- คดีมาตรา112, คดีอื่นๆ, ฐานข้อมูลคดี
คดีปลอมเป็นหม่อมหลวง คดีที่หนึ่ง จำเลยสี่คน
ผู้ต้องหา
สถานะคดี
คดีเริ่มในปี
โจทก์ / ผู้กล่าวหา
อัษฎาภรณ์ พร้อมพวกรวมสี่คนคือ กิตติภพ, วิเศษ และนพฤทธิ์ ถูกกล่าวหาว่า พวกเขาอ้างตัวว่ามีอิสริยยศเป็นหม่อมหลวงและปลอมแปลงเอกสารเรียกรับผลประโยชน์จากการแอบอ้างสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ต่อเจ้าอาวาสวัดไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร ต่อมากิตติภพและวิเศษให้การรับสารภาพศาลจึงตัดสินลงโทษจำคุกเจ็ดปี สี่เดือน ลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือโทษสามปี แปดเดือน ส่วนอัษฎาภรณ์และนพฤทธิ์ที่ยังคงให้การปฏิเสธ ศาลจังหวัดกำแพงเพชรสั่งให้แยกฟ้องเป็นคดีใหม่
สารบัญ
ภูมิหลังผู้ต้องหา
อัษฎาภรณ์ ขณะถูกจับกุมอายุ 45 ปี
นพฤทธิ์ จำเลยที่สี่ ขณะถูกจับกุมอายุ 29 ปี พื้นเพเป็นคนจังหวัดอุบลราชธานี และทำงานเป็นพนักงานของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ อ่านเรื่องราวของนพฤทธิ์ ได้ที่นี่
ข้อหา / คำสั่ง
การกระทำที่ถูกกล่าวหา
อัษฎาภรณ์ พร้อมพวกรวมสี่คนคือ กิตติภพ, วิเศษ และนพฤทธิ์ ถูกดำเนินคดี โดยในคำฟ้องระบุว่า ในเดือนเมษายน 2558 ทั้งสี่คนร่วมกัน แอบอ้างว่าเป็น “หม่อมหลวง” ไปหลอกลวงวัดไทรงาม โดยการปลอมแปลงเอกสารสำนักพระราชวัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งมีการอ้างดำเนินการเรื่องการกราบทูลเชิญสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อเสด็จเป็นองค์ประธานงานพิธีตัดหวายลูกนิมิต พร้อมเรียกเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ จากผู้เสียหายหลายคน โดยการหลอกลวงดังกล่าวทำให้วัดและประชาชนหลงเชื่อ
พฤติการณ์การจับกุม
บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล
หมายเลขคดีดำ
ศาล
เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
แหล่งอ้างอิง
ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้เข้าควบคุมตัวจำเลยที่สองคนคือกิตติภพและวิเศษ ซึ่งจำเลยทั้งสี่คนให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
พนักงานอัยการจังหวัดกำแพงเพชรยื่นฟ้องคดีดังกล่าวต่อศาลจังหวัดกำแพงเพชร
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ศาลจังหวัดกำแพงเพชรนัดสอบคำให้การ โดยนพฤทธิ์ จำเลยที่สี่ยังให้การว่าไม่เคยรู้จักอัษฎาภรณ์และกิตติภพมาก่อน และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการแอบอ้าง พร้อมทั้งได้ยื่นคำร้องต่อศาลให้วินิจฉัยตัวบทกฎหมายว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เป็นบุคคลที่ได้รับคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือไม่ แต่ศาลยกคำร้องให้เหตุผลว่า ศาลไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยข้อกฎหมาย
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ศาลจังหวัดกำแพงเพชรนัดตรวจพยานหลักฐานในคดี โดยจากการสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่าไม่มีข้อเท็จจริงที่คู่ความสามารถรับกันได้ ฝ่ายโจทก์และจำเลยจึงได้แถลงต่อศาลในการนำพยานเข้าสืบ
ประชาไทรายงานว่า กิตติภพและวิเศษ จำเลยที่สองและสามแถลงต่อศาลกลับคำให้การเป็นรับสารภาพ แต่อัษฎาภรณ์และนพฤทธิ์ จำเลยที่หนึ่งและสี่ยังคงให้การปฏิเสธและสู้คดีต่อ ศาลจึงให้พนักงานอัยการโจทก์ได้แยกฟ้องเป็นคดีใหม่
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า พนักงานอัยการโจทก์ได้ยื่นฟ้องอัษฎาภรณ์และนพฤทธิ์ในคดีใหม่ต่อศาลจังหวัดกำแพงเพชร โดยคำฟ้องในคดีใหม่นี้เขียนในลักษณะเดียวกันกับคำฟ้องในคดีเดิม แต่ข้อกล่าวหาเหลือเพียงสองข้อ คือ มาตรา 112 ฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์และมาตรา 265 ฐานปลอมแปลงเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญา
ประชาไทรายงานว่า ศาลจังหวัดกำแพงเพชรมีคำสั่งพิพากษาในคดีของกิตติภพและวิเศษว่า มีความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ให้ลงโทษจำคุกสี่ปี ความผิดข้อหาสวมเครื่องแบบของเจ้าพนักงานโดยไม่มีสิทธิ ให้ลงโทษจำคุกสี่เดือน และความผิดข้อหาร่วมกันปลอมเอกสารราชการให้ลงโทษจำคุกสามปี รวมโทษจำคุกเจ็ดปี สี่เดือน แต่จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือโทษจำคุกสามปีแปดเดือน
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ศาลจังหวัดกำแพงเพชรนัดพร้อมและสอบคำให้การในคดีที่พนักงานอัยการโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลเป็นคดีใหม่เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2559 โดยจำเลยทั้งสองยังยืนยันให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาและแถลงขอให้ศาลนัดตรวจพยานหลักฐานในคดี ศาลจึงตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 8 สิงหาคม 2559