ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานเวลา 13.30 น. แต่เริ่มพิจารณาคดีจริงประมาณ 15.30 น. เนื่องจากรออัยการที่ติดพิจารณาคดีอื่นอยู่
ศาลแจ้งว่าคดีนี้อัยการโจทก์ยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีลับ ซึ่งศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อป้องกันไม่ให้ความลับอันกระทบต่อความมั่นคงของประเทศล่วงรู้สู่ประชาชน สั่งให้พิจารณาคดีลับตามคำร้องโจทก์ ศาลถามผู้เข้าฟังว่าเป็นใครบ้าง และอนุญาตให้พ่อของจำเลยกับเพื่อนและผู้ช่วยของทนายความจำเลยอยู่ร่วมฟังการพิจารณาคดีได้
ศาลถามจำเลยว่าตกลงมีบัตรประชาชนหรือไม่ และหมายเลขบัตรประชาชนอะไร เพราะที่จำเลยอ้างมากับเลขบัตรประชาชนที่อัยการเขียนมาในคำฟ้องไม่ตรงกัน ทำให้สับสนในเรื่องตัวบุคคล จำเลยลุกขึ้นแถลงศาล ศาลเห็นว่าไม่ตรงกับที่อัยการฟ้อง จึงถามว่าพ่อของจำเลยมีบัตรหรือไม่และขอหมายเลขบัตรของพ่อจำเลยมาเปรียบเทียบ ซึ่งเป็นหมายเลขที่คล้ายกับหมายเลขที่จำเลยแถลงต่อศาล ศาลจึงสั่งให้อัยการแก้ไขคำฟ้อง แต่อัยการแถลงว่าคดีนี้โจทก์ต้องการพิสูจน์ว่ามีการสวมสิทธิตามบัตรประชาชน มีการปลอมแปลงตัว จึงมีหมายเลขหลายชุดที่เกี่ยวข้อง
โจทก์แถลงต่อศาลว่าคดีนี้ต้องการสืบพยานโจทก์ 20 ปาก และเนื่องจากคดีนี้มีการแจ้งความ 4 จังหวัด ได้แก่ นครปฐม น่าน ปราจีนบุรี และปทุมธานี จึงมีเรื่องที่ต้องส่งประเด็นไปสืบพยานที่จังหวัดต่างๆ ทั้ง 4 แห่งด้วย แต่ศาลไม่อนุญาตให้ส่งประเด็นไปสืบต่างจังหวัดและต้องการให้โจทก์นำพยานมาสืบที่ศาลอาญา ศาลยังขอให้โจทก์ตัดพยานปากที่ไม่จำเป็นด้วยแต่โจทก์ยืนยันขอสืบทั้ง 20 ปาก ถ้าหากปากไหนไม่จำเป็นจะไปตัดในวันสืบพยาน ส่วนจำเลยแถลงขอสืบพยาน 1 ปาก
ศาลกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ 4 วัน และสืบพยานจำเลยครึ่งวัน เป็นวันที่ 17-20 และ 24 พฤศจิกายน 2558
17 กรกฎาคม 2558
นัดตรวจความพร้อม
ที่ห้องพิจารณา 912 ศาลอาญานัดตรวจความพร้อมคดีปิยะ ศาลขึ้นบัลลังก์เวลาประมาณ 14.00 คู่ความได้แก่ อัยการ จำเลย และทนายจำเลยมาศาล นอกจากนี้ในห้องพิจารณาคดีก็มีพ่อของปิยะ อัยการผู้ช่วย นักข่าวประชาไท เจ้าหน้าที่จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และกลุ่มเพื่อนรับฟัง มาร่วมสังเกตการณ์ด้วย
เบื้องต้นศาลแจ้งว่าคดีนี้ต้องพิจารณาเป็นการลับ แต่เนื่องจากในวันเดียวกันมีการพิจารณาคดีอื่นในห้องเดียวกันอยู่ด้วยซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ ศาลจึงขอดำเนินกระบวนการในคดีนี้ไปโดยแจ้งว่ายังไม่ได้ลงรายละเอียดในเนื้อหาของคดี พ่อของปิยะและผู้มาสังเกตการณ์จึงอยู่ในห้องพิจารณาคดีได้
อัยการแถลงต่อศาลว่า ตามที่เคยยื่นขอแก้ไขคำฟ้องในส่วนของหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน จากเดิมที่มีทั้งหมายเลขของพงศธร บันทอน และหมายเลขของปิยะ ให้เหลือแต่หมายเลขของปิยะ ซึ่งเป็นหมายเลขที่จำเลยยอมรับว่าเป็นหมายเลขประจำตัวของตน
ทั้งนี้เหตุที่อัยการต้องแก้คำฟ้อง เป็นเพราะศาลไม่ยินยอมให้มีเลขบัตรประจำตัวสองเลขอยู่ในคำฟ้องเดียว เพราะจะไปกระทบสิทธิของบุคคลภายนอก
ในวันนี้อัยการยื่นขอสืบพยานเพิ่มเติมอีก 2 ปาก เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจลายนิ้วมือ ส่วนทนายจำเลยยื่นพยานเอกสารเพิ่ม 1 รายการ
ทั้งอัยการและทนายจำเลย ยืนยันว่าพร้อมจะสืบพยานตามกำหนดการเดิม ที่นัดกันไว้ในเดือนพฤศจิกายน 2558
17 พฤศจิกายน 2558
นัดสืบพยานวันแรก ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 914 ก่อนเริ่มการพิจารณาคดีศาลแจ้งว่าคดีนี้อัยการโจทก์ได้ร้องขอให้พิจารณาคดีเป็นการลับ และศาลได้สั่งอนุญาตแล้ว จึงขอให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกนอกห้องพิจารณา ขณะที่อัยการแถลงขอให้อัยการผู้ช่วย 2-3 คนนั่งฟังด้วย
ผู้พิพากษาองค์คณะในคดีนี้ ได้แก่ เกษม เวชศิลป์ และอักษราภัค สารธรรม
ฝ่ายอัยการโจทก์มีพนักงานอัยการ 3 คน และอัยการผู้ช่วยมาเรียนรู้งานจำนวนหนึ่ง
ฝ่ายทนายความจำเลย เป็นทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน 4 คน
สืบพยานโจทก์ปากที่หนึ่ง ยศสินี กิตติบวร ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ
ยศสินี เบิกความว่า ปัจจุบันอายุ 37 ปี อาชีพแพทย์ มีคลินิกส่วนตัวที่จังหวัดนครปฐม เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2556 ขณะเล่นอินเทอร์เน็ตอยู่ที่บ้าน ผ่านโทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อไอโฟน เข้าใช้งานเฟซบุ๊กแล้วเห็นข้อความด่าทอในหลวง เห็นใบหน้าของคนโพสต์ เห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและมีคำหยาบคายอยู่ติดกับพระบรมฉายาลักษณ์ เมื่อได้อ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์
และควรมีการดำเนินการกับผู้โพสต์ เมื่อเห็นข้อความจึงถ่ายภาพหน้าจอจากโทรศัพท์มือถือไว้ และวันต่อมาก็นำไปแจ้งความที่สถานีตำรวจอำเภอเมืองนครปฐม โดยนำภาพจากโทรศัพท์มือถือไปให้ตำรวจดู
ยศสินี กล่าวว่า ไม่ทราบว่าใครเป็นคนโพสต์ข้อความและภาพดังกล่าว เมื่อดูรูปที่ปรากฎและดูตัวจำเลยในห้องพิจารณาคดีเห็นว่าหน้าตาคล้ายกับ แต่ตัวจริงอ้วนกว่าในรูป
ยศสินี ตอบคำถามทนายความว่า ไม่ได้เป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กกับพงศธรและจำไม่ได้ว่าวันที่เห็นข้อความนั้นข้อความมาจากที่ไหน ตามปกติการใช้เฟซบุ๊กจะตั้งชื่ออะไรก็ได้ และจะเอาภาพอะไรมาใช้เป็นภาพประจำตัวก็ได้ จากเอกสารในคำฟ้องที่มีภาพอยู่สี่ภาพ
ยศสินีจำได้ว่าเห็นสองภาพ คือ ภาพที่เป็นหน้าบัญชีของ "นายพงศธร บันทอน" และภาพพระบรมฉายาลักษณ์หนึ่งภาพ ไม่แน่ใจว่าภาพที่ปรากฏเป็นเอกสารในคดีนี้คือภาพที่ตนนำไปให้ตำรวจหรือไม่ ยศสินี เบิกความว่า บนหน้าเฟซบุ๊กปกติจะไม่เห็นภาพปรากฏขึ้นพร้อมกันทั้งสี่ภาพแบบที่ปรากฏในคำฟ้อง เมื่อเห็นภาพปรากฏขึ้นมาแล้วได้กดไปที่ชื่อ นายพงศธร บันทอน และเข้าไปดูบัญชีผู้ใช้นั้น
สืบพยานโจทก์ปากที่สอง วันลพ แก้วกสิกรรม ผู้พบเห็นข้อความ
วันลพ เบิกความว่า ปัจจุบันอายุ 36 ปี อาชีพค้าขาย อยู่ที่จังหวัดน่าน วันที่ 26 พฤศจิกายน 2556 เล่นเฟซบุ๊กผ่านคอมพิวเตอร์บังเอิญไปเจอภาพดังที่ปรากฏในคำฟ้อง เห็นว่าเป็นภาพพระบรมฉายาลักษณ์และข้อความหยาบคายมาก จึงส่งให้เพื่อนชื่อพิชชาทางกล่องข้อความ แต่ไม่ได้แชร์ต่อ
จำได้ว่าเห็นภาพเหมือนกันสองภาพแต่ข้อความประกอบภาพแตกต่างกัน ข้อความเป็นการด่าทอเหมือนกัน ตอนแรกเห็นอยู่ภาพเดียวและพอคลิกไปที่ภาพ ภาพก็จะใหญ่ขึ้นก็เห็นข้อความด้วย เมื่อคลิกไปที่ชื่อของคนโพสต์ก็เห็นอีกภาพหนึ่งซึ่งข้อความไม่เหมือนกัน
วันลพ เล่าว่า ภาพที่เห็นนั้นถูกแชร์มา ผู้ที่แชร์ใช้ชื่อว่า Tui Fishing ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร หลังจากนั้นก็ไม่ได้ตามหาว่าคนชื่อพงศธร บันทอน เป็นใคร หลังจากพิชชามาดู พิชชาก็พิมพ์ข้อความที่เห็นไปให้ตำรวจ ต่อมาตำรวจก็เรียกตนไปให้ปากคำ
วันลพ ตอบคำถามทนายความว่า เฟซบุ๊กของตนไม่ได้ใช้ชื่อจริงของตัวเอง การตั้งชื่อบนเฟซบุ๊กจะเอาชื่อเพื่อนมาตั้งก็ได้ จะเอารูปของคนอื่นหรือรูปการ์ตูนมาใช้ก็ได้ ตนไม่เคยคลิกเข้าไปที่หน้าเฟซบุ๊กของนายพงศธร หน้าเฟซบุ๊กจะปรากฏเฉพาะโพสของคนที่เป็นเพื่อนกัน แต่ภาพและข้อความตามฟ้องนี้ไม่รู้ว่าเห็นได้อย่างไร หากจะโพสภาพบนเฟซบุ๊กก็ต้องมีภาพในเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อน
สืบพยานโจทก์ปากที่สาม พิชชา ตั้งเที่ยงธรรม ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ
พิชชา เบิกความว่า ปัจจุบันอายุ 36 ปี อาชีพค้าขาย วันที่ 26 พฤศจิกายน 2556 เพื่อนชื่อวันลพ แจ้งว่าให้เข้าไปดูเฟซบุ๊กของ Tui Fishing ซึ่งเมื่อเปิดดูด้วยเฟซบุ๊กของตัวเองผ่านคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เข้าไปดูข้อความและเห็นว่าเป็นการแชร์ข้อความให้ด่าคนที่โพสต์ข้อความหมิ่นฯ โดยมีการถ่ายภาพหน้าจอมา จำไม่ได้ว่ากี่ภาพ แต่มีสองข้อความที่คล้ายกันกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ในลักษณะดูหมิ่นเหยียดหยาม จึงเล่าให้แฟนฟัง
พิชชา เล่าว่า วันรุ่งขึ้นไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองน่าน เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องมีหลักฐานด้วยจึงกลับมาที่บ้านเพื่อพิมพ์เอกสาร 2-3 แผ่นแล้วนำไปให้ตำรวจ ภาพที่พิมพ์ออกมานั้นถ่ายมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่ได้ตกแต่งภาพเพิ่มเติม ตนไม่เคยรู้จักและไม่ได้เป็นเพื่อนกับเฟซบุ๊ก Tui Fishing และนายพงศธร บันทอน สาเหตุที่ไปแจ้งความคดีนี้เพราะเห็นว่าช่วงเวลานั้นมีการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์กันเยอะและรู้สึกไม่พอใจ
พิชชา ตอบคำถามทนายความว่า ภาพที่ตนเห็นเป็นภาพใหญ่หนึ่งภาพ ประกอบด้วยภาพย่อยสี่ภาพ เป็นการถ่ายมาจากหน้าจอซึ่งสามารถทำได้โดยคอมพิวเตอร์ทั่วไปและสมาร์ทโฟน สี่ภาพย่อยมาจากการถ่ายภาพหน้าจอสี่ครั้งแล้วเอามาวางรวมในรูปเดียวกัน ไม่ใช่การแชร์โดยตรงจากเฟซบุ๊กนายพงศธร บันทอน ตนจำไม่ได้ว่าได้เข้าไปดูเฟซบุ๊กที่ชื่อนายพงศธร บันทอน หรือไม่ จากที่ดูในภาพก็เชื่อว่าเฟซบุ๊กนายพงศธรน่าจะมียู่จริง
สืบพยานโจทก์ปากที่สี่ อภิญญา ตันตระกูล แฟนของผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ
อภิญญา เบิกความว่า เป็นแฟนของพิชชา ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2556 เมื่อพิชชาเห็นข้อความก็โทรศัพท์มาปรึกษาว่าจะไปแจ้งความ เพราะข้อความเป็นการหมิ่นประมาทในหลวง พิชชาเล่าให้ฟังว่าคนโพสต์ชื่อนายพงศธร บันทอน ตนไม่ได้ดูข้อความด้วย ตอนไปแจ้งความก็ไม่ได้ไปด้วย ข้อความที่นำมาฟ้องได้เห็นแค่ในเอกสารวันที่ตำรวจเรียกให้ไปให้การ เมื่ออ่านข้อความแล้วรู้สึกว่าแรง
อภิญญา ตอบคำถามทนายความว่า จำไม่ได้ว่าภาพที่ตำรวจเอาให้ดูเป็นภาพสี่ภาพหรือไม่ เพราะเรื่องนี้เกิดนานมาแล้ว แต่จำภาพที่มีใบหน้าของจำเลยได้ เอกสารในคำฟ้องนี้เป็นการเอาภาพสี่ภาพมาประกอบเป็นภาพเดียว การเอาภาพมารวมกันแบบนี้คนทั่วไปสามารถทำได้ พิชชาตกแต่งภาพระดับพื้นฐานได้แต่ทำกราฟฟิคไม่ได้
สืบพยานโจทก์ปากที่ห้า อัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ
อัจฉริยะ เบิกความว่า ปัจจุบันอายุ 49 ปี อาชีพวิศวกรโยธา เป็นประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ซึ่งชมรมนี้ทำกิจกรรมช่วยผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรม และปราบปรามอาชญากรรมต่อพระมหากษัตริย์ด้วย ช่วงกลางปี 2556 มีสมาชิกชมรมชื่อติ่ง ทิพยเวช แจ้งมาทางโทรศัพท์ว่ามีผู้โพสต์ข้อความดูหมิ่นพระมหากษัตริย์อย่างร้ายแรงชื่อนายพงศธร บันทอน ตามที่ปรากฏในเฟซบุ๊กชื่อ "ของดีไทอีสาน" เมื่อเข้าไปดูก็พบว่านายพงศธร เป็นผู้โพสต์ตามที่ได้รับแจ้งมา และมีรูปร่างหน้าตาของนายพงศธรด้วย จึงพิมพ์ออกมาและไปสืบค้นว่าบุคคลนี้อยู่ที่ไหน
อัจฉริยะ เล่าว่า ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมทำงานร่วมกับหน่วยปราบปรามอาชญกรรมพิเศษของกระทรวงยุติธรรม และสืบทราบมาว่าคนโพสต์อยู่แถวดอนเมือง และได้เลขที่บ้านมา จึงเดินทางไปถ่ายรูปบ้านไว้ เมื่ออัยการถามว่า ทำไมถึงไปตามหาด้วยตนเองก่อนไปแจ้งความ อัจฉริยะตอบว่า สารภาพตามตรงว่าจริงๆ อยากไปกระทืบมากกว่า ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2556 ได้รวบรวมสมาชิกไปยังบ้านดังกล่าวจำนวนมาก แต่เมื่อไปแล้วหาตัวไม่เจอจึงไปแจ้งความที่ปอท.
อัจฉริยะ เล่าอีกว่า เจ้าหน้าที่ของชมรมที่เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์เป็นผู้สืบค้นประวัติของนายพงศธร มีการไปขอเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กด้วย และทราบว่าทำงานที่ไหน เรียนที่ไหน หลังแจ้งความแล้วก็ยังตามหาตัวอยู่ แต่ไม่พบ คนอื่นที่ไปแจ้งความอาจไม่เคยเห็นโพสต์ที่หน้าเฟซบุ๊กของนายพงศธรโดยตรง แต่ตนเห็นจากต้นฉบับ และข้อความดังกล่าวหลังตรวจพบแล้วอีกเป็นสัปดาห์ก็ยังไม่ลบออก
อัจฉริยะ ตอบคำถามทนายความว่า การสมัครใช้เฟซบุ๊กใช้แค่อีเมล์ ไม่ต้องใช้หลักฐานทางทะเบียน ผู้สมัครจะตั้งชื่ออะไรก็ได้ และใช้ภาพประจำตัวอะไรก็ได้ เคยได้ยินอยู่ว่ามีดาราถูกทำเฟซบุ๊กปลอม การตรวจสอบสถานที่โพสต์ข้อความต้องอาศัยข้อมูลจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษของเจ้าหน้าที่ ตนไม่ทราบว่าคดีนี้ดำเนินการอย่างไร
อัจฉริยะ ตอบคำถามว่า เมื่อโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กแล้วจะปรากฏวันที่และเวลาใต้ชื่อผู้โพสต์ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลาที่โพสต์ ภาพที่ตนนำไปแจ้งความปรากฏเวลาว่า “1 ชั่วโมงที่แล้ว” ซึ่งตัวเลขที่จะไม่เปลี่ยนแปลงไปเพราะภาพนี้เกิดจากการถ่ายภาพหน้าจอ และวันเวลาที่ปรากฏนี้ตรงกับที่ปรากฏในภาพบนเฟซบุ๊กของดีไทอีสาน
อัจฉริยะ เบิกความด้วยว่า ช่วงเวลาเกิดเหตุมีข้อความในเว็บไซต์ และยูทูป โจมตีพระมหากษัตริย์จำนวนมาก ซึ่งเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายร้ายแรง ผู้กระทำย่อมได้รับความเกลียดชังจากประชาชนทั่วไป เมื่อทนายความถามว่า ผู้กระทำส่วนใหญ่ต้องปกปิดตัวตนและใบหน้าใช่หรือไม่ อัจฉริยะตอบว่า ไม่จำเป็นเสมอไป ในกรณีนี้ขอยืนยันว่าเป็นนายพงศธร บันทอน แน่นอน แต่คดีอื่นส่วนใหญ่ผู้กระทำผิดจะอยู่ต่างประเทศ
หลังเสร็จสิ้นการสืบพยานปากนี้ฝ่ายจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อของจำเลย และรับว่าจำเลยเคยใช้ชื่อว่านายพงศธร บันทอน ทั้งสองฝ่ายจึงตกลงกันไม่ติดใจสืบพยานที่เป็นเจ้าพนักงานฝ่ายทะเบียนราษฎร และเจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกรวม 12 ปาก จึงเหลือพยานโจทก์อีกรวม 5 ปาก
18 พฤศจิกายน 2558
สืบพยานโจทก์ปากที่หก พ.ต.ท.จาตุรนต์ สุขทวี ตำรวจสันติบาล ผู้จับกุมจำเลย
พ.ต.ท.จาตุรนต์ เบิกความว่า ตำแหน่งปัจจุบันมีหน้าที่หาข้อมูล บุคคลที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ในปี 2558 ได้รับมอบหมายให้สืบสวนและจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับหลายราย ประมาณช่วงเดือนตุลาคม 2557 ได้รับหมายจับของศาลอาญาให้จับกุมนายพงศธร บันทอน จึงลงพื้นที่หาข่าว และทราบว่านายพงศธรมีตัวตนจริง อาศัยอยู่บริเวณ ลาดพร้าว ซอย 107 จึงจัดชุดตำรวจไปเฝ้าบริเวณนั้น
พ.ต.ท.จาตุรนต์ เล่าว่า วันที่ 11 ธันวาคม 2557 เวลาประมาณ 11.30 พบนายพงศธรเดินออกมา ทราบว่า เป็นบุคคลตามหมายจับเพราะหน้าตาคล้ายกับภาพถ่ายที่ปรากฏอยู่ในหมายจับ และภาพถ่ายขนาดใหญ่จากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ จึงแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานเข้าจับกุม พร้อมแสดงหมายจับให้ดู และแจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับ ผู้ต้องหารับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับชื่อ พงศธร และรับว่าเป็นคนโพสต์ข้อความ จึงทำบันทึกจับกุมและส่งตัวให้พนักงานสอบสวน
พ.ต.ท.จาตุรนต์ ตอบคำถามทนายความว่า ข้อมูลที่ได้รับมาเป็นหมายจับ ส่วนข้อมูลเรื่องการโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กและหลักฐานอื่นๆ ไม่ได้รับมาด้วย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องการหาหลักฐานทางคอมพิวเตอร์ด้วย ตอนที่ผู้ต้องหารับสารภาพไม่ได้แจ้งก่อนว่าข้อความที่ถูกกล่าวหาคืออะไรและโพสต์ที่ไหน แจ้งแค่ข้อหาตามกฎหมาย ในวันจับกุมตัวไม่มีเจ้าหน้าที่จาก คสช.อยู่ด้วย ขณะจับกุมผู้ต้องหาให้ความร่วมมือดี ไม่ขัดขืน
สืบพยานโจทก์ปากที่เจ็ด ร.ต.อ.พงศธร รักษาทิพย์ ผู้ตรวจพิสูจน์คอมพิวเตอร์
ร.ต.อ.พงศธร รักษาทิพย์ เบิกความว่า คดีนี้ทางปอท.ส่งของกลางมาให้ตรวจสอบห้ารายการ มีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะหนึ่งเครื่อง แม็คบุ๊กแอร์หนึ่งเครื่อง โทรศัพท์ซัมซุงหนึ่งครื่อง ยูเอสบีสองชิ้น และไมโครเอสดีหนึ่งชิ้น โดยให้ตรวจสอบเพื่อค้นหาว่า 1) มีการเข้าถึง www.facebook.com ของบัญชีผู้ใช้ชื่อ "นายพงศธร บันทอน" หรือไม่ 2) มีภาพพระบรมฉายาลักษณ์และข้อความลักษณะเดียวกับในคำฟ้องหรือไม่ 3) มีการเข้าถึงอีเมล์ joob1459 หรือไม่
ร.ต.อ.พงศธร กล่าวว่า ผลการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์ซัมซุงพบข้อมูลการเข้าใช้อีเมล์ joob1459 หนึ่งครั้งซึ่งลบไปแล้ว ผลการตรวจสอบคอมพิวเตอร์และยูเอสบีไม่พบข้อมูลดังกล่าว ส่วนไมโครเอสดีชำรุดตรวจสอบไม่ได้
ร.ต.อ.พงศธร ตอบคำถามทนายความว่า ตามปกติในคดีเกี่ยวกับความผิดทางคอมพิวเตอร์พนักงานสอบสวนจะส่งคอมพิวเตอร์ของกลางมาให้หน่วยงานของพยานตรวจสอบ ในกรณีที่ไม่มีหลักฐานเป็นหมายเลข IP Address คิดว่าร่องรอยการใช้งานที่ปรากฏในคอมพิวเตอร์จะเป็นหลักฐานสำคัญ การโพสต์ภาพลงบนเฟซบุ๊กต้องมีภาพในคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่นๆ ก่อน
ร.ต.อ.พงศธร อธิบายว่า การตรวจเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นต้องทำสำเนาฮาร์ดดิสก์เพื่อป้องกันการเพิ่มเติมหรือลบข้อมูล โปรแกรมที่ใช้ตรวจชื่อ encase ใช้ตรวจข้อมูลทั้งหมดในฮาร์ดดิสก์ ข้อมูลที่ลบไปแล้วก็ตรวจสอบพบได้ ยกเว้นจะถูกบันทึกทับหลายๆ ครั้ง ผู้ใช้งานทั่วไปไม่สามารถเลือกให้บันทึกข้อมูลทับได้ การที่ตรวจสอบแล้วไม่พบข้อมูลอาจเป็นไปได้ว่าคอมพิวเตอร์นี้ไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด หรือผู้ใช้มีความรู้ทางคอมพิวเตอร์มาก
ร.ต.อ.พงศธร ตอบคำถามอัยการถามติงว่า หากเครื่องคอมพิวเตอร์มีพื้นที่เก็บข้อมูลไม่มากก็มีโอกาสที่ข้อมูลจะถูกบันทึกทับได้มาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งานของผู้ใช้ด้วย ซึ่งของกลางในคดีนี้มีพื้นที่เก็บข้อมูลน้อย
19 พฤศจิกายน 2558
สืบพยานโจทก์ปากที่แปด พ.ต.ท.หญิง สุภวรรณ พันสิ้ว ผู้ตรวจลายนิ้วมือแฝง
พ.ต.ท.หญิงสุภวรรณ เบิกความว่า รับราชการที่กลุ่มงานตรวจลายนิ้วมือแฝง สำนักงานตำรวจแห่งชาติมาแล้ว 8 ปี มีหน้าที่ตรวจลายนิ้วมือ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า จากทั่วประเทศ
คดีนี้ได้รับหนังสือจากปอท.ให้ตรวจลายนิ้วมือที่ปรากฏตามคำขอ มีบัตรประชาชนที่สำนักงานเขตดอนเมือง ในชื่อ นายพงศธร บันทอน ว่าตรงกับผู้ต้องหาที่ชื่อ ปิยะ ที่ถูกจับกุมตัวได้หรือไม่ เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าลายเส้นตรงกัน จึงลงความเห็นว่าเป็นบุคคลคนเดียวกัน
พ.ต.ท.หญิงสุภวรรณ ตอบคำถามทนายความว่า ลายนิ้วมือตามเอกสารนั้นมีจุดลักษณะสำคัญ 10 จุด เพียงพอที่จะตรวจสอบได้ จุดลักษณะเหล่านี้จะไม่เปลี่ยนแปลงตามอายุ แต่ขนาดอาจจะใหญ่ขึ้น หรือเปลี่ยนตามสภาพแวดล้อม ตลอดจรลักษณะการทำงาน แม้จะตรวจสอบแค่สองนิ้วก็ไม่มีทางที่จะมีบุคคลลายนิ้วมือซ้ำกันได้
สืบพยานโจทก์ปากที่เก้า ธนิต ประภานันท์ ผู้ตรวจหาหมายเลข ไอพี แอดเดรส
ธนิต เบิกความว่า ปัจจุบันอายุ 58 ปี รับราชการที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นผู้อำนวยการสำนักป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี
ซึ่งทำงานในหน้าที่นี้ ต้องมีความรู้ด้านกฎหมายคอมพิวเตอร์ คดีนี้สถานีตำรวจภูธรเมืองน่านมีหนังสือสอบถามให้ตรวจสอบผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ นายพงศธร บันทอน และ Tui Fishing เมื่อสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตรวจสอบแล้วพบว่าเฟซบุ๊กนี้ไม่ปรากฏอีเมล์ที่ใช้ในการติดต่อ ไม่ปรากฏหมายเลขไอพีแอดเดรสที่เปิดเผย ไม่มียูอาร์แอลส่งมาด้วย และผู้ให้บริการเฟซบุ๊กอยู่ต่างประเทศ จึงไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้
อัยการให้ดูเอกสารท้ายคำฟ้องแล้ว ธนิตเบิกความว่า ภาพที่นำมาฟ้องบ่งชี้ว่าเป็นการโพสต์ภาพและข้อความในเฟซบุ๊ก โดยผู้ใช้บัญชีชื่อนายพงศธร บันทอน คนหนึ่งคนสามารถเปิดใช้เฟซบุ๊กหลายบัญชีได้ จะใช้ชื่อต่างกันก็ได้ ชื่อบนเฟซบุ๊กสามารถตั้งซ้ำกันได้ แต่จะเป็นเฟซบุ๊กปลอม
ซึ่งเจ้าของตัวจริงสามารถแจ้งไปพร้อมบัตรประชาชนเพื่อให้เฟซบุ๊กลบได้ เฟซบุ๊กจะลบบัญชีปลอมออกให้ เมื่อเจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กตั้งรหัสแล้วบุคคลอื่นจะเข้ามาใช้ไม่ได้ ถ้ามีคนอื่นเข้ามาใช้เจ้าของก็จะรู้และถ้าเป็นข้อความที่ไม่พึงประสงค์เจ้าของก็สามารถลบออกได้
ธนิต ตอบคำถามทนายความว่า การสมัครใช้เฟซบุ๊กจะตั้งชื่ออะไรก็ได้ และจะใช้ภาพอะไรเป็นภาพประจำตัวก็ได้ ในตำแหน่งงานที่ทำพบคดีการปลอมเฟซบุ๊กอยู่ ที่เบิกความไปว่าเจ้าของเฟซบุ๊กจะลบก็ได้ หมายถึง ถ้าข้อความนั้นเกิดจากการ Hack เข้ามาในเฟซบุ๊กของตัวเอง หรือถูกขโมยรหัสผ่าน แต่ถ้าเป็นการโพสจากบัญชีปลอมเจ้าของก็อาจจะไม่รู้ ถ้าบัญชีปลอมเปิดขึ้นมาแค่ 1-2 ชั่วโมงแล้วปิดไปเจ้าของก็มีโอกาสจะไม่รู้
ธนิต ตอบคำถามต่อว่า การตั้งชื่อเฟซบุ๊กจะใช้ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ได้ จะใช้ทั้งสองภาษาพร้อมกันก็ได้ ภาพตามเอกสารท้ายฟ้องมุมขวาบนที่เป็นหน้าเฟซบุ๊กของนายพงศธร บันทอน ชื่อของผู้ใช้มีภาษาอังกฤษว่า (Siamaid) ต่อท้าย แต่ภาพที่มีการโพสต์ข้อความมุมซ้ายและขวาล่างไม่มีข้อความว่า (Siamaid) ต่อท้าย ปกติเมื่อตรวจพบข้อความผิดกฎหมายบนอินเทอร์เน็ตก็จะบันทึกเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ หากมีการตัดต่อภาพก็จะไม่น่าเชื่อถือ
ธนิต ตอบคำถามด้วยว่า ปกติคดีความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ต้องตรวจสอบหมายเลขไอพีแอดเดรสทุกคดี เพราะเป็นหลักฐานสำคัญ หากได้หมายเลขไอพีแอดเดรสมาก็จะบอกสถานที่และวันเวลาที่โพสต์ข้อความ หากมีความรู้คอมพิวเตอร์มากก็จะสามารถหลบเลี่ยงการระบุสถานที่โพสต์ข้อความได้
ในคดีนี้ผู้ให้บริการเฟซบุ๊กไม่ให้หมายเลขไอพีแอดเดรส ยังมีวิธีการอื่นในการหาหมายเลขไอพีแอดเดรสได้ แต่ไม่แน่นอน ตามอำนาจหน้าที่สามารถขอข้อมูลการใช้งานจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตได้ด้วย แต่ขอได้ไม่เกิน 90 วันนับจากวันกระทำความผิด
สืบพยานโจทก์ปากที่สิบ ร.ต.ท.กง ไม่เศร้า พนักงานสอบสวน
ร.ต.ท.กง เบิกความว่า ปัจจุบันอายุ 32 ปี รับราชการตำแหน่งนี้มาตั้งแต่ปี 2555 วันที่ 29 กรกฎาคม 2557 ขณะเข้าเวรอยู่มี นายอัจฉริยะมาแจ้งความให้ดำเนินคดีกับผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อนายพงศธร บันทอน
ซึ่งโพสต์ข้อความหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ โดยมีเอกสารมาด้วย พบว่าข้อความตามเอกสารนั้นเป็นการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯอย่างชัดเจน เอกสารที่นำมาเป็นการถ่ายภาพหน้าจอ ตามเอกสารผู้โพสต์ข้อความและภาพคือนายพงศธร บันทอน
ร.ต.ท.กง อธิบายขั้นตอนการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ว่า หลังได้รับแจ้งความก็แจ้งให้กระทรวงไอซีทีตรวจสอบหาผู้ใช้เฟซบุ๊กแต่ไม่สามารถตรวจสอบได้ และแจ้งให้ฝ่ายสืบสวนหาข้อมูล ฝ่ายสืบสวนก็ไม่สามารถตรวจสอบได้
เมื่อเข้าไปดูที่เฟซบุ๊กของนายพงศธร ก็พบว่าบัญชีผู้ใช้นี้หาไม่พบแล้ว อาจเพราะถูกลบหรือถูกปิดไปแล้ว เมื่อทำหนังสือไปที่สำนักงานเขตหลักสี่ก็ทราบว่านายพงศธร บันทอน มีตัวตนอยู่จริง เคยมีชื่ออยู่ที่เขตดอนเมืองแต่ถูกจำหน่ายชื่อออกตั้งแต่ปี 2547 และเนื่องจากเฟซบุ๊กตั้งอยู่ต่างประเทศคดีนี้เป็นความผิดนอกราชอาณาจักรจึงทำหนังสือหารือให้อัยการเข้าร่วมการสอบสวนด้วย
ร.ต.ท.กง อธิบายต่อว่า เมื่อตรวจสอบหาเจ้าของบ้านที่นายพงศธรเคยอยู่ กับพบว่าเจ้าของบ้านปัจจุบันไม่รู้จักนายพงศธร เพราะซื้อบ้านมาหลังจากที่จำหน่ายชื่อออกแล้ว จึงขอให้ศาลออกหมายจับโดยอาศัยภาพถ่ายบนเฟซบุ๊กที่ผู้ร้องทุกข์มอบให้ เนื่องจากนายพงศธร เคยสวมบัตรประชาชนที่เขตดอนเมือง จึงสอบถามตำรวจที่สถานีตำรวจดอนเมืองก็พบว่าเคยมีการร้องทุกข์เรื่องนี้ไว้ แต่ปัจจุบันคดีขาดอายุความแล้ว
ร.ต.ท.กง เล่าว่า ต่อมาวันที่ 11 ธันวาคม 2557 ตำรวจสันติบาลจับตัวผู้ต้องหาตามหมายจับได้ และนำมามอบให้ คือ จำเลยที่อยู่ในห้องพิจารณาคดีวันนี้ ก่อนสอบปากคำแจ้งสิทธิแล้วจำเลยไม่ต้องการทนายความ จำเลยให้การว่าเป็นผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อนายพงศธร บันทอน แต่ไม่ได้โพสต์ข้อความในคดีนี้ จำเลยเปิดอีเมล์และพิมพ์ข้อความออกมามอบให้ไว้เป็นอีเมล์ที่ติดต่อกับกูเกิ้ลเพื่อให้ลบข้อความดังกล่าว ซึ่งมีข้อความและรูปภาพตามฟ้องอยู่ในอีเมล์ด้วย จำเลยบอกว่าเคยแจ้งให้เฟซบุ๊กและกูเกิ้ลลบข้อความนี้ให้ แต่ไม่ได้แจ้งความต่อตำรวจ จำเลยแจ้งว่าเปิดเฟซบุ๊กชื่อนี้เมื่อปี 2553-2554 จำเลยเคยโพสต์หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ แต่ไม่ใช่ข้อความในคดีนี้
ร.ต.ท.กง เล่าอีกว่า หลังจับกุมตัวจำเลยได้ ก็นำลายนิ้วมือของจำเลยส่งไปตรวจเปรียบเทียบกับลายนิ้วมือของนายพงศธร ตามหลักฐานการย้ายเข้าที่เขตดอนเมือง ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่าเป็นบุคคลคนเดียวกัน หลังสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานร่วมกับอัยการแล้วเห็นว่านายพงศธร บันทอน ในเฟซบุ๊ก กับนายปิยะ เป็นคนเดียวกัน จึงมีความเห็นควรสั่งฟ้อง
ร.ต.ท.กง ตอบคำถามทนายความว่า มีคนมาร้องทุกข์ในคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ จำนวนมาก หน่วยงานต่างๆ ที่ตรวจเจอจะส่งมาให้ ส่วนใหญ่ผู้โพสต์ข้อความจะไม่ใช้ชื่อจริงและภาพจริง แต่ก็มีบางรายที่ใช้ ปกติถ้าเฟซบุ๊กยังเปิดอยู่จะหาตัวผู้กระทำความผิดได้ แต่ถ้าเฟซบุ๊กปิดไปแล้วต้องใช้วิธีการขอไอพีแอดเดรสซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ได้มา หากเฟซบุ๊กยังเปิดอยู่ก็จะมีวิธีหาไอพีแอดเดรสได้ แต่ไม่บอกว่าวิธีไหนเพราะเป็นช่องทางของฝ่ายสืบ
ร.ต.ท.กง เบิกความอีกว่า ภาพที่นำมาฟ้องนั้นเฟซบุ๊กของดีไทอีสาน และเฟซบุ๊ก Tui Fishing เป็นคนโพสต์ขึ้น เป็นการนำภาพสี่ภาพที่ถ่ายจากหน้าจอมารวมเป็นภาพเดียว ซึ่งไม่ทราบว่าใครเป็นคนทำ
ผู้ร้องทุกข์ทั้งหมดไม่มีภาพต้นฉบับจากเฟซบุ๊กของพงศธรโดยตรง แต่เป็นการแชร์และโพสต์ภาพที่บุคคลอื่นจัดทำขึ้น ซึ่งหลักฐานในการร้องทุกข์ทั้งหมดเป็นภาพเดียวกัน ในชั้นสอบสวนจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้โพสต์ข้อความที่ฟ้องในคดีนี้ แต่รับว่าภาพนี้เป็นภาพประจำเฟซบุ๊กของตน จากประสบการณ์การทำงานพบกรณีการใช้ภาพและชื่อของบุคคลอื่นมาสร้างเฟซบุ๊กปลอมเพื่อหาผลประโยชน์และทำให้บุคคลนั้นเสียหาย
ทนายความถามว่า จากภาพที่เป็นหลักฐานในคดีนี้บอกไม่ได้ว่าใครเป็นผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อบัญชีนายพงศธร บันทอน ใช่หรือไม่ ร.ต.ท.กง ตอบว่า ใช่
อัยการแถลงหมดพยาน ฝ่ายจำเลยแถลงขอสืบพยานจำเลยในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2558 ตามที่นัดไว้ก่อนหน้านี้ และขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมอีก 1 ปาก คือ นายอาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์และสื่อสังคมออนไลน์
24 พฤศจิกายน 2558
สืบพยานจำเลยปากที่หนึ่ง ปิยะหรือพงศธร จำเลย
ปิยะ เบิกความว่า ปัจจุบันอายุ 46 ปี ก่อนถูกจับทำงานประสานงานและเขียนโปรแกรมเบื้องต้นสำหรับโทรศัพท์แอนดรอย ในส่วนของคดี ปิยะปฏิเสธว่าไม่ได้ทำความผิดตามฟ้อง และไม่ทราบว่าใครเป็นคนโพสต์ข้อความที่เป็นเหตุแห่งคดี
สำหรับการเปลี่ยนชื่อ ปิยะเบิกความว่าเคยเปลี่ยนชื่อหลายครั้งด้วยเหตุผลแตกต่างกันไป ปิยะคือชื่อเดิมของตน ต่อมาตนเปลี่ยนชื่อเป็นพิศล และวิวรรธ โดยเปลี่ยนเพราะความเชื่อเรื่องการเสริมดวงของแม่ ประมาณปี 2544 ตนเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็นจันทร์ทอน บันทอน และเปลี่ยนเป็นพงศธร บันทอน ตามลำดับ เพราะเหตุผลด้านธุรกิจ
ปิยะ เล่าว่า ช่วงปี 2553-2554 เคยใช้เฟซบุ๊กชื่อ "นายพงศธร บันทอน (Siamaid)" หลังจากนั้นไม่ได้ใช้แล้ว แต่มาใช้เฟซบุ๊กชื่อ Piya ซึ่งไม่เคยโพสเรื่องการเมือง ช่วงปี 2557 แฟนโทรศัพท์มาบอกตนว่า มีภาพและข้อความหมิ่นตามฟ้องปรากฎบนเฟซบุ๊ก"นายพงศธร บันทอน (Siamaid)" ซึ่งเลิกใช้ไปแล้ว ตนจึงลองค้นหาภาพในกูเกิ้ลด้วยคำว่าพงศธร บันทอน ก็พบภาพหนึ่งภาพที่มีสี่ภาพย่อยรวมกัน จึงแจ้งไปทางกูเกิ้ลให้ลบภาพนี้ออก เพราะเห็นว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่าปล่อยให้คนแชร์ต่อ ปิยะเบิกความด้วยว่า ที่ไม่ไปแจ้งความกับตำรวจเป็นเพราะกลัวโดนคดีเรื่องการสวมบัตร
ปิยะ เบิกความว่า ช่วงปี 2557 เคยพยายามเข้าเฟซบุ๊กชื่อนายพงศธร บันทอน แต่เข้าไม่ได้ เป็นไปได้ว่ามีคนลบหรือปิดไป ขณะถูกจับกุม เจ้าหน้าที่ไม่ได้ให้ตนดูข้อความและภาพตามฟ้อง รวมทั้งไม่ได้บอกตนว่าจับเพราะอะไร จึงรับกับตำรวจเพียงว่า เป็นบุคคลตามหมายจับ สำหรับคอมพิวเตอร์ของกลางที่ถูกยึดในคดีนี้เป็นของตนทั้งหมด โดยลงทะเบียนไว้ด้วยชื่อปิยะ
ปิยะ ตอบคำถามค้านของอัยการว่า ไม่ทราบมาก่อนว่าชื่อวิวรรธ ถูกแจ้งตายแล้ว มาทราบก็ตอนถูกคุมขังอยู่ การเปลี่ยนชื่อและบัตรประชาชนคนเป็นคนดำเนินการเองโดยทราบอยู่แล้วว่าผิดกฎหมาย หลังเปลี่ยนช่ื่อก็ใช้ชื่อพงศธรในการติดต่อทั่วไป ไม่ได้ปกปิด สำหรับบัญชีเฟซบุ๊กชื่อพงศธรสมัครด้วยอีเมล์ joob14591
อัยการถามถึงข้อความที่ปิยะส่งไปหากูเกิล เรื่องให้ลบภาพและข้อความตามฟ้อง ปิยะจำไม่ได้แน่ชัดว่าส่งไปเมื่อใด แต่จำได้ว่าส่งไปภายใน 1 สัปดาห์หลังเห็นข้อความและภาพดังกล่าว อัยการให้ปิยะดูภาพตามเอกสารที่ส่งให้กูเกิ้ลเพื่อยืนยัน ปิยะตอบอัยการว่า เอกสารดังกล่าวเป็นอีเมล์ที่กูเกิ้ลตอบกลับมา แต่ไม่มีอีเมล์ที่ตนส่งให้กูเกิ้ลรวมอยู่ด้วย
ปิยะ กล่าวว่า ตนไม่ได้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพราะกูเกิ้ลแจ้งว่า จะเป็นผู้ดำเนินการตามกฎหมายเอง ตั้งแต่ถูกจับ ตนก็ไม่ได้ติดต่อกับกูเกิ้ลอีก ว่ามีดำเนินการอย่างไร
ปิยะเบิกความต่อว่า การสอบปากคำในชั้นสอบสวน มีอัยการร่วมสอบด้วย แต่ไม่ได้นั่งอยู่ตลอด สำหรับการลงลายมือชื่อบนเอกสารของพนักงานสอบสวน ปิยะรับว่าเป็นคนลงชื่อ แต่ลงโดยไม่ได้อ่านเอกสารอย่างละเอียด เพราะขณะนั้นตำรวจจะรีบนำตนไปฝากขังที่สน.ทุ่งสองห้อง
หลังสืบพยานปากนี้เสร็จ ฝ่ายจำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยานผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์อีกต่อไป และแถลงหมดพยาน ศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 28 ธันวาคม 2558 เวลา 11.00 น.