15 มีนาคม 2558
วันที่ 2 ของกิจกรรมพลเมืองรุกเดิน เมื่อพันธ์ศักดิ์เดินมาถึงหน้าร้านอาหารเมธาวลัย ศรแดง มีคนนำดอกไม้มามอบให้พันธ์ศักดิ์ มีคนชวนปรีชาซึ่งยืนสังเกตการณ์อยู่บริเวณนั้นให้ร่วมมอบดอกไม้ด้วย ปรีชาจึงมอบดอกกุหลาบสีแดงพร้อมถุงอาหารให้พันธ์ศักดิ์ และเดินตามพันธ์ศักดิ์ไปจนถึงลานปรีดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระหว่างนั้นมีสายสืบจากสน.ชนะสงคราม เข้ามาพูดคุยให้ปรีชายอมบอกเบอร์โทรศัพท์
24 ตุลาคม 2558
เวลาประมาณ 17.30 น. ที่ท่าเรือหิรัญนคร อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ขณะที่ปรีชาจะข้ามไปเที่ยวประเทศลาว เขาถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจับกุม เนื่องจากมีหมายจับแสดงขึ้นมาในฐานข้อมูลของเจ้าหน้าที่ ระหว่างที่กำลังตรวจหนังสือเดินทางของปรีชา
25 ตุลาคม 2558
ปรีชาถูกนำตัวจากเชียงรายมาสอบสวนที่ สน.ชนะสงคราม และถูกควบคุมตัวไว้ 1 คืน ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ปรีชาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
26 ตุลาคม 2558
พนักงานสอบสวนนำตัวปรีชาไปฝากขังที่ศาลทหาร โดยในคำร้องฝากขังระบุว่า พนักงานสอบสวนควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้สอบสวนจะครบกำหนด 48 ชั่วโมงแล้ว แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องสอบปากคำพยาน 7 ปาก และรอผลการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหา จึงขอฝากขังผู้ต้องหากับศาลทหาร มีกำหนด 12 วัน นับแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2558 ถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2558
ระหว่างที่ปรีชาถูกฝากขังต่อศาลทหาร ทนายจากกลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน (กนส.) เข้าให้ความช่วยเหลือปรีชา ในการขอประกันตัว โดยมีการ
โพสต์ในเฟซบุ๊กของกลุ่มว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ทนายจาก กนส. ได้ยื่นคำร้องขอให้ศา่ลทหารกรุงเทพปล่อยตัวปรีชาชั่วคราว ซึ่งศาลอนุญาตให้ประกันตัวในเวลา 14.00 น.โดยตีราคาหลักประกัน 150,000 บาท แต่ญาติของปรีชาใช้สลากออมสินมูลค่า 500,000 บาทเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน
11 ธันวาคม 2558
นัดส่งฟ้อง
อัยการทหารนัดปรีชาส่งฟ้องต่อศาลทหาร ปรีชาได้รับการประกันตัวด้วยหลักทรัพย์เดิมในวันเดียวกันแต่เขาถูกส่งตัวไปปล่อยที่เรือนจำทำให้ปรีชาต้องเข้าเรือนจำเป็นครั้งที่สอง ในคำฟ้องของอัยการทหารปรากฎว่า ปรีชาถูกดำเนินคดีเฉพาะความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศฉบับที่ 7/2557 เรื่องห้ามชุมนุมทางการเมืองเท่านั้น แต่ไม่ถูกตั้งข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 โดยอัยการบรรยายฟ้องโดยสรุปได้ว่า
จำเลยเป็นบุคคลพลเรือน ได้กระทำความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศคสช.ฉบับที่ 7/2557 เรื่องห้ามชุมนุมมั่วสุมทางการเมืองเกินห้าคน ซึ่งเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหาร โดยในวันที่ 15 มีนาคม 2558 เวลากลางวัน ซึ่งเป็นวันและเวลาที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร จำเลยร่วมชุมนุมกับพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพซึ่งถูกดำเนินคดีเป็นคดีหมายเลขดำที่ 174ก./2558 กับพวกอีกห้าคนซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องต่อศาล ที่บริเวณลานปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อคัดค้านการใช้อำนาจของคสช. โดยมีประชาชนมาร่วมชุมนุมกับจำเลยประมาณ 20 คน เป็นการขัดต่อประกาศคสช.ฉบับที่ 7/2557 เรื่องห้ามชุมนุมทางการเมืองเกินห้าคน ทั้งที่จำเลยก็ทราบถึงประกาศดังกล่าวอยู่แล้ว
23 พฤษภาคม 2559
นัดสอบคำให้การ
ศาลทหารนัดปรีชาสอบคำให้การในเวลา 8.30 น. แต่กระบวนการพิจารณาเริ่มขึ้นในเวลาเกือบ 11.00 น. เนื่องจากทนายจำเลยต้องเตรียมเอกสารยื่นคำร้องประกอบคำรับสารภาพ
กระบวนพิจารณาคดีของปรีชาที่ห้องพิจารณาคดีหนึ่งเริ่มในเวลาประมาณ 11.00 น. ศาลอ่านคำฟ้องให้ปรีชาฟังพร้อมถามว่าปรีชามีทนายแล้วหรือยังและเข้าใจคำฟ้องหรือไม่ ปรีชาแจ้งศาลว่ามีทนายแล้วและไม่ต้องการให้ศาลตั้งทนายให้ สำหรับคำฟ้องได้รับและเข้าใจฟ้องแล้ว ศาลถามปรีชาว่าจะให้การอย่างไร ปรีชาตอบศาลว่าให้การรับสารภาพ
ศาลบอกกับคู่ความว่า อัยการขอแก้ไขคำฟ้องโดยขอให้เติมคำว่าพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนคดีนี้เข้าไปด้วย ฝ่ายจำเลยไม่ค้าน ศาลจึงให้เซ็นชื่อไว้เป็นหลักฐาน ศาลถามปรีชาต่อว่าตามที่ยื่นคำร้องประกอบคำรับสารภาพจะยืนยันตามนั้นใช่หรือไม่ ปรีชารับว่าใช่ ศาลถามอัยการว่าจะคัดค้านคำร้องของจำเลยหรือไม่ อัยการตอบศาลว่า หากจำเลยตัดข้อความในคำร้องที่ระบุว่าทำความผิดไปด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาออกจะไม่คัดค้านคำร้อง ฝ่ายจำเลยยินยอมตัดอัยการทหารจึงแถลงไม่คัดค้านและแถลงไม่ติดใจสืบพยาน
หลังคู่ความไม่ติดใจคำร้องประกอบคำรับสารภาพและไม่ติดใจสืบพยาน ศาลจึงอ่านกระบวนพิจารณาให้คู่ความฟังและอ่านคำพิพากษาทันทีโดยพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุกสามเดือนปรับ 4,000 บาท และให้รอการลงโทษจำคุกนับจากวันพิพากษาเป็นเวลาหนึ่งปี
หลังศาลมีคำพิพากษา วิญญัติ ชาติมนตรี จากกลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน (กนส.) ให้สัมภาษณ์ว่า เนื่องจากคดีนี้อัยการฟ้องปรีชาในความผิดฐานฝ่าฝืนประกาศคสช.ฉบับที่ 7/2557 เท่านั้น ทนายจึงปรึกษาแนวทางคดีกับปรีชาซึ่งปรีชาก็ยินดีรับสารภาพเพราะคดีนี้เป็นคดีที่โทษน้อยและการสู้คดีจะเป็นภาระกับปรีชาอย่างมาก ขณะเดียวกัยปรีชาก็ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวสั้นๆว่า ขอขอบคุณศาลที่ให้ความเมตตา เพราะตอนนี้ตนเองอายุมากแล้วและมีโรคประจำตัว ล่าสุดก็พึ่งทำบายพาสหัวใจไปสองเส้น