลยถามค้าน
ทนายจำเลยถามร.ต.อ. ณัฐวัฒน์ว่า ก่อนหน้านี้เคยตรวจสอบการใช้โทรศัพท์ในคดีอื่นๆหรือไม่ ร.ต.อ. ณัฐวัฒน์ตอบว่าเคย
ทนายจำเลยถามต่อว่าที่ร.ต.อ.ณัฐวัฒน์ชี้ตัวจำเลยทั้งร.ต.อ.ณัฐวัฒน์เคยเห็นทั้งสามเมื่อใด ร.ต.อ. ณัฐวัฒน์ตอบว่าเคยเห็นหน้าทั้งสามขณะที่ถูกควบคุมตัวที่ห้องสืบสวนที่สน.บางนาในวันที่ 7สิงหาคม 2559
ทนายจำเลยถามร.ต.อ.ณัฐวัฒน์ว่า ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์ของจำเลยทั้งสามที่เบิกความตอบอัยการก่อนหน้านี้ได้รับข้อมูลมาจากที่ใด ร.ต.อ.ณัฐวัฒน์ตอบว่า ได้มาจากเอกสารการใช้โทรศัพท์ตามที่ได้เบิกความไว้ ซึ่งการตรวจดังกล่าวตนเองไม่ได้เป็นทำการผู้ตรวจสอบจากโทรศัพท์ของจำเลยทั้งสามโดยตรง และข้อมูลที่ตรวจสอบมามีเฉพาะการติดต่อระหว่างหมายเลขของจำเลยทั้งสามเท่านั้น
ทนายจำเลยให้ร.ต.อ.ณัฐวัฒน์อธิบายถึงตำแหน่งที่ระบุในข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของจำเลยทั้งสาม ร.ต.อ.ณัฐวัฒน์เบิกความกับอัยการก่อนหน้านี้ ร.ต.อ.ณัฐวัฒน์อธิบายว่าตามเอกสาร ตำแหน่งที่เบิกความไปเป็นตำแหน่งของเสาที่ถ่ายทอดสัญญาณโทรศัพท์ที่ใกล้ที่สุด แต่ไม่ใช่ตำแหน่งที่ผู้ใช้โทรศัพท์ยืนอยู่จริงๆ
หากเสาสัญญาณของผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์หนาแน่นหรือเต็ม จะต้องใช้เสาสัญญาณของเครือข่ายอื่นที่ใกล้ที่สุด ในกรณีนี้เสาสัญญาณของของเครือข่ายอื่นจะต้องส่งสัญญาณกลับมาที่เสาสัญญาณที่เป็นเครือข่ายของผู้ใช้โทรศัพท์อีกครั้ง ซึ่งการระบุตำแหน่งในลักษณะนี้สามารถระบุตำแหน่งผู้ใช้ได้อย่างกว้างๆเท่านั้น
ร.ต.อ.ณัฐวัฒน์เบิกความแก้ไขรายละเอียดในเอกสารการสอบสวนที่ระบุว่าในวันเกิดเหตุ ปิยรัฐโทรออกไปหาทรงธรรมทั้งหมดห้าครั้ง ว่าที่จริงแล้วโทรออกเพียงสี่ครั้งเท่านั้น โดยที่ขอแก้ไขเป็นเพราะตนเองพิมพ์เอกสารผิด
ทนายจำเลยถามต่อว่าในวันเกิดเหตุปิยรัฐใช้งานโทรศัพท์ไปยังปลายสายอื่นๆจำนวน 32 ครั้ง ร.ต.อ.ณัฐวัฒน์ได้ตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์อื่นๆหรือไม่เช่น ร.ต.อ. ณัฐวัฒน์ตอบว่า ตนไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวและไม่ได้ตรวจสอบการใช้งานโทรศัพท์ของจิรวัฒน์และทรงธรรมด้วยว่าวันเกิดเหตุใช้งานโทรศัพท์ไปทั้งหมดกี่ครั้ง รวมทั้งไม่ได้เป็นผู้เกี่ยวข้องในการตรวจสอบการใช้งานโทรศัพท์ระหว่างจำเลยทั้งสามกับบุคคลอื่น
ทนายจำเลยขอให้ร.ต.อ.ณัฐวัฒน์อธิบายการทำงานของโปรแกรมไอทู ร.ต.อ. ณัฐวัฒน์ตอบว่าโปรแกรมไอทูเป็นโปรแกรมที่สามารถหาความเชื่อมโยงของหมายเลขโทรศัพท์ โดยจะต้องใส่หมายเลขโทรศัพท์ที่ต้องการตรวจสอบลงไปในเครื่อง สำหรับระยะเวลาการประมวลผลจะขึ้นอยู่กับจำนวนหมายเลขโทรศัพท์ที่ต้องการตรวจสอบ
ร.ต.อ.ณัฐวัฒน์เบิกความด้วยว่าข้อมูลการใช้งานโทรศัพท์ของจำเลยทั้งสามระหว่างวันที่ 1-18 สิงหาคม 2559 ที่เบิกความไปนั้น ตนเองไม่ได้เป็นผู้ตรวจสอบเอง เป็นการเบิกความตามเอกสารซึ่งไม่ทราบว่าทั้งสามคนจะมีการใช้โทรศัพท์ติดต่อบุคคลอื่นหรือไม่เพราะตนไม่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ทำการตรวจสอบ ทนายจำเลยแถลงหมดคำถาม
อัยการถามติง
อัยการถามว่าข้อมูลที่ร.ต.อ.ณัฐวัฒน์ได้มามีลักษณะใด ร.ต.อ.ณัฐวัฒน์ตอบว่า ตนได้รับข้อมูลการใช้งานโทรศัพท์เป็นเอกสารและไฟล์เอกเซล(Excel) อัยการถามต่อว่าเสาสัญญาณแต่ละเสาครอบคลุมพื้นที่เท่าไหร่ ร.ต.อ. ณัฐวัฒน์ตอบว่าไม่ทราบ อัยการแถลงหมดคำถาม
เนื่องจากการสืบพยานปากนี้เสร็จในเวลาใกล้เที่ยง ศาลจึงสั่งให้ไปสืบพยานปากที่เหลือต่อในช่วงบ่ายต่อ โดยศาลเริ่มสืบพยานช่วงบ่ายในเวลาประมาณ 13.00 น.
สืบพยานปากที่สิบสาม พ.ต.ต.อภิโชค ขนบดี พนักงานสารวัตรสืบสวน สน.บางนา
จากการตรวจสอบพบว่าเป็นเฟซบุ๊กของจิรวัฒน์จริง และมีการติดป้ายชื่อไปยังเฟซบุ๊กของปิยรัฐและเฟซบุ๊กของทรงธรรมจำเลยที่สามในคดีนี้ นอกจากนี้ยังพบว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมือง การแสดงออกทางการเมือง และมีข้อความว่า “มารอเพื่อน” ในวันออกเสียงประชามติ
สืบพยานโจทก์ปากที่ 14 พ.ต.ท.ศักดิพัฒน์ พลิคามินทร์ รองผู้กำกับการสอบสวน สน.บางนา
อัยการถามพ.ต.ท.ศักดิพัฒน์ว่า ในบันทึกการจับกุมมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง พ.ต.ท.ศักดิพัฒน์ตอบว่า บันทึกการจับกุมระบุว่าปิยรัฐถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในข้อหาทำลายบัตรออกเสียงประชามติ ข้อหาทำให้เสียทรัพย์และทำลายซึ่งเอกสารของผู้อื่น โดยประการที่น่าจะเกิดตวามเสียหาย เมื่อตนได้รับมอบตัวปิยรัฐจึงได้แจ้งสิทธิของผู้ต้องหาให้ทราบ และสอบข้อเท็จจริงกับปิยรัฐ แต่ปิยรัฐปฏิเสธที่จะให้การ
อัยการขอให้พ.ต.ท.ศักดิพัฒน์เล่าเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุต่อ พ.ต.ท.ศักดิพัฒน์เบิกความต่อว่าในวันเดียวกันมีการจับกุมจิรวัฒน์ จำเลยที่สองและทรงธรรม จำเลยที่สาม ในข้อกล่าวหาร่วมกันสร้างความวุ่นวาย หรือทำให้เกิดอุปสรรคในระหว่างเวลาการออกเสียง หลังได้รับตัวทั้งสองตนได้แจ้งสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาและแจ้งข้อกล่าวหา จิรวัฒน์และทรงธรรมปฏิเสธที่จะให้การเช่นเดียวกับปิยรัฐ
พ.ต.ท.ศักดิพัฒน์เบิกความด้วยว่าเนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่ผู้บังคับบัญชาให้ความสนใจ จึงมีการแต่งตั้งคณะกรรรมการขึ้นมาหนึ่งชุดเพื่อทำการสอบสวนและความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ปิยรัฐซึ่งเป็นผู้มีสิทธิในหน่วยดังกล่าวได้มาแสดงตัวรับบัตร แต่ไม่ได้กากบาทลงคะแนนตามปกติแต่กลับเดินอ้อมคูหาลงคะแนนมายืนหน้าหีบบัตรก่อนจะทำการฉีกบัตรโดยมีจิรวัฒน์และทรงธรรมถ่ายวิดีโอไว้และเผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ จารุวรรณยังมอบหนังสือคำสั่งแต่งตั้งเป็นประธานหน่วยออกเสียงให้กับตนด้วย
นอกจากจารุวรรณ พ.ต.ท.ศักดิพัฒน์เบิกความว่ามีการสอบสวนพยานปากอื่นๆด้วย ได้แก่ด.ต. สมพร เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำหน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดที่สามซึ่งได้ให้การยืนยันตัวบุคคลที่ถูกจับกุมซึ่งตนได้ให้ด.ต.สมพรลงลายมือชื่อกำกับไว้ด้วย
ในการทำแผนได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจแสดงเป็นจำเลยทั้งสาม โดยการจำลองเหตุการณ์เริ่มตั้งแต่ก่อนจนถึงตอนที่ปิยรัฐก่อเหตุและจิรวัฒน์กับทรงธรรมบันทึกภาพเหตุการณ์ โดยในการทำแผนจารุวรรณในฐานะประธานหน่วยออกเสียง ด.ต.สมพรในฐานะผู้ทำการจับกุมปิยรัฐและผู้เกี่ยวข้องอื่นๆได้ลงลายมือชื่อกำกับแผนจำลองเหตุการณ์วันเกิดเหตุไว้ด้วย
พ.ต.ท.ศักดิพัฒน์เบิกต่อว่า หลังเสร็จสิ้นการรวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้น ได้มีการรวบรวมพยานเอกสารจากบริษัทเอไอเอสซึ่งเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ของจำเลยทั้งสาม เพื่อตรวจสอบว่าตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุ จำเลยทั้งสามมีพฤติการณ์การติดต่อกันอย่างไร และได้สอบสวนศรัณย์ ผู้จัดการฝ่ายกฎหมายของเอไอเอสเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบความเชื่อมโยงของการใช้งานโทรศัพท์ของจำเลยทั้งสามด้วย
ทนายจำเลยให้พ.ต.ท.ศักดิพัฒน์อธิบายถึงคำให้การของจารุวรรณที่มีการกล่าวหาจิรวัฒน์และทรงธรรมเพิ่มเติมในภายหลัง พ.ต.ท.ศักดิพัฒน์ตอบว่า ตามคำให้การในครั้งแรกของจารุวรรณไม่ได้ให้การว่า จิรวัฒน์และทรงธรรมร่วมก่อความวุ่นวายกับปิยรัฐ จารุวรรณมาให้การเพิ่มเติมในภายหลังว่าทั้งสองเข้ามาถ่ายรูปหรือวิดีโอในหน่วยออกเสียง
ตามคำให้การ จารุวรรณไม่ได้ระบุว่าเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเองและไม่ได้ระบุว่าได้รับคำบอกเล่ามาจากบุคคลที่สามคืออมรินทร์ ส่วนคณะกรรมการในหน่วยออกเสียงคนอื่นๆจะให้การว่า เป็นผู้เห็นว่าจิรวัฒน์และทรงธรรมเป็นผู้ถ่ายรูปหรือไม่ตนจำไม่ได้
พ.ต.ท.ศักดิพัฒน์เบิกความด้วยว่าการบรรยายภาพจำลองเหตุการณ์สองภาพที่เบิกความไปข้างต้นว่าเป็นภาพจำลองเหตุการณ์ขณะจับกุมจำเลยเป็นการบรรยายที่เกินความจริงโดยภาพดังกล่าวเป็นภาพที่จิรวัฒน์และทรงธรรมถูกเชิญออกไปจากหน่วยออกเสียง
สำหรับการติดต่อกันในเฟซบุ๊กของจำเลยทั้งสาม พ.ต.ท.ศักดิพัฒน์เบิกความว่าทราบว่าเฟซบุ๊กของจำเลยทั้งสามคนมีลักษณะเผยแพร่ต่อสาธารณะ ซึ่งหากดูตามเอกสารตรวจสอบการใช้งานเฟซบุ๊ก ตนเห็นจำเลยทั้งสามทำกิจกรรมทางการเมืองด้วยการสวมชุดนักโทษไปเดินที่สยามสแควร์เพียงครั้งเดียว
ศาลตั้งข้อสังเกตว่าพยานน่าจะไม่ประสงค์จะตอบคำถามในประเด็นนี้เพราะเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานในอนาคต ทนายจำเลยตอบศาลว่าภาพดังกล่าวเป็นภาพของหัวหน้าคสช. ทำไมคนหนึ่งทำไม่ผิด อีกคนหนึ่งทำถึงผิด ศาลตอบทนายจำเลยว่า หากต้องการถามในประเด็นนี้ศาลจะบันทึกให้ว่า พ.ต.ท.ศักดิพัฒน์ไม่ขอตอบ ทนายจำเลยตอบว่า ไม่ประสงค์จะถามต่อ
ทนายจำเลยถามต่อว่า คนที่มีสิทธิออกเสียงก็มีสิทธิเข้าไปในหน่วยออกเสียงใช่หรือไม่ พ.ต.ท.ศักดิพัฒน์ตอบว่า ถ้าหากทั้งสองมีสิทธิออกเสียงก็จะสามารถเข้าไปที่หน่วยออกเสียงได้ แต่ต้องเป็นหน่วยที่ตนมีรายชื่อ
นัดสืบพยานจำเลย
ศาลจังหวัดพระโขนงนัดสืบพยานจำเลย โดยนัดนี้เป็นนัดที่ศาลนัดเพิ่มเติมเนื่องจากวันที่ศาลนัดไว้เดิมการสืบพยานโจทก์ยังไม่แล้วเสร็จ ศาลจึงให้สืบพยานโจทก์ต่อในนัดของจำเลยแล้วนัดสืบพยานจำเลยในวันนี้แทน
ในนัดนี้ทนายจำเลยนำพยานเข้าเบิกความต่อศาลรวมสามปากได้แก่จำเลยทั้งสามเบิกความเป็นพยานให้ตัวเอง
สืบพยานจำเลยปากที่หนึ่ง ปิยรัฐ จำเลยที่หนึ่งเบิกความเป็นพยานให้ตัวเอง
ปิยรัฐเบิกความว่า ประกอบอาชีพเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจสังกัดการไฟฟ้านครหลวงและประกอบธุรกิจส่วนตัว สำหรับประวัติด้านการศึกษา ปิยรัฐเบิกความว่าเขาสำเร็จศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าจากมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าพระนครเหนือและกำลังศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สำหรับการทำงานด้านสังคม ปิยรัฐเบิกความว่าขณะศึกษาระดับปริญญาตรีตนเองเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มปฏิรูปการรับน้อง (Anti-Sotus) และในปัจจุบันก็ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมเพื่อเพื่อน ซึ่งมีภารกิจติดตามให้ความช่วยเหลือนักโทษการเมือง
ทนายจำเลยถามถึงการประกอบธุรกิจของปิยรัฐ ปิยรัฐเบิกความว่าตนเองร่วมหุ้นกับเพื่อนประกอบธุรกิจขายสินค้าพลาสติกเบ็ดเตล็ด โดยจดทะเบียนตั้งบริษัทเพื่อเพื่อน วิสาหกิจเพื่อสังคม โดยบริษัทดังกล่าวตนเองเป็นผู้ถือหุ้น ส่วนทรงธรรมเป็นกรรมการ
ปิยรัฐเบิกความต่อว่าตนเองรู้จักกับจิรวัฒน์ จำเลยที่สองซึ่งประกอบอาชีพเป็นเซลล์ได้ประมาณหนึ่งปี ส่วนทรงธรรมจำเลยที่สามรู้จักหลังทำกิจกรรมร่วมกันที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี 2557
ทนายจำเลยถามว่า ปิยรัฐมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ เหตุใดจึงลงทะเบียนเพื่อออกเสียงนอกเขตจังหวัดที่เขตบางนา ปิยรัฐตอบว่า ตนเองทำงานและอาศัยอยู่ที่เขตบางนาจึงขอใช้สิทธินอกเขตจังหวัดเพื่อความสะดวก
ทนายจำเลยถามปิยรัฐว่า วันเกิดเหตุเดินทางมาที่หน่วยออกเสียงอย่างไร ปิยรัฐตอบว่าตนเองเดินทางมาที่หน่วยออกเสียงซึ่งตั้งอยู่ที่สำนักงานเพียงคนเดียวด้วยรถจักรยานยนต์
ทนายจำเลยถามว่า ก่อนเดินทางมาปิยรัฐได้ติดต่อกับจิรวัฒน์และทรงธรรมหรือไม่ ปิยรัฐเบิกความว่าโทรศัพท์คุยกับจิรวัฒน์และทรงธรรม โดยเป็นการคุยเรื่องธุรกิจเนื่องจากตนเองนัดหมายกับจิรวัฒน์และทรงธรรมไว้ว่า หลังการออกเสียงประชามติแล้วจะไปคุยธุรกิจกันต่อ
ปิยรัฐเบิกความต่อว่า วันเกิดเหตุตนเองมาถึงสำนักงานเขตบางนาในเวลาประมาณ 11.30 น. เมื่อมาถึงก็เห็นจิรวัฒน์บริเวณลานจอดรถ จึงเข้าไปทักทายจิรวัฒน์อยู่ครู่หนึ่งแล้วแยกตัวไปตรวจรายชื่อที่เตนท์อำนวยการ หลังจากนั้นจึงเดินไปที่หน่วยออกเสียงที่สาม เมื่อไปถึงก็เห็นทรงธรรมกำลังตรวจรายชื่ออยู่ที่บอร์ด จึงทักทายกันตามปกติจากนั้นจึงเข้าไปในหน่วยออกเสียง รับบัตรและเดินอ้อมคูหาลงคะแนนโดยไม่ได้เข้าไปกาบัตรลงคะแนน
ทนายจำเลยให้ปิยรัฐดูบัตรลงคะแนนที่ถูกฉีกในสำนวนแล้วถามว่าใช่บัตรที่ปิยรัฐฉีกหรือไม่ ปิยรัฐรับรองว่าใช่ จากนั้นจึงเบิกความต่อว่า ก่อนจะทำการฉีกบัตรได้ชูบัตรขึ้นเหนือศีรษะจากนั้นพูดว่า "เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ" และจึงฉีกบัตร ทนายจำเลยถามว่า ขณะฉีกบัตรปิยรัฐเห็นจิรวัฒน์และทรงธรรมหรือไม่ ปิยรัฐตอบว่า ตนไม่ได้สังเกต
ปิยรัฐเบิกความเล่าเหตุการณ์หลังฉีกบัตรลงคะแนนต่อว่า หลังทำการฉีกบัตร ด.ต.สมพรเข้ามาจับแขนตนพร้อมถามว่า ทราบหรือไม่ว่าการฉีกบัตรลงคะแนนเป็นความผิด จึงตอบไปว่า ทราบว่าเป็นความผิดตามมาตรา 59 ของพ.ร.บ.ประชามติฯ ปิยรัฐเบิกความต่อว่า รู้ว่าการฉีกบัตรเป็นความผิดเนื่องจากเคยศึกษากฎหมายมาก่อนและเคยฟังกกต.สมชัยพูดว่าการฉีกบัตรเป็นความผิด
หลังถูกควบคุมตัว ด.ต.สมพรให้ปิยรัฐนั่งรอบนเก้าอี้ที่อยู่ในหน่วยออกเสียง ซึ่งปิยรัฐได้ขอให้ด.ต.สมพรพาไปนั่งนอกหน่วยออกเสียงเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้มาใช้สิทธิคนอื่น
ทนายจำเลยถามว่า ขณะเกิดเหตุมีคนมาใช้สิทธิมากน้อยแค่ไหน ปิยรัฐตอบว่าเนื่องจากขณะนั้นเป็นเวลาพักกลางวัน จึงมีผู้มาใช้สิทธิไม่มาก ส่วนผู้ที่ใช้สิทธิใช้สิทธิตามปกติ
ทนายจำเลยให้ปิยรัฐดูภาพในสำนวน ปิยรัฐดูและเบิกความว่า เป็นภาพขณะที่ตนถูกนำตัวไปควบคุมบริเวณมุมตึกสำนักงานเขตบางนา ซึ่งในขณะนั้นทรงธรรมได้เดินมาถ่ายภาพตนด้วย
ปิยรัฐเบิกความต่อว่า ในขณะที่ตนถูกควบคุมตัวหลังก่อเหตุ เจ้าหน้าที่ตั้งข้อกล่าวหากับตนเพียงผู้เดียวและบอกว่าจะให้จิรวัฒน์และทรงธรรมไปที่สน.เพื่อเป็นพยาน
ทนายจำเลยถามต่อว่า ในหน่วยออกเสียงมีการติดประกาศข้อห้ามว่าอะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ไว้ที่หน่วยหรือไม่ ปิยรัฐตอบว่า ไม่มี
ทนายจำเลยขอให้ปิยรัฐเล่าถึงเหตุการณ์ขณะที่ถูกควบคุมตัวไปสน.บางนา ปิยรัฐเบิกความว่าเจ้าหน้าที่พาตนไปที่สน.บางนา โดยรถยนต์ของเจ้าหน้าที่โดยขณะนั้นตนเองถูกนำตัวไปเพียงคนเดียว จิรวัฒน์และทรงธรรมไม่ได้ถูกพาไปตัวด้วย ปิยรัฐเบิกความด้วยว่า รถที่ใช้ควบคุมตนเองไปสน.บางนายังมีที่นั่งว่างอยู่
ปิยรัฐเบิกความต่อว่า เมื่อตนเองถูกควบคุมตัวไปถึงสน.บางนา ก็ถูกพาตัวขึ้นไปชั้นสองเพื่อไปรอพบพนักงานสอบสวน โดยในขณะที่ตัวปิยรัฐไปถึงสน.เจ้าหน้าที่กำลังสอบปากหญิงคนหนึ่งซึ่งฉีกบัตรลงคะแนนเช่นเดียวกับตน
ปิยรัฐเบิกความต่อว่าระหว่างที่รอพนักงานสอบสวนก็มีเจ้าหน้าที่พาตนไปที่ห้องรับรองมีนายตำรวจระดับผู้การนั่งรออยู่และมีเจ้าหน้าที่แจ้งกับตนว่า การสอบสวนครั้งนี้จะมีการถ่ายทอดไปถึงคสช.ด้วย หลังจากถูกสอบปากคำในห้องรับรองปิยรัฐก็ถูกพาตัวไปอีกห้องหนึ่งซึ่งพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 59 ของพ.ร.บ.ประชามติฯ ทนายจำเลยถามว่า ปิยรัฐให้การกับพนักงานสอบสวนอย่างไร ปิยรัฐตอบว่า ยังไม่ให้การ
ปิยรัฐเบิกความต่อว่า ในเวลาประมาณ 18.00 น. พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหากับตนเพิ่มเติม ได้แก่ข้อหาทำลายทรัพย์สินราชการ และทำให้เสียทรัพย์ หลังจากนั้นในเวลาประมาณ 19.00 น. มีการแก้ไขสำนวนคดีอีกครั้งโดยมีการเพิ่มข้อหาร่วมกันก่อความวุ่นวายในหน่วยออกเสียงประชามติตามมาตรา 60 ของพ.ร.บ.ประชามติฯ ร่วมกับจิรวัฒน์และทรงธรรม
ปิยรัฐเบิกความย้อนไปถึงเหตุการณ์ช่วงหลังการจับกุมว่า หลังถูกนำตัวมาที่สน.บางนา เจ้าหน้าที่พาตนกลับไปที่สำนักงานเขตบางนาครั้งหนึ่งเพื่อทำการตรวจค้นรถจักรยานยนต์ของปิยรัฐแต่ไม่พบเอกสารหรือสิ่งผิดกฎหมายใดๆ หลังทำการตรวจค้นเจ้าหน้าที่เป็นผู้ขี่จักรยานยนต์ของตนไปที่สน.บางนา
ปิยรัฐเบิกความด้วยว่าในการตรวจค้นรถจักรยานยนต์ อภิชาต ซึ่งเป็นสมาชิกสมาคมเพื่อเพื่อนได้มาสังเกตการณ์การค้นรถจักรยานยนต์ของปิยรัฐด้วย
ทนายจำเลยถามปิยรัฐว่าเหตุใดจึงฉีกบัตรลงคะแนน ปิยรัฐเบิกความว่า เนื่องจากการออกเสียงประชามติครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองที่บีบคั้น ผู้ที่แสดงความคิดเห็นในทางไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญถูกดำเนินคดีหรือถูกปรับทัศนคติ ขณะเดียวกันคนที่แสดงออกในลักษณะเห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญกลับไม่ถูกดำเนินคดี
ปิยรัฐเบิกความเพิ่มเติมด้วยว่าประโยค "เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ" ที่ตนพูดขณะก่อเหตุเป็นคำพูดของครอง จันดาวงศ์ ที่พูดก่อนถูกจอมพลสฤษดิ์ประหารชีวิตด้วยมาตรา 17 ในประเด็นเกี่ยวกับความคิดทางการเมืองของจำเลยศาลไม่ได้บันทึกในสำนวน
ทนายจำเลยขออนุญาตศาลให้จำเลยดูคำพิพากษาฎีกาคดีอื่น ซึ่งมีประเด็นว่ากรณีที่มีกฎหมายเฉพาะบัญญัติการกระทำใดการกระทำหนึ่งซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายทั่วไปด้วย ให้ถือว่าจำเลยมีความผิดตามกฎหมายเฉพาะเท่านั้น แต่ศาลไม่อนุญาตโดยชี้แจงว่าการตีความข้อกฎหมายเป็นหน้าที่ของศาล ทนายจำเลยแถลงหมดคำถาม
ตอบอัยการถามค้าน
อัยการถามปิยรัฐว่าบริษัทเพื่อเพื่อนก่อตั้งก่อนหรือหลังเกิดเหตุ และทรงธรรมเข้ามาเป็นกรรมการเมื่อใด ปิยรัฐตอบว่า บริษัทเพื่อเพื่อนก่อตั้งในเดือนกรกฎาคม 2559 ส่วนทรงธรรมเข้ามาเป็นกรรมการบริษัทในวันที่ 1 สิงหาคม 2559 ซึ่งเป็นวันก่อนเกิดเหตุ
อัยการขอให้ปิยรัฐเล่าถึงความสัมพันธ์กับจิรวัฒน์และทรงธรรมว่ารู้จักกันมานานเท่าไหร่และมีความสัมพันธ์กันอย่างไร ปิยรัฐตอบว่า ตนรู้จักกับจิรวัฒน์มาประมาณหนึ่งปีโดยมีเพื่อนอีกคนเป็นผู้แนะนำ โดยความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับจิรวัฒน์ส่วนใหญ่เป็นเรื่องธุรกิจ สำหรับทรงธรรม ปิยรัฐเบิกความว่ารู้จักกันตั้งแต่ก่อนปี 2557
อัยการถามว่า ในวันเกิดเหตุปิยรัฐมาถึงที่เกิดเหตุกี่โมง ปิยรัฐตอบว่ามาถึงในเวลาประมาณ 11.30 น. อัยการถามว่า ที่ปิยรัฐเบิกความว่า เข้าไปที่เตนท์อำนวยการเข้าไปเพื่อทำอะไร อัยการยังขอให้ปิยรัฐระบุตำแหน่งเตนท์อำนวยการบนแผนที่จำลองที่เกิดเหตุด้วยเนื่องจากไม่มีเต็นท์ดังกล่าวบนแผนผัง
ปิยรัฐระบุตำแหน่งเต็นท์ดังกล่าวบนแผนที่และเบิกความว่าเหตุที่ไปที่เต็นท์อำนวยการเนื่องจากต้องการถามว่าหากไม่ใช้สิทธิจะมีผลทางกฎหมายหรือไม่และจะขอตัดชื่อตัวเองออกจากรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ แต่เจ้าหน้าที่ประจำเตนท์อำนายการไม่อาจให้คำตอบได้จึงเดินไปที่หน่วยออกเสียงที่สามซึ่งเป็นหน่วยที่ตนมีชื่อเป็นผู้มีสิทธิ
อัยการถามว่าปิยรัฐใช้เวลาอยู่ที่เตนท์อำนวยการนานเท่าใดและหลังจากนั้นไปไหนต่อ ปิยรัฐตอบว่า ใช้เวลาไม่นาน เมื่อทราบว่า เจ้าหน้าที่ไม่สามารถให้คำตอบได้ก็เดินมาที่หน่วยออกเสียงที่สามและพบจิรวัฒน์และทรงธรรมอยู่ที่หน้าหน่วยออกเสียง จึงได้ฝากกระเป๋าไว้แล้วเดินเข้าไปในหน่วยออกเสียงเพื่อใช้สิทธิ
อัยการถามว่า ตอนที่ปิยรัฐเข้าไปใช้สิทธิ ทราบหรือไม่ว่าจิรวัฒน์และทรงธรรมได้บันทึกภาพของปิยรัฐไว้ ปิยรัฐตอบว่าไม่ได้สังเกตว่า จิรวัฒน์และทรงธรรมเดินตามตนเองเข้าไปในหน่วยออกเสียงหรือไม่ แต่ได้ยินเสียงจิรวัฒน์พูดว่า ขอถ่ายภาพเพื่อนและได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดว่าตรงนี้ถ่ายไม่ได้ แต่ตอนนั้นตนเองไม่ได้หันไปดูเหตุการณ์
อัยการถามว่าระหว่างที่ปิยรัฐฉีกบัตรลงคะแนนได้สังเกตหรือไม่ว่า ตอนนั้นยืนอยู่ในเขตเส้นเหลืองหรือเปล่า ปิยรัฐตอบว่าไม่ได้สังเกตเส้นพลาสติกสีเหลือง แต่ก็ทราบว่าอยู่นอกเขตเพราะตนเดินเลยหีบบัตรมาแล้วจึงจะทำการฉีก
อัยการถามว่าระหว่างนั้นปิยรัฐเห็นหรือไม่ว่าจิรวัฒน์และทรงธรรมยืนอยู่ตรงจุดใด ปิยรัฐตอบว่าเห็นว่ายืนอยู่หลังบอร์ดรายชื่อ อัยการให้ปิยรัฐดูแผนผังจำลองที่เกิดเหตุ ปิยรัฐตอบว่าผังจำลองที่อัยการให้ดูระบุตำแหน่งไม่ตรงกับวันเกิดเหตุจริง
อัยการถามว่าตอนที่เจ้าหน้าที่ให้ปิยรัฐนั่งเก้าอี้ในหน่วยออกเสียง บริเวณที่นั่งอยู่ด้านในหรือด้านนอกแนวเส้นพลาสติกสีเหลือง ปิยรัฐตอบว่าตนเองนั่งอยู่ด้านนอกเส้นสีเหลือง
อัยการให้ปิยรัฐดูภาพถ่ายซึ่งบันทึกภาพขณะที่ปิยรัฐอยู่ด้านนอกหน่วยออกเสียงกับเจ้าหน้าที่ ปิยรัฐรับว่าเป็นภาพของตนและบอกว่าขณะนั้นตนถูกแจ้งข้อกล่าวหาแต่เพียงผู้เดียว
อัยการถามปิยรัฐว่า ในวันเกิดเหตุปิยรัฐชักชวนเพื่อนมาบันทึกภาพขณะฉีกบัตรใช่หรือไม่ ปิยรัฐตอบว่าไม่ใช่และเสริมว่าหากมีการวางแผนที่จะก่อเหตุร่วมกับเพื่อน ตนคงจะประสานให้ผู้สื่อข่าวมาทำข่าวแล้ว
ปิยรัฐเบิกความต่อว่า ในวันเกิดเหตุเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่จะให้จิรวัฒน์และทรงธรรมเป็นพยานในคดีเนื่องจากทั้งสองเป็นผู้มีคลิปหลักฐานและเจ้าหน้าที่เองก็ขอไฟล์วิดีโอจากจิรวัฒน์และทรงธรรมด้วย ปิยรัฐเบิกความด้วยว่า ขณะที่ตนเองถูกคุมตัวไปในรถยังมีที่ว่างแต่ไม่ทราบว่าจิรวัฒน์และทรงธรรมถูกคุมตัวไปสน.บางนาอย่างไร
อัยการถามปิยรัฐว่า ที่เบิกความว่าระหว่างการสอบสวนมีการถ่ายทอดวิดีโอไปที่คสช. ปิยรัฐยืนยันได้หรือไม่ว่ามีเจ้าหน้าที่คสช.ดูอยู่จริง ปิยรัฐตอบว่า ทราบจากคำบอกของเจ้าหน้าที่เท่านั้นแต่ไม่ได้เห็นเองว่ามีการถ่ายทอดจริงหรือไม่
อัยการถามว่าเรื่องเตนท์อำนวยการปิยรัฐไม่ได้เบิกความไว้ในชั้นสอบสวนใช่หรือไม่ ปิยรัฐรับว่า ใช่ อัยการถามว่าในชั้นสอบสวนได้ให้การไว้หรือไม่ ปิยรัฐตอบว่าในชั้นสอบสวนไม่ได้ให้การ ปิยรัฐย้ำกับอัยการว่า ตนเพียงแต่มีเจตนาฉีกบัตรลงคะแนนแต่ไม่ได้มีเจตนาก่อความวุ่นวายในหน่วยออกเสียง อัยการแถลงหมดคำถามค้าน
ตอบทนายจำเลยถามติง
ทนายจำเลยถามว่า ที่ปิยรัฐทราบว่าจิรวัฒน์และทรงธรรมยังไม่ถูกควบคุมตัวตอนที่อยู่ในที่เกิดเหตุทราบได้อย่างไร ปิยรัฐตอบว่า พอตนถูกควบคุมตัวเจ้าหน้าที่ก็ห้ามใช้โทรศัพท์ถ่ายภาพ แต่จิรวัฒน์และทรงธรรมยังคงใช้โทรศัพท์บันทึกภาพขณะตนถูกควบคุมตัวได้อยู่
นอกจากนี้ตอนที่ตนเองแจ้งเจ้าหน้าที่ว่า นำรถจักรยานยนต์มา จะขอนำจักรยานยนต์ไปที่สน.ด้วยตนเองเจ้าหน้าที่ก็ไม่อนุญาต แต่ในกรณีของจิรวัฒน์และทรงธรรมกลับให้นำรถไปได้ ทนายจำเลยแถลงหมดคำถาม
เนื่องจากการสืบพยานปากนี้เสร็จในเวลาเกือบ 12.00 น. ศาลจึงให้นำพยานปากที่สองและสามเข้าสืบต่อในช่วงบ่าย โดยศาลขึ้นบัลลังก์ในเวลาประมาณ 13.30 น.
สืบพยานจำเลยปากที่สอง จิรวัฒน์ จำเลยที่สองเบิกความเป็นพยานให้ตัวเอง
จิรวัฒน์เบิกความว่าตนเองสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ประกอบอาชีพเป็นพนักงานฝ่ายขายของบริษัทแห่งหนึ่ง ตนรู้จักกับปิยรัฐจำเลยที่หนึ่งเพราะมีเพื่อนอีกคนหนึ่งแนะนำให้รู้จัก
การติดต่อระหว่างตนเองกับปิยรัฐส่วนใหญ่เป็นการพูดคุยเรื่องธุรกิจ โดยติดต่อกันวันละหนึ่งถึงสองครั้ง โดยมีการติดต่อกันทั้งทางโทรศัพท์และสื่อสังคมออนไลน์
ในวันเกิดเหตุตนนัดกับปิยรัฐว่าจะคุยกันเรื่องธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ โดยนัดกันว่าเมื่อปิยรัฐออกเสียงเสร็จจะไปหาที่คุยกัน จิรวัฒน์เบิกความด้วยว่า ตนได้ไปใช้สิทธิที่หน่วยออกเสียงแถวบ้าน แล้วจึงเดินทางมาที่สำนักงานเขตบางนา
จิรวัฒน์เบิกความต่อว่า เมื่อมาถึงหน่วยออกเสียงประชามตินอกเขตจังหวัดที่สำนักงานเขตบางนาก็พบกับทรงธรรม จำเลยที่สามจึงพูดคุยกัน ทรงธรรมบอกกับตนว่า ตัวของทรงธรรมเป็นผู้มีสิทธิลงคะแนนที่หน่วยออกเสียงนี้และได้ขอตัวไปตรวจสอบรายชื่อ เมื่อทรงธรรมเดินจากไปตนจึงเดินไปที่ลานจอดรถและพบปิยรัฐ
จิรวัฒน์เบิกความต่อว่าเมื่อพบกันตนคุยกับปิยรัฐเพียงครู่เดียว ปิยรัฐก็ขอตัวไปที่เตนท์อำนวยการ เมื่อปิยรัฐแยกตัวออกไปจิรวัฒน์ก็เดินตามทรงธรรมไปที่หน่วยออกเสียงที่สาม
จิรวัฒน์เบิกความว่า เมื่อมาถึงหน่วยออกเสียงที่สาม ได้ถามกรรมการประจำหน่วยว่าสามารถจะถ่ายรูปได้ตรงไหนบ้าง กรรมการประจำหน่วยบอกว่า ให้ไปถ่ายด้านนอกหน่วยออกเสียงและยังบอกตนเองว่าให้ไปถามเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำหน่วย เมื่อจิรวัฒน์ไปถามด.ต.สมพร ก็ได้คำตอบว่าให้ออกไปถ่ายด้านนอกบอร์ดรายชื่อ
จิรวัฒน์เบิกความต่อว่า เมื่อด.ต.สมพรแนะนำให้ไปถ่ายภาพด้านนอก ก็ได้เดินออกมาเพื่อเตรียมถ่ายภาพปิยรัฐขณะใช้สิทธิซึ่งขณะนั้นปิยรัฐก็เดินออกมาและฉีกบัตร ตนจึงบันทึกภาพไว้
เมื่อปิยรัฐถูกพาตัวไปด้านนอกหน่วยออกเสียง จิรวัฒน์เบิกความว่าได้เดินตามไปด้วยและบันทึกภาพขณะที่ปิยรัฐพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ จิรวัฒน์เบิกความด้วยว่า ระหว่างที่บันทึกภาพมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถามและขอเบอร์โทรศัพท์เพื่อที่จะติดต่อขอคลิปวิดีโอซึ่งจิรวัฒน์ก็ให้ไป
ทนายจำเลยนำภาพถ่ายของปิยรัฐขณะที่นั่งอยู่มุมตึกสำนักงานเขตบางนามาให้ดูซึ่งจิรวัฒน์เบิกความรับว่าตนเองเป็นผู้ถ่าย
ทนายจำเลยขอให้จิรวัฒน์เล่าเรื่องหลังปิยรัฐถูกพาตัวไปที่สน.บางนาให้ฟัง จิรวัฒน์เบิกความว่าระหว่างที่ตนเดินไปที่ลานจอดรถเพื่อขับรถตามปิยรัฐไปที่สน. มีชายสองคนอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและแสดงบัตรประจำตัวให้ดูและถามว่าจะไปที่ไหน จึงตอบไปว่าจะไปที่สน.บางนา เจ้าหน้าที่สองคนขอติดรถไปด้วย พร้อมทั้งให้เหตุผลที่ขออาศัยรถของตนว่ารถที่เจ้าหน้าที่นำมาที่เต็มแล้ว
ทนายจำเลยถามว่า ขณะนั้นจิรวัฒน์ถูกควบคุมตัวหรือยัง จิรวัฒน์ตอบว่าขณะนั้นยังไม่ถูกควบคุมตัว
จิรวัฒน์เล่าต่อว่า เมื่อไปถึงสน.บางนาก็ยังไม่ถูกควบคุมตัว ตนสามารถเดินไปไหนมาไหนได้ปกติ ต่อมาเมื่อเริ่มมีสื่อมวลชนมาเจ้าหน้าที่ก็มาขอให้ไปรอที่ห้องรับรอง
เมื่อใกล้ถึงเวลา 20.00 น. ได้ยินว่ากระบวนการในคดีของปิยรัฐใกล้เสร็จแล้ว ตนจึงเดินไปที่รถยนต์เพื่อรอให้ปิยรัฐมาจะได้เดินทางกลับ แต่ระหว่างนั้นก็มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบมาแสดงตัวและบอกว่ายังกลับไม่ได้เพราะเขาถูกดำเนินคดี แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้แจ้งว่าเป็นข้อหาใด
ทนายจำเลยถามว่า ทราบหรือไม่ว่าปิยรัฐจะมาฉีกบัตร จิรวัฒน์ตอบว่าไม่ทราบมาก่อนว่าปิยรัฐจะมาฉีกบัตร ตนเพียงทราบว่าก่อนหน้านี้มีกรณีที่มีคนไปขีดชื่อตัวเองออกจากบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียง ตนเข้าใจว่าปิยรัฐจะไปทำเช่นนั้น
ทนายจำเลยถามว่า ในช่วงระหว่างเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุการออกเสียงเป็นไปโดยปกติหรือไม่ จิรวัฒน์ตอบว่ามีผู้มาออกเสียงตามปกติ ทนายจำเลยถามว่า ระหว่างที่ถ่ายคลิปยืนอยู่ตรงจุดใด จิรวัฒน์ตอบว่าตนยืนอยู่ด้านหลังบอร์ดรายชื่อ ทนายจำเลยแถลงหมดคำถาม
ตอบอัยการถามค้าน
อัยการถามว่า ในการประกอบอาชีพเซลล์จิรวัฒน์ขายสินค้าประเภทใด จิรวัฒน์ตอบว่าตนเป็นเซลล์ค้าไม้ อัยการถามว่าร้านค้าของปิยรัฐขายพวกสินค้าพลาสติกเหตุใดจึงมาคุยกับจิรวัฒน์ จิรวัฒน์ตอบว่าปิยรัฐมีแนวคิดที่จะทำธุรกิจเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์ จึงมาปรึกษาตนซึ่งมีความรู้ด้านนี้
อัยการถามว่า จิรวัฒน์พบกับปิยรัฐบ่อยแค่ไหน จิรวัฒน์ตอบว่าเจอกันประมาณเดือนละสองถึงสามครั้ง อัยการถามว่า ในวันเกิดเหตุทำไมจิรวัฒน์กับพวกจึงนัดกันที่หน่วยออกเสียง
จิรวัฒน์ตอบว่าที่นัดกันที่หน่วยออกเสียงเป็นเพราะทรงธรรมไม่มีรถยนต์และเป็นผู้มีสิทธิลงคะแนนที่หน่วยออกเสียงเดียวกับปิยรัฐ จึงได้นัดพบกันที่หน่วยออกเสียงเพื่อจะได้รับทรงธรรมไปทำธุระด้วยกันต่อเมื่อออกเสียงเสร็จ
อัยการถามว่า จิรวัฒน์รู้จักทรงธรรมเมื่อใด จิรวัฒน์ตอบว่า รู้จักช่วงเวลาไล่เลี่ยกับปิยรัฐ อัยการให้จิรวัฒน์ดูแผนผังจำลองเหตุการณ์วันเกิดเหตุ จิรวัฒน์ตอบว่าผังจำลองเหตุการณ์ที่อัยการให้ดูไม่ถูกต้องตามเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ และในวันเกิดเหตุตนขออนุญาตเจ้าหน้าที่ก่อนที่จะถ่ายภาพ
จิรวัฒน์เบิกความตอบอัยการด้วยว่าตามภาพจำลองซึ่งเป็นภาพขณะที่ปิยรัฐถูกควบคุมตัวอยู่นอกหน่วยออกเสียง จิรวัฒน์ยังไม่ถูกจับกุม จิรวัฒน์เบิกความด้วยว่าตนเองไม่ได้ลงชื่อในภาพจำลองเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่จัดทำขึ้น
อัยการถามว่า ทราบหรือไม่ว่าปิยรัฐจะมาฉีกบัตร จิรวัฒน์ตอบว่าตนคาดว่าปิยรัฐจะมาขีดชื่อออกจากบัญชีรายชื่อจึงเตรียมจะถ่ายคลิปขณะที่ปิยรัฐขีดชื่อออกจากบัญชีรายชื่อ
อัยการถามว่าขณะที่จิรวัฒน์ถ่ายวิดีโอ ในมุมกล้องที่ถ่ายปรากฎภาพว่ามีคนมาใช้สิทธิตามปกติ แต่เหตุการณ์นอกมุมกล้องจิรวัฒน์ไม่เห็นใช่หรือไม่ จิรวัฒน์ตอบว่าตนเห็นภาพนอกมุมกล้องด้วยและขณะนั้นในที่เกิดเหตุก็ไม่มีเสียงวุ่นวาย พร้อมทั้งยืนยันว่าตนไม่ได้นัดแนะกับปิยรัฐมาก่อเหตุ
อัยการถามว่า จิรวัฒน์เคยรู้จักหรือมีเหตุโกรธเคืองกับเจ้าหน้าที่หรือพยานโจทก์ที่มาเบิกความหรือไม่ จิรวัฒน์ตอบว่าไม่เคย อัยการแถลงหมดคำถามค้าน
ตอบทนายจำเลยถามติง
ทนายจำเลยถามว่า ที่ตอบอัยการว่ามีการติดต่อกับปิยรัฐ จิรวัฒน์ติดต่อถี่แค่ไหน จิรวัฒน์ตอบว่า ติดต่อเฉพาะเวลาต้องพูดคุยเรื่องธุรกิจเท่านั้น และไม่ได้ติดต่อบ่อยเหมือนติดต่อเพื่อนคนอื่น
ทนายจำเลยถามว่าที่ ตอบอัยการว่าไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับพยานโจทก์มาก่อน คิดว่าเหตุใดพยานโจทก์จึงร้องทุกข์ให้ดำเนินคดี จิรวัฒน์เบิกความว่าอาจเป็นเพราะการแสดงออกถึงจุดยืนทางการเมืองของตนบนเฟซบุ๊กที่มีลักษณะเห็นต่างจากคสช.
ทนายจำเลยถามว่าที่ตอบว่าไม่ได้เตรียมการกับปิยรัฐมาก่อน เหตุใดจึงถ่ายคลิปขณะปิยรัฐก่อเหตุ จิรวัฒน์ตอบว่าตนเป็นคนที่ถ่ายภาพขึ้นเฟซบุ๊กเป็นประจำอยู่แล้ว และหากการกระทำครั้งนี้มีการเตรียมการตนก็จะแจ้งสื่อและไปยืนถ่ายภาพข้างหลังสื่อ ทนายจำเลยแถลงหมดคำถาม ศาลให้ทรงธรรมขึ้นเบิกความต่อทันที
สืบพยานจำเลยปากที่สาม ทรงธรรม ทรงธรรมเบิกความเป็นพยานให้ตัวเอง
ทรงธรรมเบิกความว่าตนเองสำเร็จการศึกษาระดับปวช.วิทยาลัยเทคโนโลยีพระรามหก ปัจจุบันประกอบธุรกิจส่วนตัว ทรงธรรมเบิกความว่า ตนรู้จักกับปิยรัฐ จำเลยที่หนึ่งผ่านเฟซบุ๊กเพจแอนตี้โซตัสที่ปิยรัฐเคยเป็นเลขาธิการ
หลังเกิดการรัฐประหารในปี 2557 ตนกับปิยรัฐก็เคยทำกิจกรรมคัดค้านการรัฐประหารร่วมกัน นอกจากการทำกิจกรรมทางการเมืองปิยรัฐกับตนก็ทำธุรกิจร่วมกันด้วยโดยเปิดร้านขายของใช้เบ็ดเตล็ดราคาชิ้นละ 10 – 20 บาท มาตั้งแต่ปี 2558
ทนายจำเลยถามว่า ตามปกติทรงธรรมกับปิยรัฐติดต่อกันอย่างไร ทรงธรรมตอบว่า ใช้ทั้งโทรศัพท์และติดต่อผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ช่วงวันเสาร์อาทิตย์ปิยรัฐจะมารับตนที่สถานีรถไฟฟ้าบางนาเพื่อเข้าไปดูร้าน
ทรงธรรมเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุเดินทางมาที่สำนักงานเขตบางนาเพื่อมาใช้สิทธิเนื่องจากตนเองเป็นผู้มีสิทธิออกเสียงในหน่วยดังกล่าวโดยขามาเดินทางมาคนเดียว เมื่อมาถึงสำนักงานเขตบางนาก็ไปที่เตนท์อำนวยการก่อนเพื่อตรวจรายชื่อว่าต้องไปใช้สิทธิที่หน่วยออกเสียงที่เท่าไหร่ แต่ตอนเช้ายังหาไม่เจอชื่อของตัวเอง
ทรงธรรมเบิกความเพิ่มเติมถึงลักษณะหน่วยออกเสียงว่า ตอนที่เดินตรวจรายชื่อสามารถเดินทะลุจากหน่วยออกเสียงที่หนึ่งถึงที่สี่เพื่อตรวจรายชื่อได้ และในหน่วยออกเสียงก็ไม่มีการติดป้ายห้ามทำการใดๆ ทรงธรรมเบิกความต่อว่า ตนพบจิรวัฒน์ จำเลยที่สองบริเวณหน่วยออกเสียงในเวลาประมาณ 9.00 น.
ทนายจำเลยถามทรงธรรมว่า พบกับปิยรัฐในเวลาประมาณกี่โมง ทรงธรรมตอบว่าพบในเวลาประมาณ 12.00 น. ทนายจำเลยถามว่า ทรงธรรมได้ใช้สิทธิหรือยังก่อนที่ปิยรัฐจะมา ทรงธรรมตอบว่า ช่วงเช้ามีคนมาใช้สิทธิเยอะจึงตัดสินใจรอปิยรัฐมาก่อนเพื่อใช้สิทธิพร้อมกันและจะได้ไปทำธุระกันต่อ
ทนายจำเลยถามว่าทรงธรรมพบปิยรัฐบริเวณไหน ทรงธรรมตอบว่าบริเวณบอร์ดรายชื่อ เมื่อพบกันก็ทักทายกันตามปกติ ปิยรัฐบอกว่าพบรายชื่อแล้วและจะเข้าไปใช้สิทธิในหน่วยออกเสียงที่สาม
ทรงธรรมเบิกความต่อว่า ตนได้ถามเจ้าหน้าที่ว่าจะขอถ่ายภาพเพื่อนได้ไหม ทนายจำเลยถามว่า จุดที่ยืนถ่ายคือจุดใด ทรงธรรมตอบว่าเป็นบริเวณหลังบอร์ดรายชื่อ โดยขณะที่ถ่ายตั้งใจจะถ่ายตอนปิยรัฐใช้สิทธิและตนเองก็ไม่ทราบมาก่อนว่าปิยรัฐจะฉีกบัตร และเมื่อปิยรัฐฉีกตนก็ไม่ได้ทำท่าทางสนับสนุนหรือยินดีแต่อย่างไร
ทนายจำเลยถามถึงเหตุการณ์ในหน่วยออกเสียงโดยทั่วไปขณะเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุ ทรงธรรมตอบว่าสถานการณ์โดยทั่วไปปกติ ไม่มีคนแสดงอาการแตกตื่นและใช้สิทธิกันตามปกติ ทนายจำเลยถามว่า หลังเจ้าหน้าที่จับกุมปิยรัฐ ทรงธรรมถูกควบคุมตัวหรือไม่ ทรงธรรมตอบว่า ไม่
ทรงธรรมเบิกความว่าหลังปิยรัฐถูกจับ เจ้าหน้าที่นำเก้าอี้มาให้เขานั่งในหน่วยออกเสียงที่สามอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพาไปนั่งด้านนอก ด.ต.สมพรผู้จับกุมปิยรัฐสอบถามตนว่าปิยรัฐเป็นใครและได้ขอเบอร์โทรศัพท์ของตนไปด้วย ด.ต.สมพรยังได้ต่อโทรศัพท์ถึงผู้บังคับบัญชาและยื่นโทรศัพท์ให้ตนพูดคุยกับผู้บังคับบัญชาด้วย
ทนายจำเลยให้ทรงธรรมดูภาพถ่ายขณะที่ปิยรัฐถุกควบคุมในรถ ทรงธรรมเบิกความว่าภาพดังกล่าวตนเป็นผู้ถ่ายขณะปิยรัฐถุกควบคุมตัวบนรถของเจ้าหน้าที่ ซึ่งขณะนั้นที่นั่งบนรถยังว่าแต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้สั่งให้ตนตามขึ้นรถไปแต่อย่างใด
ทรงธรรมเบิกความต่อว่า หลังจากปิยรัฐถูกเอาตัวไปตนก็ไปเข้าห้องน้ำ เมื่อออกมาเห็นจิรวัฒน์เดินไปที่ลานจอดรถโดยมีชายสองคนท่าทางมีพิรุธเดินตามไปด้วย จึงเร่งตามไปด้วยความเป็นห่วงเพราะหลังการรัฐประหารมีกรณีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบจับตัวคนไปโดยไม่ให้พบทนายความอยู่บ่อยๆ
เมื่อตามไปถึงรถยนต์ปรากฎว่าประตูปิดแล้ว จึงตัดสินใจเปิดประตูและขึ้นไปนั่งบนรถจึงทราบว่าชายทั้งสองคนเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ โดยขณะที่นั่งก็ไม่มีการแจ้งข้อหาหรือแจ้งสิทธิแต่อย่างใด
ทนายจำเลยให้ทรงธรรมเล่าถึงเหตุการณ์ที่สน.บางนา ทรงธรรมตอบว่าพวกตนไปถึงสน.บางนาประมาณ 13.00 น. เมื่อไปถึงก็ไม่มีการควบคุมตัวสามารถเดินไปไหนมาไหนได้ ตนจึงรีบตามหาปิยรัฐเพราะเป็นห่วง และต้องการแจ้งปิยรัฐว่าอย่าพึ่งให้การจนกว่าจะมีทนายความ
เบื้องต้นตนเองเดินหาปิยรัฐบริเวณชั้นล่างของสน.แต่ไม่เจอตัว จึงขึ้นไปที่ชั้นสอง เห็นห้องรับรองมีเจ้าหน้าที่ทหารนอกเครื่องแบบสองคนนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้อง ตนพยายามเปิดประตูเข้าไปเห็นมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่นั่งอยู่หลายนาย
นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ถามด้วยลักษณะไม่พอใจว่าตนเป็นใครเปิดประตูเข้ามาได้อย่างไร ตำรวจชั้นผู้น้อยคนหนึ่งที่อยู่ในห้องก็คว้าโทรศัพท์ของตนไปและบอกว่าจะเอาไปลบรูป แต่ขณะนั้นตนยังไม่ได้ถ่ายรูปอะไร
ทรงธรรมเบิกความต่อว่า หลังจากนั้นตนก็ยังเดินไปไหนมาไหนได้ตามปกติ จนเมื่อใกล้เวลา 20.00 น.จึงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาแจ้งว่าตนถูกตั้งข้อกล่าวหาก่อความวุ่นวายในหน่วยออกเสียงด้วยการถ่ายคลิปวิดีโอขณะปิยรัฐก่อเหตุโพสต์บนโลกออนไลน์ ทนายจำเลยแถลงหมดคำถาม
ตอบอัยการถามค้าน
อัยการถามทรงธรรมว่า ภูมิลำเนาของทรงธรรมอยู่ที่บางบัวทองเหตุใดจึงมาขอใช้สิทธินอกเขตจังหวัดที่สำนักงานเขตบางนา ทรงธรรมตอบว่า ตนเองลงทะเบียนใช้สิทธินอกเขตเนื่องจากวันเกิดเหตุจะต้องเดินทางมาที่แถวบางนาเพื่อพูดคุยธุรกิจกับปิยรัฐและจิรวัฒน์อยู่แล้ว
อัยการถามว่าวันเกิดเหตุมีใครมารับทรงธรรมหรือไม่ ทรงธรรมตอบว่า ในวันเกิดเหตุปิยรัฐติดธุระในช่วงเช้าตนจึงเดินทางมาที่สำนักงานเขตบางนาด้วยตัวเอง
อัยการถามว่า ทรงธรรมเบิกความตอบทนายโจทก์ว่า มาถึงที่เกิดเหตุแต่เช้าแล้วเหตุใดจึงไม่ใช้สิทธิ ทรงธรรมตอบว่าในช่วงเช้ามีคนมาใช้สิทธิมาก ตนจึงตั้งใจจะรอใช้สิทธิพร้อมปิยรัฐเพราะคิดว่าเมื่อปิยรัฐมาถึงคนน่าจะซาแล้ว
อัยการถามว่า สรุปแล้วในวันเกิดเหตุทรงธรรมได้สิทธิหรือไม่ ทรงธรรมตอบว่าไม่ได้ใช้ เนื่องจากตอนเช้าตนรอปิยรัฐเพื่อใช้สิทธิพร้อมกัน แต่เมื่อปิยรัฐถูกจับตนก็เป็นห่วงจึงตามไปที่สน.ทำให้ไม่ได้ใช้สิทธิ
อัยการถามทรงธรรมว่า ทราบเรื่องกฎหมายเกี่ยวกับการออกเสียงประชามติหรือไม่ ทรงธรรมตอบว่า ได้ศึกษากฎหมายมาบ้างแต่เชื่อว่าการกระทำของตนไม่เป็นความผิด
อัยการถามว่า เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยออกเสียงรวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นพยานในคดีนี้เคยมีเหตุโกรธเคืองกับทรงธรรมหรือไม่ ทรงธรรมตอบว่า ไม่เคย
อัยการถามต่อว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นเหตุใดจึงมาเบิกความเป็นพยานปรักปรำทรงธรรม ทรงธรรมเบิกความว่า แม้ตนไม่เคยรู้จักพยานโจทก์มาก่อน แต่การที่พยานโจทก์หลายคนเป็นข้าราชการก็มีความเป็นไปได้ว่าจะมีผู้มีอำนาจกดดันให้ปรักปรำตนซึ่งเป็นคนทีแสดงออกในลักษณะเห็นต่างจากผู้มีอำนาจ
อัยการให้ทรงธรรมดูภาพถ่ายที่บันทึกมาจากภาพวิดีโอคลิปกับภาพจำลองเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่จัดทำ ทรงธรรมรับรองภาพถ่ายที่บันทึกหน้าจอมาจากภาพวิดีโอคลิป แต่ไม่รับรองภาพจำลองเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่จัดทำขึ้นโดยระบุว่าภาพดังกล่าวผิดจากข้อเท็จจริงในวันเกิดเหตุ
อัยการให้ทรงธรรมดูข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของทรงธรรมที่พยานโจทก์ซึ่งจัดทำโดยผู้ให้บริการเครือข่ายสัญญาณเอไอเอสแล้วถามว่าทรงธรรมได้โทรติดต่อกับปิยรัฐในวันเกิดเหตุหรือไม่ ทรงธรรมตอบว่าตนติดต่อกับปิยรัฐจริง แต่ไม่ขอรับรองเอกสารที่อัยการให้ดูเพราะเอกสารดังกล่าวเป็นไฟล์เอ็กเซล (Excel) ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงทำปลอมได้
อัยการถามว่าที่ตามคลิปวิดีโอไม่มีเหตุการณ์วุ่นวาย แต่ทรงธรรมก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเหตุการณ์นอกมุมกล้องจะมีความวุ่นวายใช่หรือไม่ ทรงธรรมตอบว่าสามารถยืนยันได้เนื่องจากตนมองเหตุการณ์รอบข้างไปด้วยขณะบันทึกวิดีโอ
อัยการถามว่าพฤติการณ์ของทรงธรรมกับพวกซึ่งมีการโพสต์ข้อความเรื่องการเมือง มีการฉีกบัตรและการถ่ายภาพลงสื่อสังคมออนไลน์ย่อมทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นการก่อเหตุในลักษณะแบ่งงานกันทำใช่หรือไม่ ทรงธรรมตอบว่า ตนนัดหมายกับจิรวัฒน์ที่สามมาพบที่สำนักงานเขตจริง แต่ไม่ได้นัดหมายมาถ่ายภาพ
อัยการถามว่าในชั้นสอบสวนทรงธรรมให้การว่าอย่างไร ทรงธรรมตอบว่า ไม่ได้ให้การเพราะประสงค์จะให้การในชั้นศาล
อัยการถามว่า ตอนที่เจ้าหน้าที่ขึ้นรถจิรวัฒน์ทราบได้อย่างไรว่าไม่ใช่การควบคุมตัว ทรงธรรมเบิกความว่า ทราบเพราะตอนจิรวัฒน์ไปขึ้นรถเป็นการเดินที่รถด้วยตนเองแล้วเจ้าหน้าที่เดินตามหลังไป ไม่ใช่ถูกควบคุมตัวไปที่รถและหากมีการจับกุมจิรวัฒน์คงไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถไปสน.บางนา อัยการแถลงหมดคำถามค้าน
ตอบทนายจำเลยถามติง
ทนายจำเลยถามว่า เหตุใดทรงธรรมจึงเลือกมาใช้สิทธินอกเขตจังหวัดที่เขตบางนา ทรงธรรมตอบว่า เนื่องจากหน่วยออกเสียงนี้อยู่ใกล้ร้านที่ตนต้องไปเฝ้า
ทนายจำเลยถามว่า นอกจากเรื่องการเมืองแล้ว ทรงธรรมโพสต์เฟซบุ๊กเรื่องอื่นด้วยหรือไม่ ทรงธรรมตอบว่า โพสต์เรื่องอื่นด้วยแต่เจ้าหน้าที่บันทึกภาพหน้าจอมาเฉพาะเรื่องการเมือง
ทนายจำเลยถามว่าเหตุใดทรงธรรมจึงเห็นว่า ภาพจำลองเหตุการณ์ไม่ถูกต้องและไม่ยอมลงชื่อ ทรงธรรมตอบว่า เนื่องจากภาพจำลองถูกจัดทำขึ้นหลังวันเกิดเหตุลับหลังตน ทั้งที่เจ้าหน้าที่มีอำนาจเรียกตนมาร่วมทำภาพจำลองเหตุการณ์ได้
ทนายจำเลยแถลงหมดคำถามและแถลงว่าหมดพยานที่จะนำสืบในวันนี้ ศาลนัดสืบพยานจำเลยต่อในวันที่ 8 สิงหาคม 2560 โดยกำชับให้คู่ความถามคำถามอย่างกระชับ
8 สิงหาคม 2560
นัดสืบพยานจำเลย
ในวันนี้ศาลเริ่มกระบวนพิจารณาในเวลาประมาณ 9.45 น. ทนายจำเลยแถลงต่อศาลว่าขอตัดพยานที่กำหนดจะนำเข้าสืบในวันนี้เนื่องจากสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้งติดภารกิจไม่สามารถมาศาลได้และทางจำเลยไม่ติดใจสืบพยานปากนี้แล้ว
ส่วนพยานจำเลยอีกปากหนึ่งคือ สมชาย ปรีชาศิลปกุล นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทางจำเลยก็ไม่ติดใจจะสืบพยานแล้วเช่นกันและฝ่ายจำเลยไม่ประสงค์นำพยานเข้าเบิกความต่อศาลแล้ว ศาลจึงสั่งให้ยกเลิกนัดสืบพยานในวันนี้
ทนายจำเลยแถลงต่อศาลว่าจำเลยทั้งสามประสงค์จะส่งคำแถลงปิดคดีเป็นลายลักษณ์อักษรภายในสามสิบวันแต่ศาลเห็นว่านานเกินไปจึงขอให้ส่งคำแถลงปิดคดีภายในสิบห้าวันแทนและนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 18 กันยายน 2560
ปิยรัฐ จำเลยที่หนึ่งแถลงต่อศาลว่า ในวันที่ศาลนัดติดภารกิจไม่สามารถมาศาลได้ ศาลจึงสั่งให้เลื่อนไปฟังคำพิพากษาในวันที่ 19 กันยายน 2560 แทน พร้อมทั้งให้เหตุผลที่ใช้เวลานานในการนัดฟังคำพิพากษาว่า เนื่องจากต้องรอจำเลยส่งคำแถลงปิดคดีและต้องส่งร่างคำพิพากษาให้สำนักงานอธิบดีภาคหนึ่งตรวจ
จำเลยทั้งสามถ่ายภาพร่วมกันที่หน้าศาลจังหวัดพระโขนงในวันที่ 8 สิงหาคม 2560 หลังเสร็จสิ้นการสืบพยาน
หลังเสร็จการพิจารณาปิยรัฐ จำเลยที่หนึ่งให้สัมภาษณ์สั้นๆว่า ตนไม่กังวลข้อกล่าวหาฉีกบัตรตามพ.ร.บ.ประชามติฯที่ตนรับสารภาพไปแล้ว แต่กังวลข้อกล่าวหาร่วมกันก่อความวุ่นวายในหน่วยออกเสียง มีโทษจำคุกสูงถึงสิบปี ซึ่งขณะเกิดเหตุตนก็ไม่ได้ก่อความวุ่นวายหรือขัดขวางบุคคลอื่นในการใช้สิทธิแต่อย่างใด
ด้านจิรวัฒน์ จำเลยที่สองระบุว่ามั่นใจในพยานหลักฐานที่ฝ่ายตนนำสืบต่อสู้คดีและหวังว่าศาลจะมีคำพิพากษายกฟ้องพวกตนในที่สุด เนื่องจากการกระทำของตนเป็นเพียงการถ่ายภาพเหมือนที่สื่อมวลชนทำ ไม่ได้ก่อความวุ่นวายหรือขัดขวางการใช้สิทธิของผู้ใด
ขณะที่ทรงธรรม จำเลยที่สามระบุว่ามั่นใจว่าการกระทำของตนกับจิรวัฒน์ไม่น่าจะเป็นความผิด และหวังว่า ศาลจะพิจารณาลงโทษสถานเบากับจำเลยที่หนึ่งในข้อหาฉีกบัตรออกเสียงตามพ.ร.บ.ประชามติฯ ที่ปิยรัฐรับสารภาพไปแล้ว
จิรวัฒน์ ทรงธรรม และปิยรัฐ (จากซ้ายไปขวา) ถ่ายภาพร่วมกันหลังฟังคำพิพากษาที่ศาลจังหวัดพระโขนง
หลังศาลมีคำพิพากษาจิรวัฒน์ จำเลยที่ 2 ให้สัมภาษณ์สั้นๆว่า ตามหลักการคดีนี้ไม่ควรนำมาฟ้องเป็นคดีตั้งแต่ต้น แต่เมื่อถูกดำเนินคดีแล้วตนก็ต่อสู้ตามกระบวนการเพื่อพิสูจน์ว่าการกระทำของตนและพวกไม่ได้ไปละเมิดสิทธิของบุคคลใด สำหรับการประชามติที่เกิดขึ้นในฐานะที่เคยศึกษาวิชารัฐศาสตร์ ตนมองว่าเป็นความพยายามของผู้ยึดอำนาจในการสถาปนาความชอบธรรม เป็นการโอนอำนาจที่ได้จากการยึดอำนาจไปเป็นอำนาจตามรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อผู้ออกเสียงส่วนใหญ่ยอมรับรัฐธรรมนูญนี้ตนก็เคารพและยอมรับการตัดสินใจดังกล่าว
ปิยรัฐโชว์ใบเสร็จรับเงินค่าปรับและเงิน 500 บาทที่ได้รับคืนเพราะถูกคุมขังในเรือนจำเป็นเวลาหนึ่งคืน
ปิยรัฐระบุด้วยว่าเมื่อตนไปจ่ายค่าปรับจำนวนสองพันบาทตามคำสั่งศาล เจ้าหน้าที่ศาลคืนเงินให้ตนห้าร้อยบาทเพื่อชดเชยที่ตนถูกคุมขังในเรือนจำระหว่างรอพิจารณาคดีเป็นเวลาหนึ่งคืน
15 สิงหาคม 2561
นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ปิยรัฐและทรงธรรมเดินทางมาถึงศาลจังหวัดพระโขนงเพื่อฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตั้งแต่ก่อนเวลา 8.30 น. โดยมีกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่ถูกดำเนิคดีชุมนุมฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 จำนวนหนึ่งมาให้กำลังใจจำเลยทั้งสามที่ศาล
ประมาณ 8.50 น. จำเลยทั้งสามและทนายจำเลยจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนออกมาถ่ายภาพร่วมกันที่หน้าศาลจังหวัดพระโขนง แต่ยังไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ โดยแจ้งว่าจะให้สัมภาษณ์หลังฟังคำพิพากษาแล้ว
ส่วนจำเลยที่หนึ่งที่ศาลชั้นต้นเคยแยกความผิดฐานฉีกบัตรออกจากความผิดฐานร่วมกันก่อความวุ่นวายในหน่วยออกเสียงประชามติ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าการกระทำความผิดฐานฉีกบัตรและฐานร่วมกันก่อความวุ่นวายเป็นการกระทำที่มีเจตนาเดียวกัน มีลักษณะเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ไม่ใช่การกระทำที่แยกจากกัน
นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา
จากการสอบถามประชาชนที่มาร่วมสังเกตการณ์ในศาลได้ข้อมูลว่าวันนี้ศาลจังหวัดพระโขนงนัดพิจารณาคดีสำคัญคดีอื่นด้วยศาลจึงวางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
สำหรับคดีของปิยรัฐ ศาลไม่ให้บุคคลอื่นนอกจากทนายความหรือจำเลยเข้าไปในห้องพิจารณาคดี แต่ได้ถ่ายทอดสดการอ่านคำพิพากษามาที่โถงชั้นล่างของศาลเพื่อให้ประชาชนที่มีรอสังเกตการณ์ฺได้ฟังคำพิพากษาไปพร้อมกับที่มีการอ่านคำพิพากษาในห้อง
คำพิพากษา
สรุปคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่หนึ่งให้การรับสารภาพว่ามีเจตนาที่จะทำลายบัตรออกเสียงประชามติ และบัตรดังกล่าวเป็นทรัพย์ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง จึงถือว่าจำเลยมีความผิดดฐานทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358
สรุปคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ข้อนี้แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่า การฉีกบัตรออกเสียงประชามติของจำเลย เป็นทั้งการทำลายทรัพย์ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นการทำลายบัตรที่มีไว้เพื่อการออกเสียงประชามติโดยไม่มีอำนาจกระทำได้ และเป็นการทำลายเอกสารของผู้อื่น แต่จำเลยที่หนึ่งกระทำการในคราวเดียวโดยมีเจตนาทำลายบัตรออกเสียงประชามติ
เช่นนี้ก็จะไม่อาจนำโทษตามพ.ร.บ.ประชามติมาตรา 59 วรรคหนึ่ง มาบังคับใช้ได้เลย จึงย่อมไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการบัญญัติพ.ร.บ.ประชามติฯ ขึ้นเป็นพิเศษ เมื่อการทำลายบัตรประชามติมีการบัญญัติไว้ในกฎหมายเป็นการเฉพาะแล้ว การปรับโทษจำเลยที่หนึ่งจึงต้องปรับตามโทษที่บัญญัติขึ้นเป็นการเฉพาะโดยไม่ต้องปรับบททั่วไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188 และ 358 อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
ส่วนจำเลยที่หนึ่งเมื่อรับบัตรลงคะแนนก็ไม่ได้นำไปใช้สิทธิตามหน้าที่หรือตามสิทธิ แต่กลับนำไปฉีกทำลายพร้อมทั้งตะโกนคำว่า "เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ" จากนั้นจำเลยทั้งสามร่วมกันนำวิดีโอคลิปเหตุการณ์ดังกล่าวเผยแพร่ในเฟซบุ๊กของจำเลยที่สองและสามต่อสาธารณะเพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายและโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นการร่วมกันก่อความวุ่นวายหรือกระทำการอันเป็นการรบกวนในหน่วยออกเสียง
จากนั้นจึงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำหน่วยออกเสียงมากันตัวทั้งสองออกไป นอกจากนี้โจทก์ก็มีพยานซึ่งเป็นกรรมการประจำหน่วยออกเสียงมาเบิกความว่า จำเลยที่สองและสามไปที่บอร์ดติดรายชื่อผู้มีสิทธิเพื่อถ่ายวิดีโอจำเลยที่หนึ่งขณะก่อเหตุ นอกจากนี้พยานโจทก์ที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ทำการตรวจสอบเฟซบุ๊กของจำเลยทั้งสามมายืนยันว่า จำเลยทั้งสามมีการแชร์วีดีโอตามฟ้องในคดีนี้ร่วมกัน และเมื่อทำการตรวจสอบเฟซบุ๊กของจำเลยทั้งสามก็พบว่า มีความเชื่อมโยงกันและมีการแสดงออกทางการเมืองร่วมกันมาโดยตลอด
พยานโจทก์ที่มาเบิกความต่อศาลเป็นเพียงเจ้าพนักงานตามหน้าที่ ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงเชื่อว่าเบิกความไปตามจริง เมื่อฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามมีพฤติการณ์แสดงความคิดเห็นทางการเมืองร่วมกันมาโดยตลอด ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ และในวันเกิดเหตุจำเลยทั้งสามก็ไปถึงสถานที่ออกเสียงในเวลาไล่เลี่ยกัน จำเลยที่สองและสามมีพฤติการณ์จะเข้าไปถ่ายรูปจำเลยที่หนึ่งในหน่วยออกเสียง และเมื่อถูกกันตัวออกจากหน่วยออกเสียงทั้งสองก็ยังรอจะถ่ายวิดีโอ และได้บันทึกเหตุการณ์ขณะที่จำเลยฉีกบัตรและพูดว่า "เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ" และนำวิดีโอดังกล่าวไปเผยแพร่ในเฟซบุ๊กของจำเลยที่สองและสาม
พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสามจึงมีลักษณะเป็นการตระเตรียมการร่วมกัน เพื่อหวังผลแห่งการกระทำของจำเลยที่หนึ่ง ในลักษณะเป็นตัวการร่วม เมื่อการฉีกบัตรของจำเลยที่หนึ่งเป็นผลจากการกระทำในเจตนาร่วม การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงถือเป็นการร่วมกันก่อความวุ่นวายในหน่วยออกเสียงตามพ.ร.บ.ประชามติฯ มาตรา 60(9) อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ในกรณีนี้เมื่อจำเลยที่หนึ่งรับบัตรลงคะแนนประชามติมาแล้ว กฎหมายบัญญัติว่า จำเลยที่หนึ่งจะต้องลงคะแนนว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่เท่านั้น หากจำเลยที่หนึ่งประสงค์จะไม่ลงมติใดๆ ก็ไม่มีกฎหมายห้ามไว้ และหากจำเลยที่หนึ่งจะทำเครื่องหมายในบัตรออกเสียงประชามติทั้งสองช่องจนทำให้เป็นบัตรเสียก็ไม่มีบทกฎหมายใดกำหนดให้เป็นความผิด ซึ่งการกระทำดังกล่าวอยู่ในกรอบที่กฎหมายให้การคุ้มครองสิทธิของผู้ออกเสียงทั่วไป
และโจทก์มีอมรินทร์ นนทะโคตร ผู้อำนวยการหน่วยออกเสียงนอกเขตจังหวัดที่สาม เขตบางนา เบิกความเป็นพยานว่าจำเลยที่หนึ่งมาที่หน่วยออกเสียงแต่ไม่ได้ใช้สิทธิ หากแต่ได้ฉีกบัตรประชามติก่อนจำขยำทิ้งลงบนพื้นโดยมีจำเลยที่สองและที่สามคอยถ่ายภาพนิ่งหรือวิดีโอ โจทก์ยังมีพยานปากสุภักตราพรรณ สุวรรณศรี เบิกความเป็นพยานว่าขณะที่จำเลยที่หนึ่งเข้ามาตรวจสอบบัญชีรายชื่อได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำหน่วยพูดว่าห้ามถ่ายภาพ จากนั้นจึงได้ยินเสียงจำเลยที่หนึ่งตะโกนว่าเผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ