2 พฤษภาคม 2549
"พิภพ" ถูกจับกุมขณะขายหนังสืออยู่ในงานชุมนุมเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร หนังสือที่เป็นมูลเหตุของการจับกุมมีสองเล่ม เล่มแรกคือวารสารฟ้าเดียวกันฉบับสถาบันกษัตริย์กับสังคมไทย เล่มที่สองคือหนังสือกงจักรปีศาจ
"พิภพ"ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในวันเดียวกันนั้น
22 พฤษภาคม 2556
อัยการนัดส่งฟ้อง"พิภพ"เวลา 9.00 น. แต่ทนายความขอเลื่อนนัดส่งฟ้อง เพราะยังหาหลักทรัพย์มาประกันตัวไม่ได้ อัยการนัดวันใหม่เป็นวันที่ 27 มิถุนายน 2556
27 มิถุนายน 2556
วันนัดส่งฟ้อง ทนายความร้องขอต่ออัยการให้เลื่อนนัดส่งฟ้องออกไป เพราะจำเลยยังหาหลักทรัพย์มาประกันตัวไม่ได้ อัยการนัดวันส่งฟ้องใหม่เป็นวันที่ 31 กรกฎาคม 2556
31 กรกฎาคม 2556
วันนัดส่งฟ้อง ทนายความร้องขออัยการให้เลื่อนนัดวันส่งฟ้องออกไปอีกครั้ง เพราะจำเลยยังหาหลักทรัพย์มาประกันตัวไม่ได้ อัยการนัดวันส่งฟ้องใหม่เป็นวันที่ 27 สิงหาคม 2556
27 สิงหาคม 2556
วันนัดส่งฟ้อง ทนายความและ"พิภพ"เดินทางเข้าพบพนักงานอัยการตั้งแต่เช้าก่อนจะเดินทางมาศาลเพื่อมาส่งฟ้องในเวลาประมาณ10.45 น. หลังส่งฟ้องเจ้าพนักงานตำรวจนำตัว"พิภพ"ไปยังห้องควบคุม
ทนายความดำเนินเรื่องขอปล่อยตัวจำเลยชั่วคราว มีเจ้าหน้าที่จากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพเดินทางมาพร้อมกับนำเงินประกันจำนวน 300,000 บาทมาด้วย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อความในเอกสารของกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพเขียนไว้ไม่ชัดเจน ศาลขอให้มายื่นเรื่องขอปล่อยตัวชั่วคราวเรื่องใหม่ในวันรุ่งขึ้น "พิภพ"จึงถูกส่งไปควบคุมตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯเป็นการชั่วคราวระหว่างรอคำสั่งศาลเรื่องการปล่อยตัวชั่วคราว
28 สิงหาคม 2556
ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัว"พิภพ"เป็นการชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคดี "พิภพ"ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพในเวลา20.30 น. ของวันเดียวกัน ทั้งนี้ ศาลกำหนดนัดพร้อมประชุมคดีในวันที่ 7 ตุลาคม 2556
7 ตุลาคม 2556
ศาลนัดพร้อม นัดสอบคำให้การ และนัดตรวจพยานหลักฐาน "พิภพ"ให้การปฏิเสธต่อศาล โดยให้การว่าหนังสือที่ขายนั้นมีคนมาฝากขาย ตนไม่เคยอ่านข้อความในหนังสือ
ศาลจึงขอให้ทนายจำเลยรับคำให้การของพยานที่จะมาให้การเรื่องการตีความเนื้อหาของข้อความที่ถูกนำมาฟ้อง แต่ทนายความยืนยันจะต่อสู้ในประเด็นนี้ เพราะข้อความที่นำมาฟ้องทั้ง 6 ข้อความนั้นตัดตอนมาจากหนังสือ และต้องการจะต่อสู้ว่าการตีความว่าข้อความนั้นเป็นความผิดหรือไม่ต้องดูจากหนังสือทั้งเล่ม ซึ่้งเนื้อหาในหนังสือนั้นเป็นการกล่าวถึงทฤษฎีซึ่งไม่มีการยืนยันข้อเท็จจริง จึงไม่ใช่เนื้อหาที่มีลักษณะหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือาฆาตมาดร้าย
เบื้องต้นศาลไม่ต้องการให้ต่อสู้ในประเด็นเนื้อหา เพราะเห็นว่าในรัฐธรรมนูญกำหนดไว้แล้วว่าองค์พระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะที่ล่วงละเมิดมิได้ และข้อยกเว้นเรื่องการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตตามมาตรา 329 ไม่อาจนำมาใช้ยกเว้นกับความผิดตามมาตรา 112 ได้ แต่ทนายยืนยันขอใช้สิทธิต่อสู้เพื่อดำเนินคดีต่อในศาลสูง
พนักงานอัยการโจทก์ยื่นบัญชีพยานระบุต้องการสืบพยาน 7 ปาก ทนายความจำเลยระบุต้องการสืบพยาน 4 ปาก ศาลจึงนัดสืบพยานในวันที่ 11-13 กุมภาพันธ์ 2557 โดยสืบพยานโจทก์สองวัน สืบพยานจำเลยหนึ่งวัน และศาลสั่งพิจารณาคดีนี้เป็นการลับ
พร้อมกันนี้ทนายความได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมไปยังพนักงานอัยการ โดยระบุว่า"พิภพ"เป็นคนขายหนังสือเร่และไม่มีเจตนาในการกระทำความผิดเพราะไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้มาก่อน และไม่รู้ว่าหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับอะไร
11 กุมภาพันธ์ 2557
นัดสืบพยานโจทก์วันแรก ก่อนสืบพยานศาลชี้แจงว่าเป็นการสืบพยานลับ ผู้ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้า ในห้องพิจารณาจึงมีเพียงอัยการ 3 คน อัยการผู้ช่วย 2 คน จำเลย ทนายจำเลย 3 คน และพยานโจทย์เท่านั้น
พล.ต.ต.พันธศักดิ์ ศาสนอนันต์ อดีตตำรวจสันติบาล เบิกความสรุปได้ว่า ขณะเกิดเหตุเป็นผู้กำกับฝ่ายอำนวยการ 4 กองบังคับการตำรวจสันติบาล มีหน้าที่ดูแลคดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ และเป็นผู้กล่าวโทษในคดีนี้
คดีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ลุมพินีมาแจ้งว่าจับกุมจำเลยพร้อมหนังสือกงจักรปีศาจและหนังสืออีก 1 เล่ม คณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพประชุมกันแล้วเห็นว่าเข้าข่ายผิดมาตรา 112 จึงมอบหมายให้ตนไปร้องทุกกล่าวโทษที่สน.ลุมพินีเพื่อเอาผิด และส่งเรื่องให้เจ้าพนักงานการพิมพ์ประกาศเป็นหนังสือต้องห้าม
พล.ต.ต.พันธศักดิ์รับว่า ไม่เคยอ่านหนังสือทั้งเล่ม เพราะไม่ได้เป็นคณะกรรมการ เป็นเพียงผู้รับมอบอำนาจให้ไปแจ้งความ ตามปกติในการพิจารณาจะตัดข้อความบางส่วนมาพิจารณาไม่ได้ ต้องพิจารณาหนังสือทั้งเล่ม พล.ต.ต.พันธศักดิ์ระบุว่า ถ้าคนขายหนังสือไม่ได้อ่านหนังสือก่อนก็ไม่มีความผิด
พ.ต.อ.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผู้ตรวจยึดหนังสือ เบิกความว่า วันที่ 2 พ.ค. 49 ขณะนั้นเป็นสารวัตรสืบสวนสน.ลุมพีนี แต่งกายนอกเครื่องแบบไปตรวจตรากลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรกู้ชาติที่สวนลุมพินี มาพบแผงหนังสือวางกับพื้นขนาด 2.5×1 เมตร มีขายเสื้อผ้า หมวก สายรัดข้อมือด้วย
แผงหนังสือนี้ตั้งอยู่ที่ฟุตบาทมีคนผ่านไปมาเยอะ มีหนังสือหลายเล่ม ตอนแรกเห็นหนังสือฟ้าเดียวกัน ซึ่งทราบว่าเป็นหนังสือต้องห้ามวางอยู่บนสุด มีหนังสือกงจักรปีศาจวางอยู่ด้วย เมื่อเปิดดูคร่าวๆ เนื้อหาบางช่วงเกี่ยวกับกรณีสวรรคของรัชกาลที่ 8 และพบหนังสือการเมืองสมัยท้าวสุรนารี เมื่อเห็นว่ากงจักรปีศาจเป็นหนังสือเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์เลยซื้อมาเล่มละ 500 บาท
ต่อมาในวันเดียวกัน ได้ทำการจับกุมตัวจำเลย ด้วยข้อหาที่จำหน่ายหนังสือฟ้าเดียวกัน ตามพ.ร.บ.การพิมพ์ 2484
หนังสือบนแผงของจำเลยไม่ได้วางเป็นกอง วางเล่มใครเล่มมัน ตนเองซื้อหนังสือมาแค่ 2 เล่ม ส่วนเล่มอื่นจะเกี่ยวกับอะไรนั้นจำไม่ได้ บทสรุปของหนังสือจะเป็นอย่างไรไม่ทราบ และคดีหนังสือฟ้าเดียวกันจะเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ
เนื่องจากพยานโจทก์อีก 2 ปากคือ ศ.พิเศษธงทอง จันทรางศุ และนายสิรภพ เหล่าลาภะ ไม่มาศาลตามเวลาที่กำหนด อัยการโจทก์จึงขอให้จำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามคำเบิกความในชั้นสอบสวนของพยานทั้งสองปาก แต่ทนายจำเลยแถลงว่าติดใจขอซักค้าน ศาลจึงให้เลื่อนออกไปสืบพยานโจทก์ต่อในวันถัดไป
12 กุมภาพันธ์ 2557
นัดสืบพยานโจทก์ วันที่สอง
นายเสถียร วิพรมหา พยานผู้ให้ความเห็น เบิกความสรุปได้ว่า ขณะเกิดเหตุเป็นอาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ และเป็นสมาชิกเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ด้วย
นายเสถียรเบิกความว่า เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้เพราะ พนักงานสอบสวนสน.ลุมพินีเชิญมาให้ความเห็นทางวิชาการในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนา โดยให้ดูข้อความจากสำเนาหนังสือกงจักรปีศาจ 6 ข้อความ โดยดูเป็นข้อความ ไม่ได้ดูทั้งเล่ม
ตนเองไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้มาก่อน เพียงแต่เคยได้ยินกลุ่มชาวพุทธพูดกันว่ามีเนื้อหาล่อแหลม ไม่ควรยุ่งเกี่ยว สำหรับข้อความในหนังสือเกี่ยวกับการสวรรคตของรัชกาลที่ 8 คิดว่า ถ้าคนรุ่นหลังได้อ่านอาจจะเข้าใจผิด ส่วนตัวเห็นว่าหนังสือเล่มนี้ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ เพราะคนอ่านมีวุฒิภาวะไม่เท่ากันทุกคน
เมื่อตอนอ่านข้อความที่สน.ลุมพินี เห็นว่าสิ่งที่เขียนเป็นข้อคิดเห็นหรือการคาดคะเนของคนเขียน ไม่ใช่การยืนยันข้อเท็จจริง ผู้เขียนเขียนไว้แล้วว่าทฤษฎีบางอย่างพิสูจน์ไม่ได้ ทฤษฎีอุบัติเหตุนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างยิ่ง และมีเขียนไว้ด้วยว่าสมเด็จพระอนุชาทรงปราศจากความผิด
การพิจารณาว่าหนังสือจะผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์หรือไม่ต้องพิจารณาหนังสือทั้งเล่ม หรือทั้งบท สุดท้ายหนังสือเล่มนี้มีบทสรุปว่าอะไรไม่ทราบเพราะไม่ได้อ่าน ส่วนตัวคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรคาดคะเน แต่อ่านแล้วก็ไม่เชื่อข้อความเหล่านั้น เคยได้ยินว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยมีพระราชดำรัสเมื่อปี 2548 ว่าถ้าใครเข้าคุกด้วยมาตรา 112 จะทำให้พระองค์เดือดร้อน
หลังการสืบพยานปากนี้อัยการกับทนายจำเลยตกลงรับคำให้การของหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน แต่จะสืบพยานปากพนักงานสอบสวน นายเสถียร พยานในวันนี้ติดต่อศ.พิเศษ ธงทอง และนายสิรภพได้สำเร็จ พยานทั้งสองปากแจ้งว่าจะมาเบิกความในวันถัดไป
ศาลจึงให้สืบพยานโจทก์ต่อในวันที่13กุมภาพันธ์และให้สืบพนักงานสอบสวนในวันเดียวกัน สำหรับวันนัดสืบพยานจำเลยซึ่งเดิมนัดไว้วันที่ 13 กุมภาพันธ์ให้เลื่อนออกไปก่อน
13 กุมภาพันธ์ 2557
นัดสืบพยานโจทก์ วันที่สาม
นายสิรภพ เหล่าลาภะ พยานผู้ให้ความเห็น เบิกความสรุปได้ว่า ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อแล้วเป็นเอกภพ ขณะเกิดเหตุเป็นสมาชิกเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อยู่ฝ่ายวิชาการ ประมาณปลายปี 2549 ตำรวจสน.ลุมพีนีมาเชิญให้ไปเป็นพยานในคดีนี้ มีหนังสือชื่อกงจักรปีศาจมาให้ดู สิ่งที่ให้ดูเป็นสำเนา 17 หน้า ให้เอากลับไปดูที่บ้าน
เมื่ออ่านแล้วเห็นว่าเกี่ยวกับเรื่องการสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ข้อความทั้ง 6 ที่นำมาฟ้องอ่านแล้วเห็นว่าเข้าข่ายมาตรา 112 โดยหลักการหนังสือเล่มนี้ไม่ควรออกมาเผยแพร่และไม่ควรเขียนขึ้นมา ประเทศชาติเสียหายด้วยการคิดไปกันเองมามากแล้ว เพราะคนอ่านมีวุฒิภาวะต่างกัน ในทางหลักวิชาคนที่ขาดวิจารณญาณมีแนวโน้มที่จะเชื่อ หรือถ้าไม่เชื่อก็เอาไปพูดคุยกันเป็นเรื่องเสียหายมาก โดยสรุปหนังสือเล่มนี้เป็นการดูหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน
นายสิรภพเบิกความว่า ไม่เคยเห็นหนังสือกงจักรปีศาจมาก่อนเพราะพนักงานสอบสวนให้อ่านสำเนา ไม่ทราบว่าคนเขียนเป็นใคร ในเอกสารกล่าวว่ามีคนหลายคนที่เกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคต เช่น อ.ปรีดี จอมพลป. มีการเขียนว่าทฤษฎีอุบัติเหตุนั้นเป็นไปไม่ได้
สำหรับตนเอง เมื่ออ่านแล้วก็ไม่เชื่อในการคาดคะเนของคนเขียน โดยส่วนตัวเห็นว่า เนื้อหาจะเข้าข่ายหมิ่นฯหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องอ่านทั้งเล่ม หากมีข้อความที่เข้าข่ายเป็นการหมิ่นฯก็ถือว่าหนังสือเล่มนี้หมิ่นฯแล้ว
นายสิรภพเบิกความว่า ตนก็เป็นคนขายหนังสือ คนขายหนังสือทั่วไป 80-90% ไม่อ่านหนังสือที่ตัวเองขาย สำหรับตนเองจะต้องอ่านอย่างน้อยก็สารบัญ การดูว่าหนังสือเล่มไหนเกี่ยวกับอะไรต้องดูที่หน้าปก หน้าปกหนังสือเล่มนี้เขียนว่าเป็นเรื่องการสวรรคตของรัชกาลที่ 8 คนขายต้องเคยเห็นหน้าปกหนังสือ ส่วนจะอ่านรายละเอียดข้างในหรือไม่นั้นไม่ทราบ
การนำหนังสือมาขายจะเป็นความผิดหรือไม่ต้องดูเป็นรายกรณี ถ้าผู้ขายไม่ทราบข้อความในหนังสือ ก็ไกลเกินกว่าเหตุที่จะเป็นความผิด
หลังเสร็จสิ้นการสืบพยานปากนี้ ศาลเรียกอัยการและทนายจำเลยไปตกลงหาวันนัดสืบพยานจำเลยใหม่ เป็นวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ศาลเตือนทนายจำเลยว่าถ้าจะสืบพยานปากนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ต้องให้ระวัง ศาลไม่อยากให้สืบ ถ้าถามนอกประเด็นศาลจะไม่ให้ถาม
ศาตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ พยานความเห็น เบิกความสรุปได้ว่า ขณะเกิดเหตุเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม พนักงานสอบสวนสน.ลุมพินีมาเชิญไปให้ความเห็นต่อข้อความในหนังสือกงจักรปีศาจ ซึ่งไม่ได้เอามาให้ดูทั้งเล่ม แต่ให้ดูเอกสารถ่ายสำเนา เท่าที่จำได้เอกสารเกี่ยวกับกรณีสวรรคตของรัชกาลที่แปด มีข้อความหลายตอนที่เป็นการหมิ่นประมาทรัชกาลที่เก้า เข้าข่ายมาตรา 112
ศาตราจารย์พิเศษ ธงทองเบิกความว่า ตัวเองป็นผู้สนใจศึกษาค้นคว้าประวัติศาตร์ ไม่เคยอ่านหนังสือกงจักรปีศาจมาก่อน แต่เคยได้ยินว่ามีหนังสือเล่มนี้อยู่ ผู้เขียนเป็นชาวต่างประเทศ บทสรุปของหนังสือเป็นอย่างไรไม่ทราบ ในหนังสือกล่าวถึงหลายทฤษฎี ผู้เขียนเสนอความเป็นไปได้หลายทาง มีทั้งการกล่าวถึงอ.ปรีดี หรือจอมพลป. ว่าเข้ามาเกี่ยวข้อง ในหน้าสุดท้ายของเอกสารที่พนักงานสอบสวนนำมาให้ดูผู้เขียนเสนอความเห็นว่าอาจเป็นไปได้ว่าจะเป็นการปลงพระชนม์ตัวเอง
โดยปกติในคดีหมิ่นประมาทจะตัดข้อความส่วนหนึ่งมาพิจารณาไม่ได้ จะเป็นการด่วนสรุปเกินไป แต่หากอ่านทั้งเล่มแล้วมีบทสรุปแบบอื่น แต่ไม่ได้หักล้างข้อเท็จจริงเดิม ก็ยังเป็นการหมิ่นประมาทอยู่ หนังสือเล่มนี้หนา 800 หน้า ไม่คิดว่าคนไทยทั่วไปจะอ่านครบทั้งหมด หากเขียนข้อเท็จจริงที่เป็นการหมิ่นประมาทมาเยอะแล้วมาบอกตอนท้ายว่าข้อเท็จจริงเหล่านั้นอาจจะไม่จริง แต่คนอ่านอาจจะไม่ได้อ่านไปถึงหน้าสุดท้ายก็ได้ แต่ถ้ามีบทอืนมาหักล้างแล้วก็ถือว่าบทสรุปนั้นเป็นข้อความโดยรวมของหนังสือทั้งเล่ม
เมื่ออ่านทั้ง 6 ข้อความที่นำมาฟ้องแล้วไม่เชื่อ เพราะเคยอ่านเอกสารชิ้นอื่นมามาก จึงเชื่อตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่เคยมีไปแล้ว ถึงแม้ผู้เขียนจะใช้คำว่าทฤษฎี แต่ก็มีโอกาสที่คนอ่านแล้วจะเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง หากเป็นผู้ที่ไม่เคยศึกษาเอกสารอื่นมาก่อน เป็นไปได้ว่าจะเข้าใจไปได้หลายทาง
ศาตราจารย์พิเศษ ธงทองเบิกความว่า ทราบว่ามีหนังสือเกี่ยวกับกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ที่ตีพิมพ์ถูกต้องตามกฎหมายออกมาหลายเล่ม ทราบว่าจำเลยคดีนี้เป็นคนขายหนังสือ หากคนขายไม่ทราบข้อความก็ไม่ผิด
ศาตราจารย์พิเศษ ธงทองเบิกความด้วยว่า รู้จักนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ว่าเป็นปัญญาชนสยามที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ บางคนก็ชอบและไม่ชอบ
ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน เคยมีพระราชดำรัสว่าในหลวงทรงถูกวิจารณ์ได้ หากมีการดำเนินคดีมาตรา 112 คนที่เดือดร้อนก็คือพระองค์เอง
ศาตราจารย์พิเศษ ธงทองเบิกความด้วยว่า ได้เคยอภิปรายทางวิชาการไว้ว่า มาตรา 112 ในปัจจุบันโทษสูงสุดไม่ได้สัดส่วนกับการกระทำความผิดหรือเรียกว่า โทษสูงเกินไป
พ.ต.ท.สันติ มีศิริ พนักงานสอบสวน เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุเป็นพนักงานสอบสวนอยู่ที่สน.ลุมพินี มีการตรวจยึดหนังสือกงจักรปีศาจมาจากแผงหนังสือของจำเลย จึงส่งให้กองบัญชาการตำรวจสันติบาลพิจารณา ซึ่งเมื่อตรวจสอบแล้วได้แจ้งกลับมาว่ามีลักษณะหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ให้ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง โดยพ.ด.อ.พันธุ์ศักดิ์ เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ
พ.ต.ท.สันติเบิกความว่าได้นำข้อความในหนังสือที่สันติบาลบอกว่าเป็นการหมิ่นประมาทไปให้พยานให้ความเห็น คดีนี้ดำเนินการเป็นคณะพนักงานสอบสวน และได้ส่งหนังสือเล่มนี้ไปให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติออกคำสั่งให้เป็นหนังสือต้องห้ามจำหน่ายจ่ายแจก
คณะพนักงานสอบสวนประชุมกันแล้วว่า หนังสือเล่มนี้เป็นความผิดตามมาตรา 112 ให้ดำเนินคดีกับผู้เขียน ผู้แปล และจำเลยในฐานะผู้จำหน่าย สอบคำให้การจำเลยแล้ว จำเลยปฏิเสธ ส่วนผู้เขียนและผู้แปลนั้นทราบว่าเสียชีวิตแล้วจึงไม่ได้สั่งฟ้องด้วย
ขณะจับกุมจำเลยหนังสือกงจักรปีศาจไม่ได้เป็นหนังสือต้องห้ามตามพ.ร.บ.การพิมพ์ 2484 หลังส่งหนังสือทั้งเล่มให้สันติบาลแล้วก็ไม่ได้ส่งหนังสือกลับมา ส่งกลับมาแค่สำเนา 17 หน้า
ตอนไปขอความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญให้อ่านเฉพาะ 6 ข้อความที่ตัดมา ตามปกติการพิจารณาว่าเป็นการหมิ่นประมาทหรือไม่ต้องพิจารณาโดยรวมทั้งย่อหน้า หรือทั้งบท สำหรับข้อความที่ตัดมานั้นเป็นส่วนที่เกี่ยวข้อง ส่วนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องก็ไม่ได้ตัดมา
พ.ต.ท.สันติรับว่า จำไม่ได้ว่าจำเลยได้หนังสือมาอย่างไร ถ้าจำเลยไม่ได้อ่านหนังสือก็ไม่มีความผิด แต่ที่สั่งฟ้องคดีนี้เพราะหน้าปกหนังสือเขียนไว้แล้วว่าบทวิเคราะห์กรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 สื่อให้เห็นว่าเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงเชื่อว่าจำเลยได้รู้ข้อความแล้ว
25 กุมภาพันธ์ 2557
นัดสืบพยานจำเลย
"พิภพ"เบิกความเป็นพยานให้ตัวเอง ว่าปัจจุบันอายุ 64 ปี มีอาชีพเป็นพ่อค้าขายของเบ็ดเตล็ดตามตลาดนัด ทำมาตั้งแต่ปี 2537 นอกจากขายตามตลาดนัดแล้วก็ขายตามงานรำลึกหรือเทศกาลต่างๆด้วย เช่น งาน14 ตุลา หรืองานปีใหม่ โดยมีแผงขายของลักษณะปูกับพื้นขนาดประมาณ 3 เมตร สิ่งที่นำมาขายมีหลายอย่าง เช่น ซีดีเก่า หนังสือเก่า เสื้อ หมวก ผ้าพันคอ พัด
วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 18.00-19.00 มีชายไม่รู้จักชื่อแต่เคยเห็นหน้ากัน 1-2 ครั้ง มาฝากขายหนังสือกงจักรปีศาจ จึงรับมาสองเล่ม ในราคาเล่มละ 500 บาท โดยจะเอาส่วนแบ่งเล่มละ 300 บาท ตนเองไม่เคยเห็นหนังสือเล่มนี้มาก่อน ไม่ทราบว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไร เมื่อรับมาขายก็ไม่ได้เปิดดูเนื้อหา
เนื่องจากตนเองมีอาชีพเป็นพ่อค้าเร่ โดยปกติจึงมักมีคนนำของมาฝากขายเสมอ ถ้าขายได้ผู้ฝากก็จะมาเอาเงินในช่วงเวลา 24.00 น. แต่ถ้าขายของไม่ได้ผู้ฝากก็จะฝากให้ตนขายของต่อไปอีก 2-3 วัน ส่วนใหญ่คนที่นำของมาฝากขายจะต้องไว้เนื้อเชื่อใจกัน แต่บางครั้งก็มีคนที่ไม่รู้จักนำของมาฝากขายเช่นกัน
วันที่ถูกจับกุม "พิภพ"ไปขายของกับภรรยาแต่ภรรยาไม่ถูกจับ ก่อนถูกจับขายหนังสือกงจักรปีศาจได้ 1 เล่มซึ่งต่อมาทราบว่าคนซื้อคือตำรวจ หลังถูกจับแล้วก็ยังเห็นว่ามีคนขายหนังสือกงจักรปีศาจอยู่
หลังเบิกศาลความจำเลยเป็นพยานให้ตัวเอง ศาลสืบพยานจำเลยปากที่สองต่อทันที
สุลักษณ์ ศิวรักษ์ พยานจำเลยปากที่สอง เบิกความว่า ปัจจุบันอายุ 80 ปี เคยอ่านหนังสือกงจักรปีศาจฉบับภาษาอังกฤษตั้งแต่ตอนตีพิมพ์ใหม่ๆ เมื่ออ่านแล้วก็เขียนวิจารณ์ลงในวารสารสังคมศาสตร์ปริทรรศน์ ฉบับเดือนมิถุนายน 2507 สุลักษณ์รับว่านอกจากฉบับยภาษาอังกฤษแล้ว ฉบับภาษาไทยก็เคยอ่านเช่นกัน
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหนังสือกงจักรปีศาจ สุลักษณ์ทราบว่าผู้เขียนเป็นคนอังกฤษเชื้อสายดัตช์ มาจากแอฟริกาใต้ เนื้อหาของหนังสือเกี่ยวกับกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 โดยสรุปผู้เขียนต้องการพิสูจน์ว่ารัชกาลที่ 8 ทรงปลงพระชนม์เอง ทฤษฎีต่างๆที่ปรากฎในหนังสือ เป็นความคิดความอ่านของผู้เขียนทั้งสิ้น
เกี่ยวกับการถูกดำเนินด้วยมาตรา112 สุลักษณ์เบิกความว่า ครั้งหนึ่งถูกดำเนินคดีลักษณะเดียวกับคดีนี้ โดยมูลเหตุเกิดจากการพิมพ์หนังสือชื่อSeeds of Peace ซึ่งเป็นหนังสือรวมบทความต่างๆ ในหนังสือมีบทความเกี่ยวกับคดีสวรรคตอยู่ชิ้นหนึ่ง แต่อัยการสั่งไม่ฟ้องเพราะเห็นว่าเป็นเพียงผู้จำหน่ายหนังสือ ไม่ใช่ผู้เขียน จึงไม่มีความผิด
ก่อนหน้านั้นสุลักษณ์เคยถูก พล.อ.สุจินดา คราประยูร กล่าวหาตามมาตรา 112 แต่ศาลอาญาชี้ว่าการพิจารณาว่าหมิ่นหรือไม่หมิ่นจะดูเป็นเรื่องๆ ไม่ได้ ต้องดูเจตนาทั้งหมด จึงยกฟ้อง ในปี 2549 สุลักษณ์เคยถูกนายเสถียร วิพรมหา (พยานโจทก์ในคดีนี้) แจ้งความตามมาตรา 112 เกี่ยวกับกรณีหนังสือฟ้าเดียวกัน แต่ก็จบที่ชั้นตำรวจ นอกจากนี้สุลักษณ์ก็เคยไปปาฐกถาที่รัฐสภาบอกว่า ถ้าสมาชิกสภามีความกล้าหาญทางจริยธรรมต้องแก้ไขมาตรา 112 เพราะทำให้พระมหากษัตริย์เดือดร้อน
สุลักษณ์เบิกความว่า คนที่ไม่เคยศึกษากรณีสวรรคต เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้แล้วอาจจะเชื่อหรือไม่ก็ได้ ไม่สามารถตอบแทนได้ สำหรับความเกี่ยวข้องกับจำเลยนั้น ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
28 กุมภาพันธ์ 2557
นัดสืบพยานจำเลย
สุทธิพงศ์ สุวรรณละเอียด เบิกความว่าปัจจุบันประกอบอาชีพเป็นนักดนตรีเร่ โดยเล่นตามงานต่างๆ เช่น งานชุมนุมทางการเมือง ปกติเคยเห็นจำเลยไปขายของตามงานต่างๆ เป็นประจำ
ของที่จำเลยขายมีทั้งเสื้อ พัด หมวก ของที่ระลึก และหนังสือ แผงขายของเป็นลักษณะปูกับพื้น งานเทศกาลจำเลยก็จะเอาของอย่างอื่นไปขาย เช่น ในงานสงกรานต์เคยเห็นจำเลยขายปืนฉีดน้ำที่ถนนข้าวสาร
สุทธิพงศ์เบิกความด้วยว่า เคยเห็นจำเลยมานานแล้วแต่ไม่ได้พูดคุยหรือสนิทกัน
31 มีนาคม 2557
นัดฟังคำพิพากษา
"พิภพ"ไม่ได้เดินทางไปศาลเพื่อฟังคำพิพากษา ทนายจำเลยมาศาลและยื่นใบรับรองแพทย์ เพื่อยืนยันว่าจำเลยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก และพึ่งเข้ารับการผ่าตัดเมื่อวันที่ 24-25 มีนาคมที่ผ่านมา แพทย์ขอให้จำเลยพักถึงวันที่ 1 เมษายน 2557 ศาลอนุญาตให้เลื่อนการฟังคำพิพากษาและนัดวันใหม่วันที่ 4 เมษายน 2557
4 เมษายน 2557
นัดฟังคำพิพากษา
ทนายจำเลยขอเลื่อนการฟังคำพิพากษาออกไปอีกครั้ง เพราะ"พิภพ"อยู่ระหว่างการพักฟื้นหลังผ่าตัด โดยทนายจำเลยยื่นใบรับรองแพทย์เพื่อประกอบการวินิจฉัยของศาลด้วย ศาลนัดวันอ่านคำพิพากษาใหม่เป็น 17 เมษายน 2557 เวลา 9.00 น.
17 เมษายน 2557
ห้องพิจารณาคดี 406 ศาลอาญากรุงเทพใต้อ่านคำพิพากษา มีใจความโดยสรุปว่า
คดีนี้มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า ข้อความทั้งหกตามฟ้องเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น พระมหากษัตริย์หรือไม่ เห็นว่า หากผู้เขียนต้องการพิสูจน์ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลปลงประชนม์เองก็สามารถเขียนถึงความเชื่อโดยยกเหตุผลขึ้นมากล่าวอ้างได้โดยไม่ต้องกล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และนำพระองค์เข้ามาเกี่ยวข้องให้ต้องเสื่อมเสียพระเกียรติยศชื่อเสียง
เมื่อผู้เขียนได้กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชด้วยแล้ว ย่อมแสดงให้เห็นได้ว่าผู้เขียนมีเจตนาให้พระองค์ต้องเสื่อมเสียพระเกียรติยศชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง
ส่วนข้ออ้างของจำเลยที่บอกว่าต้องอ่านหนังสือทั้งเล่มจึงจะบอกได้ว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไม่นั้น เห็นว่า ข้อความทั้งหกตามฟ้องอ่านแล้วได้ใจความมีความหมายเข้าใจได้โดยไม่ต้องอ่านหนังสือทั้งเล่ม
แม้ท้ายที่สุดแล้วผู้เขียนจะสรุปว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลปลงพระชนม์เอง ก็ไม่ทำให้ข้อความดังกล่าวพ้นจากการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ไปได้ พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์
อีกประเด็นที่ต้องวินิจฉัยคือ จำเลยมีเจตนากระทำความผิดหรือไม่ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยเป็นคนขายหนังสือ "กงจักรปีศาจ" ที่มีข้อความหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ เมื่อจำเลยไม่ใช่คนเขียนหนังสือหรือคนแปลหนังสือจากภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทย การจะฟังว่าจำเลยมีความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์นั้น จำเลยต้องรู้ข้อเท็จจริงว่ามีข้อความหมิ่นประมาทพระมหากษัตรืย์ทั้งหกข้อความตามฟ้องอยู่ในหนังสือที่จำเลยขาย
จากคำเบิกความของตำรวจผู้จับกุม ไม่อาจยืนยันหรือรับฟังได้ว่าจำเลยได้รู้ถึงข้อเท็จจริงอันได้แก่ข้อความหมิ่นประมาททั้งหกข้อความตามฟ้อง พยานโจทก์ปากอื่นๆ ไม่มีใครรู้เห็นอีก และทางนำสืบของโจทก์นอกจากนี้ก็ไม่ปรากฏพฤติการณ์ใดของจำเลยอันจะทำให้เชื่อได้ว่าจำเลยได้รู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว
เมื่อยังไม่แน่ชัดว่าจำเลยรู้ถึงข้อเท็จจริงอันเป็นข้อความหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์หกข้อความตามฟ้อง การที่จำเลยนำหนังสือกงจักรปีศาจมาวางจำหน่าย ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น พระมหากษัตริย์
คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด คดีอาญาโจทก์มีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาสืบให้ได้ความชัดแจ้ง ปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง พยานหลักฐานที่นำสืบมายังไม่อาจรับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง
หนังสือ "กงจักรปีศาจ" มีข้อความบางตอนหมิ่นประมาท ดูหมิ่น พระมหากษัตริย์ จึงให้ริบ
22 เมษายน 2558
นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาสรุปใจความได้ว่า
ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยให้ลงโทษจำคุก 3 ปี แต่เนื่องจากการนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์จึงลดโทษจำคุก 1 ใน 3 คงเหลือโทษจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา
ศาลอุทธรณ์ระบุเหตุผลว่า เนื่องจากจำเลยประกอบอาชีพขายหนังสือตั้งแต่ปี 2537 ย่อมต้องมีประสบการณ์ จำเลยสามารถอ่านออกเขียนได้ เคยเห็นหนังสือกงจักรปีศาจมาก่อน ประกอบกับบนปกของหนังสือมีข้อความว่าเป็นบทวิเคราะห์กรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 และมีรูปของรัชกาลที่ 8 ประกอบ
นอกจากนี้ การอ้างว่ามีผู้มาฝากขายเพียงสองเล่มโดยที่จำเลยไม่รู้เนื้อหาของหนังสือเป็นการอ้างลอยๆ จากจำเลยเท่านั้น อีกทั้งในแผงของจำเลยก็ได้วางจำหน่ายวารสารฟ้าเดียวกันฉบับสถาบันกษัตริย์ฯ กับสังคมไทยซึ่งเป็นหนังสือต้องห้ามอยู่ด้วย นอกจากนี้ จำเลยยังขายหนังสือในที่ชุมนุม ซึ่งไม่ใช่สถานที่ค้าขายโดยปกติวิสัย จึงไม่เชื่อว่าจำเลยวางขายหนังสือโดยไม่รู้เนื้อหาในหนังสือมาก่อน
ภายหลังการอ่านคำพิพากษา ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอประกันตัวพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 300,000 บาท จากเงินกองทุนช่วยเหลือนักโทษการเมือง ในช่วงบ่ายศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า ศาลอุทธรณ์ได้ส่งเรื่องให้ศาลฎีกาสั่งคำร้องขอประกันตัวของจำเลย จึงต้องรอคำสั่งศาลฎีกาประมาณ 2-3 วัน จำเลยจึงต้องถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ
24 เมษายน 2558
เฟซบุ๊กของ
อานนท์ นำภา โพสต์ภาพบัญชีเงินฝาก พร้อมข้อความว่า
"ศาลฎีกาอนุญาตให้ประกันตัวลุงขายหนังสือ "กงจักรปีศาจ" ในวงเงิน 500,000 บาท ทางจำเลยและทนายความหาเงินมาได้ 300,000 บาท จึงได้ขอยืมเงินจากกองทุนของเรา 200,000 บาท เพื่อไปวางเป็นประกันก่อน
โดยทางทนายความได้ไปขอเงินจากกองทุนยุติธรรมแล้ว และกรมฯ ได้อนุมัติแล้ว คาดว่าภายหลังจากลุงได้ออกมาและได้เข้าทำสัญญากับกรมฯ จะดำเนินการเอาหลักทรัพย์ไปเปลี่ยน เพื่อนำเงิน 200,000 บาทมาคือไว้กับกองทุนประกันตัวของกลุ่มพลเมืองโต้กลับ เพื่อใช้ประกันตัวในวันที่อัยการศาลทหารสั่งฟ้อง ( 14 พ.ค.นี้) ต่อไป"
15 กันยายน 2559
นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา
ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลฎีกานัด "พิภพ" จำเลยคดี 112 วัย 67 ปี ผู้ถูกกล่าวหาว่าทำความผิดตามมาตรา 112 ด้วยการขายหนังสือกงจักรปีศาจซึ่งหนังสือที่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 และเป็นหนังสือต้องห้ามตามกฎหมาย
ในวันนี้นอกจาก "พิภพ" ซึ่งเป็นจำเลยก็มีลูกๆของเขาตามมาให้กำลังใจด้วย ศาลเริ่มอ่านคำพิพากษาในวันเวลาประมาณ 9.50 น. โดยไม่ได้สั่งพิจารณาลับ ลูกๆของพิภพจึงอยู่ให้กำลังใจพ่อได้ โดยศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ลงโทษจำคุก "พิภพ" เป็นเวลาสองปี เพราะเห็นว่าจำเลยมีประสบการณ์ขายหนังสือมานานจึงเชื่อว่าน่าจะรู้เนื้อหาหนังสือ เนื่องจากคำพิพากษาศาลฎีกาถือเป็นที่สุด "พิภพ" จึงต้องรับโทษจำคุกทันทีโดยเขาจะถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ
12 กันยายน 2561
มีรายงานว่า "พิภพ" รับโทษครบตามกำหนดและได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพแล้ว