27 กันยายน 2557
ผู้ใช้เฟซบุ๊กในจังหวัดเชียงใหม่ นำโดยกฤตย์ เยี่ยมเมธากร พร้อมประชาชนอีก 8 คน เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “รุ่งนภา คำภิชัย” ในความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ โดยมี พ.ต.ต.สมคิด ภูสด พนักงานสอบสวนเป็นผู้รับแจ้ง นอกจากนั้น ก็มีการแชร์ข้อความ และรูปของเฟซบุ๊ก ของ “รุ่งนภา คำภิชัย” ไปยัง ในเพจต่างๆ ด้วย
29 กันยายน 2557
กลุ่มผู้ใช้เฟซบุ๊กในจังหวัดเชียงใหม่ เข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน และชูป้ายให้เจ้าหน้าที่เร่งดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิด
ในเวลาต่อมาพนักงานควบคุมตัวรุ่งนภามาทำการสอบสวน แต่จากการสอบสวนเจ้าหน้าที่พบว่ารุ่งนภาน่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงมีการขยายผลและพบว่า เป็นไปได้ที่รุ่งนภาอาจถูกกลั่นแกล้งโดย ศศิวิมลซึ่งมีความขัดแย้งเป็นการส่วนตัวอยู่
ปลายเดือนกันยายน 2557
หลังมีการสอบสวนขยายผล พนักงานสอบสวนไปที่บ้านของศศิวิมล พร้อมกับขอเครื่องคอมพิวเตอร์ไปทำการตรวจสอบ แต่ยังไม่มีการแจ้งข้อหาหรือจับกุมตัว
13 กุมภาพันธ์ 2558
เจ้าหน้าที่ตำรวจ เรียกตัวศศิวิมลไปที่สภ.เมืองเชียงใหม่ โดยแจ้งว่า ให้มาเซ็นหมายศาล แต่เมื่อไปถึงปรากฎว่า ถูกนำตัวไปที่ศาลมณฑลทหารบากที่ 33 ค่ายกาวิละ เพื่อขออำนาจฝากขัง ในข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ รวม 6 กระทง และถูกส่งตัวไปที่ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ทันที
1 พฤษภาคม 2558
เจ้าหน้าที่จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เข้าเยี่ยมศศิวิมล และสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น ที่ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่
ศศิวิมลเล่าว่า ที่ตนถูกจับกรณีมีส่วนเกี่ยวข้องกับเฟซบุ๊ก ที่ใช้ชื่อว่า “รุ่งนภา คำภิชัย” เนื่องจากบุคคลชื่อรุ่งนภา เป็น “ภรรยาน้อยของแฟนเก่า” และมีปัญหากัน เพื่อนของตนเป็นผู้ปลอมเฟซบุ๊ก ชื่อ “รุ่งนภา คำภิชัย” ขึ้นมาเพื่อโจมตีบุคคลดังกล่าว และใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ของตนสมัครเฟซบุ๊กปลอม
แต่ตนไม่ทราบว่าเพื่อนโพสต์ข้อความที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ และตนไม่ได้เป็นผู้โพสต์ ในชั้นสอบสวน ที่ตนให้การรับสารภาพ ว่าเป็นผู้โพสต์ เป็น เพราะถูกกดดันและเจ้าหน้าที่หว่านล้อมว่าจะปล่อยตัว
ในส่วนของคดี บิดามารดาของศศิวิมล ว่าจ้างทนายความจากสำนักทนายความที่มีเพื่อนแนะนำให้ ในส่วนของการขอปล่อยตัวชั่วคราว ใช้ประกันอิสระภาพมูลค่า 400,000 บาทจากบริษัทประกัน ยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวรวม 3 ครั้ง แต่ศาลไม่อนุญาต
7 พฤษภาคม 2558
ครบฝากขัง 7 ผลัด
9 มิถุนายน 2558
นัดสอบคำให้การ
ที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ จังหวัดเชียงใหม่ ศศิวิมล เดินทางทางมาถึงศาลด้วยรถจากเรือนจำ เวลาประมาณ 09.15 น. โดยวันนี้มีครอบครัวของศศิวิมล แม่ พ่อ ลูกของ ศศิวิมล สองคน เพื่อนศศิวิมลอีก 4 คน รวมถึงเจ้าหน้าที่จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน มาร่วมสังเกตการณ์การพิจารณาคดี
ทนายของศศิวิมลตามมาถึงในเวลาประมาณ 10.00 น. จากนั้น 10.30 น. เจ้าหน้าที่ศาลก็เชิญขึ้นไปที่ห้องพิจารณาคดีซึ่งมีอยู่เพียงห้องเดียว ศาลทหารเริ่มกระบวนพิจารณาในเวลาประมาณ 10.45 น. โดยอ่านคำพิพากษาคดีอื่นก่อน จากนั้นจึงสอบคำให้การคดีของศศิวิมลต่อ
แต่เเล้ว ศาลทหารแจ้งกับผู้มาฟังการพิจารณาคดีของศศิวิมลว่า คดีนี้เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง กระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อย จึงขอสั่งพิจารณาเป็นการลับ ให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้แก่ครอบครัวและเพื่อนของศศิวิมล รวมทั้งผู้สังเกตการณ์จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ออกจากห้องพิจารณาคดี
หลังผู้สังเกตการณ์ออกจากห้องพิจารณาคดี กระบวนพิจารณาดำเนินไปประมาณ 20 นาที จึงแล้วเสร็จ ศศิวิมล และทนายความ เดินลงมาจากห้องพิจารณาคดี ให้ข้อมูลว่า วันนี้ศาลได้อ่านคำฟ้องให้ฟัง โดยศศิวิมลถูกฟ้องในมาตรา 112 รวม 7 กรรม ได้ให้การปฏิเสธ ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 8 กรกฎาคม 2558 โดยคดีของศศิวิมล จะพิจารณาเป็นการลับตลอดทั้งกระบวน
8 กรกฎาคม 2558
นัดตรวจพยานหลักฐาน
ศาลมณฑลทหารบกที่ 33 จังหวัดเชียงใหม่
เวลา 10.05 น. เมื่อทนายความของศศิวิมลเดินทางมาถึง ได้ยื่นเอกสารบัญชีพยาน เมื่อทราบว่าฝ่ายศศิวิมลไม่มีพยานเอกสาร ศาลและเจ้าหน้าที่ศาลได้มีการพูดคุยกับทนายก่อน โดยจะให้งดตรวจพยานหลักฐานในนัดนี้ เพราะอ้างว่าตรวจพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์ฝ่ายเดียวไม่ได้ แต่ทนายยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่มีในกฎหมายแต่อย่างใด จึงไม่ได้มีการงดตรวจพยานหลักฐาน
10.30 น. เจ้าหน้าที่ให้คู่ความขึ้นห้องพิจารณา โดยอนุญาตให้ญาติและผู้สังเกตการณ์เข้าฟังได้ โดยแจ้งว่าเป็นนัดตรวจพยานหลักฐานเฉยๆ แต่ในการสืบพยานจะไม่อนุญาต เนื่องจากได้ตกลงกันตั้งแต่วันนัดสอบคำให้การแล้วว่าจะพิจารณาคดีลับ
ผู้เข้าฟังการพิจารณาจึงมีญาติจำเลย 4 คน ผู้ช่วยทนาย 1 คน เจ้าหน้าที่เรือนจำ 1 คน เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัย 1 คน และมีเจ้าหน้าที่แต่งกายชุดทหาร ไม่ทราบตำแหน่งหรือหน้าที่ เข้ามาจดบันทึกสังเกตการณ์ด้วย
จากนั้น 10.45 น. ศาลนั่งบัลลังก์ โดยศาลได้รับบัญชีพยานหลักฐานของคู่ความมาแล้ว
ทนายความแจ้งศาลว่าติดใจที่จะตรวจพยานเอกสารของฝ่ายโจทก์ โจทก์ไม่คัดค้าน ศาลจึงได้ขอพยานเอกสารของฝ่ายโจทก์มา ก่อนจะส่งให้ทนายจำเลยตรวจ ทั้งหมด 15 รายการ
ระหว่างตรวจ ทนายได้ถามศาลว่าสามารถคัดถ่ายสำเนาได้หรือไม่ ศาลตอบว่าได้ แต่ให้คัดถ่ายได้เฉพาะที่ไม่เกี่ยวข้องกับพยานปากอื่น คัดได้เป็นบางฉบับ ไม่ใช่ทุกฉบับ ทนายถามว่ารายงานการตรวจพิสูจน์สามารถคัดถ่ายได้หรือไม่ ศาลตอบว่าได้
11.10 น. ทนายจำเลยตรวจดูพยานเอกสารเสร็จสิ้น ศาลถามว่ามีเอกสารฉบับใดจะคัดค้านหรือไม่ ทนายจำเลยตอบว่าไม่
จากนั้นศาลได้สอบถามแนวทางการนำสืบของฝ่ายโจทก์และจำเลย อัยการโจทก์ตอบว่าจะนำพยานบุคคล เอกสาร และวัตถุตามบัญชีพยานมาสืบต่อศาล เพื่อชี้ให้เห็นว่าจำเลยกระทำความผิด ส่วนทนายจำเลยตอบว่าจะสืบเรื่องตัวผู้กระทำผิด พยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์ไม่เพียงพอจะพิสูจน์ว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้อง
อัยการโจทก์แถลงจะนำพยานโจทก์ปากที่ 1 ตามบัญชี มาเบิกความในนัดหน้า จึงนัดหมายวันสืบพยานนัดแรก วันที่ 7 สิงหาคม 2558 เวลา 8.30 น.
7 สิงหาคม 2558
นัดสืบพยานโจทก์
ในช่วงเช้าวันนี้ ผู้รับมอบอำนาจจากทนายของศศิวิมลเข้ายื่นคำร้องต่อศาล ขอกลับคำให้การเดิม โดยขอให้การรับสารภาพตามฟ้องของโจทก์ ไม่ขอต่อสู้คดีอีก และยื่นคำร้องประกอบขอให้ศาลลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษจำคุกไว้
เนื่องจากเรือนจำนำตัวศศิวิมลหาที่ศาลช้า ทำให้ศาลได้ขึ้นพิจารณาคดีในช่วงบ่าย เมื่อศาลได้รับคำร้องขอกลับคำให้การ จึงได้ให้งดการสืบพยานโจทก์เอาไว้ และอ่านคำพิพากษาในทันที โดยศาลเห็นว่าศศิวิมลมีความผิดตามมาตรา 14 ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จำนวน 7 กรรม พิพากษาให้จำคุกกรรมละ 8 ปี รวมเป็นจำคุก 56 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ จึงลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 28 ปี
ส่วนคำร้องที่ขอให้ศาลลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษ ศาลเห็นว่าความผิดของศศิวิมลเป็นการล่วงละเมิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ประชาชนเคารพสักการะ การกระทำจึงกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนอย่างร้ายแรง และศาลได้ลงโทษจำเลยในสถานเบาอยู่แล้ว จึงให้ยกคำร้องในส่วนนี้