- คดีอื่นๆ, ฐานข้อมูลคดี
ผู้ชุมนุมหนองแซง ดูหมิ่นนายกอบต.
ผู้ต้องหา
สถานะคดี
คดีเริ่มในปี
โจทก์ / ผู้กล่าวหา
นายตี๋ และพวกอีก 2 คน เป็นกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านโรงไฟฟ้าหนองแซง จ.สระบุรี ออกรณรงค์ปราศรัยคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ถูกนายกอบต. แจ้งความว่าหมิ่นประมาท ศาลตัดสินว่าผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า ให้จำคุกคนละ 15 วัน ปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา
สารบัญ
ภูมิหลังผู้ต้องหา
นายพินิต พูนพิพัฒน์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ไม่เห็นด้วยและได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในเขตอำเภอหนองแซง จังหวัดสระบุรี
นางปฐมมน กัณหา จำเลยที่ 3 เคยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 7 ตำบลหนองกบ อำเภอหนองแซง จังหวัดสระบุรี 3 สมัยติดต่อกัน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540-2554
ข้อหา / คำสั่ง
การกระทำที่ถูกกล่าวหา
นายตี๋ ตรัยรัตนแสงมณี และพวกรวม 3 คน ถูกกล่าวหาว่า วันที่ 12 กันยายน 2553 ได้ร่วมกันกล่าววาจาดูหมิ่น นางสุคนธ์ สหาวัตร นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองน้ำใส อำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผ่านเครื่องขยายเสียงให้ประชาชนที่ผ่านไปมาได้ยินด้วยถ้อยคำว่า “นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองน้ำใสเป็นหมารับใช้โรงไฟฟ้าหนองแซง และจะไปฉีกใบปริญญาที่อยู่กับนายกและจะไปที่สถาบันที่จบมาเพื่อจะให้ทางสถาบันฉีกปริญญา นายก อบต.เรียนจบมา เนื่องจากเรียนมาแล้วไม่ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์ ไม่ได้นำความรู้ที่เรียนมาพัฒนาหมู่บ้าน” เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 393
พฤติการณ์การจับกุม
จำเลยเข้ามอบตัวและรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก ไม่มีการจับกุม
บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล
หมายเลขคดีดำ
ศาล
เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
ดูคดีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้คัดค้านโรงไฟฟ้าหนองแซง ได้ที่ http://freedom.ilaw.or.th/case/493
แหล่งอ้างอิง
นายตี๋ ตรัยรัตนแสงมณี และพวกรวม 3 คน ออกรณรงค์ให้ข้อมูลกับชาวบ้านให้ข้อมูลเกี่ยวกับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าหนองแซง และข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิชุมชน ที่บริเวณตลาดอำเภอภาชีโดยมีเครื่องเสียง รถอีแต๋น และรถยนต์กระบะอยู่ในขบวน
นางสุคนธ์ สหาวัตร ได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีนายตี๋ ตรัยรัตนแสงมณี และพวก
สถานีตำรวจภูธรภาชี ออกหมายเรียก นายตี๋ ตรัยรัตนแสงมณี ให้เข้ามาพบเจ้าพนักงาน
จำเลยทั้งสามเข้าพบพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา “หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา” และทำการสอบสวนแล้ว โดยจำเลยทั้งสามมิใช่ผู้ถูกจับและยังไม่มีการออกหมายจับ ในชั้นสอบสวนนี้ จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
จำแลยทั้งสามพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติม โดย ร.ต.อ.ธวัชชัย จันทร์เรือง พนักงานสอบสวน แจ้งข้อหา “ร่วมกันดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าด้วยการโฆษณา”
จำเลยทั้งสามเดินทางมายังศาลจังหวัดแขงพระนครศรีอยุธยารับทราบคำฟ้องแล้ว ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และขอให้ศาลยกฟ้อง ศาลจึงนัดวันสืบพยานใหม่
นางสุคนธ์ สหาวัตร เข้าเบิกความต่อศาลว่า การที่จำเลยดูหมิ่นด้วยการโฆษณานั้น อาจทำให้เกิดความเสียหายและคิดได้ว่าโจทก์มีส่วนได้ส่วนเสียกับโรงไฟฟ้าหนองแซง แต่ความจริงโรงไฟฟ้าหนองแซงได้ก่อสร้างขึ้นภายหลังที่โจทก์ได้ดำรงตำแหน่งนายก อ.บ.ต. หนองน้ำใสแล้ว อย่างไรก็ดีได้ยอมรับว่าเคยได้รับเลือกให้เป็นคนดังของโรงไฟฟ้าหนองแซง และเคยลงนามในการก่อสร้างของโรงไฟฟ้าหนองแซงหลายอย่าง รวมทั้งเคยอนุญาตให้โรงไฟฟ้าหนองแซงใช้พื้นที่ของ อ.บ.ต. ประชุม เคยไปดูงานโดยใช้งบของการไฟฟ้าหนองแซง นอกจากนั้นยังดำรงตำแหน่งกรรมการของโรงไฟฟ้าหนองแซง และได้รับเงินค่าเบี้ยประชุมในเงินกองทุนที่ได้รับจากโรงไฟฟ้าหนองแซง
กำหนดวันพิจารณาคดี แต่เนื่องจากโจทก์และทนายจำเลยติดใจสืบพยานเพิ่ม ศาลจึงให้เลื่อนไปนัดสืบพยานโจทก์และจำเลยต่อไปก่อน
เบิกความพยานโจทก์ นางกองแก้ว สีหาโม้ อายุ 50 ปี อาชีพค้าขาย เบิกความว่าในวันเกิดเหตุได้เห็นจำเลยที่ 1 พูดข้อความหมิ่นนายกอบต. หนองน้ำใสผ่านเครื่องกระจายเสียง และจำเลยที่ 2 และ 3 พูดข้อความเดียวกัน โดยพูดทีละคนเรียงกันไป โดยวันดังกล่าวไม่ได้พบกับผู้เสียหายแต่ได้มาเจอกับผู้เสียหายในวันรุ่งขึ้น และได้สอบถามผู้เสียหายว่าอับอายหรือไม่ที่ปล่อยให้เขาด่าว่า ผู้เสียหายจึงถามว่าได้ยินที่จำเลยพูดหมิ่นใช่หรือไม่ และชักชวนให้มาเป็นพยานให้
กำหนดวันพิจารณาคดี แต่เนื่องจากโจทก์ยังคงติดใจสืบพยานเพิ่ม จึงเลื่อนให้ไปนัดสืบพยานโจทก์ต่อไปก่อน
กำหนดวันพิจารณาคดี นัดสืบพยานโจทก์ ด.ต.บุญนาค เมี่ยงอิ่ม อายุ 48 ปี อาชีพรับราชการตำรวจ เบิกความว่าในวันเกิดเหตุ จำเลยทั้งสามได้นั่งรถอีแต๋น บรรทุกเครื่องเสียงมาที่ข้างตู้ยาม แล้วผลัดกันขึ้นพูดกล่าวหานายก อ.บ.ต.หนองน้ำใส ซึ่งขณะที่ได้ยินพยานอยู่ในตู้ยาม แต่ก็สามารถได้ยินเสียงได้ชัดเจน
นัดสืบพยานจำเลยวันนี้ แต่สามารถนำเข้าสืบได้ 1 ปาก เหลือพยาน 3 ปาก จึงให้เลื่อนนัดไปสืบพยานจำเลยต่อ นายตี๋ ตรัยรัตนแสงมณี อายุ 56 ปี จำเลยที่ 1 เบิกความว่าในวันเกิดเหตุ กลุ่มของจำเลยได้มีการประชุมเพื่อออกรณรงค์ให้ข้อมูลแก่ชาวบ้าน มีชาวบ้านประมาณ 50 คนมาร่วมประชุม หลังจากปราศรัยไปประมาณ 50 นาที จำเลยได้ขอตัวกลับ เนื่องจากต้องไปติดตั้งเครื่องปรับอากาศที่ อ.บ.ต.โคกตูม อ.หนองแค จ.สระบุรี และได้พบกับเจ้าหน้าที่ อ.บ.ต. ชื่อนายกิตติ จูจันทร์ และได้อยู่ที่อ.บ.ต. ดังกล่าวตั้งแต่ 14-21 นาฬิกา จากนั้นได้เดินทางกลับบ้าน
นางปฐมมน กัณหา อายุ 59 ปี อาชีพค้าขาย จำเลยที่ 3 เบิกความว่าในวันเกิดเหตุกลุ่มของจำเลยได้มีการจัดเวทีให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม หลังจากปราศรัยไปได้ถึงประมาณ บ่ายโมง จำเลยที่ 1 ขอตัวไปทำแอร์ หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 และ 3 จึงได้เดินทางไปประชาสัมพันธ์งานของกลุ่มบริเวณตลาดนัดที่เกิดเหตุ และได้แบ่งกันพูดในหัวข้อต่างๆ โดยจำเลยที่ 2 พูดเรื่องการแย่งน้ำและปริมาณน้ำที่ใช้ในการทำโรงไฟฟ้า ส่วนจำเลยที่ 3 พูดเรื่องผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและมลพิษต่างๆ โดยจำเลยที่ 3 กล่าวว่าไม่เห็นพยานโจทก์ที่มาเบิกความซึ่งอ้างว่ายืนอยู่แถวนั้นเลย
นายพินิต พูนพิพัฒน์ อายุ 54 ปี อาชีพรับราชการ เบิกความว่าในวันเกิดเหตุได้ออกรณรงค์ให้เกษตรกรทราบถึงผลกระทบของการสร้างโรงไฟฟ้า ต่อมาเวลาประมาณ 12 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ขอตัวไปทำธุระโดยบอกว่าจะไปที่องค์การบริหารส่วนตำบลโคกตูมกิ่งโพนทอง จังหวัดสระบุรี และไม่ได้กลับมาที่ปราศรัยอีก
ศาลแขวงพระนครศรีอยุธยานัดอ่านคำพิพากษา ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยทั้งสามแล้วพบว่า ว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้อง ที่จำเลยที่ 1 ในขณะที่คำเบิกความของจำเลยที่ 2 และ 3 ยังไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ แม้ว่าผู้เสียหายจะยอมรับว่า ผู้เสียหายเป็นกรรมการของโรงไฟฟ้าหนองแซงและได้รับเงินค่าเบี้ยประชุมในเงินกองทุนที่ได้รับจากโรงไฟฟ้าหนองแซงจริง แต่จำเลยทั้งสามก็ไม่มีสิทธิที่จะร่วมพูดจาดูหมิ่นผู้เสียหาย แต่การที่จำเลยทั้งสามออกรณรงค์ให้ความรู้แกชาวบ้านเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมนับเป็นประโยชน์ต่อสังคมเห็นควรลงโทษสถานเบา
ทนายความจำเลยขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์
คดีนี้ผู้เสียหายและพยานโจทก์ทุกปากล้วนมีเหตุในการปรักปรำจำเลยให้ต้องคดีและรับโทษทางอาญา เนื่องจากจำเลยทั้งสามเป็นแกนนำชาวบ้านที่รวมตัวกันขึ้นมาเพื่อศึกษาถึงผลกระทบของโรงงานไฟฟ้าที่อาจเกิดขึ้นกับชุมชน ส่วนผู้เสียหายเป็นนักการเมืองท้องถิ่นที่มีความใกล้ชิดกับโรงไฟฟ้าและมีผลประโยชน์ทางการเมืองหลายประการ ดังนั้นผู้เสียหายย่อมมีเหตุจะปรักปรำจำเลย อีกทั้งพยานโจทก์ก็เป็นคนของฝ่ายผู้เสียหาย ดังนั้นพยานโจทก์ก็ย่อมจะเบิกความเพื่อช่วยผู้เสียหาย นอกจากนั้นจำเลยขอเรียนต่อศาลว่า การแจ้งความดำเนินคดีของโรงไฟฟ้าหรือผู้สนับสนุนโรงไฟฟ้าในหลายคดี ล้วนแต่เป็นขบวนการยับยั้งการเคลื่อนไหวของจำเลยและชาวบ้าน เพื่อให้ชาวบ้านกลัวและไม่กล้าออกมาต่อต้านโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นการดำเนินคดีที่มีวัตถุประสงค์แอบแฝง การแจ้งความดำเนินคดีก็นานเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไปจะกระทำ และการเบิกความก็มีลักษณะที่จดจำถ้อยคำตามฟ้องที่แม่นยำเกินกว่าประชาชนทั่วไปจะจดจำได้
คดีนี้พยานโจทก์ได้เบิกความขัดกันในข้อเท็จจริงอยู่หลายประการ อันแสดงให้เห็นว่าพยานโจทก์ทั้งสี่คนไม่ได้ประสบพบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวจริง นอกจากนั้นพยานโจทก์ทั้งสี่ปากได้เบิกความอันเป็นพิรุจน์ ไม่อยู่กับร่องกับรอยเกี่ยวกับการมองเห็นและโอกาสจดจำจำเลยทั้งสาม เนื่องจากพยานทั้งสี่รู้จักกัน แต่กลับเบิกความว่าในเหตุการณ์ไม่พบเห็นกัน ซึ่งขัดต่อหลักเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง