- คดีมาตรา112, ฐานข้อมูลคดี
เจ๋ง ดอกจิก : ปราศรัยบนเวที นปช. ปี 2553
ผู้ต้องหา
สถานะคดี
คดีเริ่มในปี
โจทก์ / ผู้กล่าวหา
วันที่ 29 มีนาคม 2553 ยศวริศ หรือเจ๋งดอกจิกปราศรัยบนเวที นปช.ที่เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ถนนราชดำเนิน โดยตอนหนึ่งของการปราศรัยเจ๋งพูดประกอบท่าทางในลักษณะที่อาจเข้าข่ายเป็นการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ จึงถูกดำเนินคดี
เบื้องต้นเจ๋งให้การรับสารภาพแต่ภายหลังเปลี่ยนใจให้การปฏิเสธและขอสู้คดี การสืบพยานคดีนี้มีหกนัดใช้เวลาตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม 2555
ในเดือนมกราคม 2556 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกเจ๋งเป็นเวลาสองปีโดยไม่รอลงอาญา เจ๋งอุทธรณ์คดีและได้รับการประกันตัวระหว่างสู้คดีในชั้นอุทธรณ์โดยวางเงินประกัน 500,000 บาท
วันที่ 1 พฤษภาคม 2557 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำคุกเจ๋งเป็นเวลา 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา หลังศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น เจ๋งขอประกันตัวเพื่อสู้คดีในชั้นฎีกา อย่างไรก็ตามศาลชั้นต้นไม่พิจารณาคำร้องของเจ๋ง และส่งคำร้องไปให้ศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณา ระหว่างรอคำสั่งจากศาลฎีกาเจ๋งถูกส่งตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ
ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2558 ศาลฎีกามีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวเจ๋งเพราะเจ๋งยังไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาและยังไม่ได้ยื่นฎีกา จึงมีเหตุเชื่อว่าจำเลยน่าจะหลบหนี เจ๋งถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม จนถึงวันที่ 23 กันยายน 2557 จึงได้รับการปล่อยตัวหลังศาลฎีกาอนุญาตให้ประกันตัวระหว่างการพิจารณาคดีในชั้นฎีกาโดยวางเงินประกัน 700,000 บาท
ในวันที่ 7 ตุลาคม 2559 ศาลฎีกานัดเจ๋งฟังคำพิพากษาแต่ปรากฎว่าในวันเวลานัดไม่มีคู่ความฝ่ายใดมาศาล เมื่อศาลทำการตรวจสอบพบว่าหมายที่ส่งไปให้จำเลยไม่มีผู้รับ ศาลจึงนัดฟังคำพิพากษาใหม่เป็นวันที่ 15 ธันวาคม 2559 ต่อมาในวันนัดเจ๋งไม่มาศาลแต่ให้ทนายมาแจ้งกับศาลว่าไม่สบายขอให้เลื่อนนัดฟังคำพิพากษาไปก่อน ศาลนัดวันใหม่เป็นวันที่ 7 มีนาคม 2560
สารบัญ
ภูมิหลังผู้ต้องหา
ยศวริศหรือที่รู้จักกันดีในชื่อ เจ๋ง ดอกจิก แนวร่วมคนสำคัญของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และนักแสดงตลก เกิดเมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2501 ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีชื่อเดิมว่า ประมวล ชูกล่อม จบการศึกษาระดับปริญญาโทจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) อดีตผู้ช่วยเลขานุการ นายฐานิสร์ เทียนทอง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ข้อหา / คำสั่ง
การกระทำที่ถูกกล่าวหา
29 มีนาคม 2553 ยศวริศหรือเจ๋ง ดอกจิก ขึ้นปราศรัยบนเวที นปช.บริเวณสะพานผ่านฟ้า ระหว่างการปราศรัยเจ๋งพูดและทำท่าทางประกอบในลักษณะที่อาจเข้าข่ายเป็นการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
พฤติการณ์การจับกุม
บันทึกสังเกตการณ์ในชั้นศาล
หมายเลขคดีดำ
ศาล
เนื้อหาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
การสืบพยานฝ่ายโจทก์จะมีขึ้นในวันที่ 30-31 ต.ค. 2555 เวลา 09.00 น. ส่วนการสืบพยานฝ่ายจำเลยจะมีขึ้นในวันที่ 27-28 พ.ย. และวันที่ 11–12 ธ.ค. 2555
แหล่งอ้างอิง
จำคุก 'เจ๋ง ดอกจิก' 3 ปี คดี 112 ลดโทษเหลือ จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา (เข้าถึงเมื่อ 17 มกราคม 2556)
'เจ๋ง ดอกจิก'ถูกหวยนอนคุกยาว ฎีกา'กลัวหนี'ยกคำร้องประกันตัว, แนวหน้า วันที่ 6 พฤษภาคม 2557 (เข้าถึงเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2557)
ภาพ cover นำมาจากเว็บไซต์ประชาไทซึ่งนำมาจากเฟซบุ๊กแฟนเพจ เจ๋ง ดอกจิก http://prachatai.com/journal/2016/12/69137
2 สิงหาคม 2554
ศาลนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก เจ๋ง ตัดสินใจให้การรับสารภาพ ศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 29 สิงหาคม 2554
นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ที่ศาลอาญารัชดา เวลา 9.30 น. ศาลอุทธรณ์นัดฟังคำพิพากษาคดีของเจ๋ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 2 ปี ไม่รอลงอาญา
ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาจำเลยยื่นขอประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีในชั้นศาลฎีกา แต่ศาลอาญาสั่งให้ส่งเรื่องการประกันตัวให้ศาลฎีกาพิจารณา เจ๋งจึงถูกควบคุมตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพุ
6 พฤษภาคม 2557
คมชัดลึกออนไลน์รายงานว่า ศาลฎีกามีคำสั่งให้ยกคำร้องขอประกันตัวของเจ๋งโดยให้เหตุผลว่า คดีนี้เป็นคดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยยังไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาและยื่นฎีกา จึงมีเหตุอันควรให้เชื่อว่าหากปล่อยชั่วคราว จำเลยจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว
23 กันยายน 2557
มติชนออนไลน์รายงานว่า เจ๋งได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำในเวลาประมาณ 20.20 น. โดยมีคนในครอบครัว แกนนำ และคนเสื้อแดงบางส่วนมารอรับที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพ
7 ตุลาคม 2559
6 กุมภาพันธ์ 2561
ยศวริศได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพหลังรับโทษจำคุกจนครบกำหนด
คำพิพากษา
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยกล่าวปราศรัยบนเวทีของกลุ่มนปช บริเวณเชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ผ่านเครื่องขยายเสียง มีการติดตั้งจอภาพและลำโพงเพื่อให้ประชาชนรับชมการปราศรัย ข้อความตอนหนึ่งของการปราศรัยสื่อไปในทำนองว่า เหตุที่การยุบสภาของนายอภิสิทธิ์ทำได้ยากมีหลายปัจจัย รวมทั้งพล.อ.เปรม และผู้อยู่เบื้องหลังพล.อ.เปรม จำเลยยังใช้คำพูดและท่าทางประกอบที่ทำให้ตีความไปถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้
ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลย มีว่า คำฟ้องของโจทก์ครบองค์ประกอบความผิด ตามมาตรา112 หรือไม่ จำเลยต่อสู้ว่าความผิดฐานหมิ่นประมาทจะครบองค์ประกอบต่อเมื่อผู้ใส่ความระบุตัวบุคคลผู้ถูกใส่ความ หรือต้องฟังแล้วได้ความว่า ข้อความดังกล่าวหมายถึงบุคคลใด เมื่อพิจารณาจากข้อความตามฟ้อง บุคคลที่ได้ยินหรือได้ฟังไม่สามารถทราบได้ว่าเป็นการใส่ความพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงถือได้ว่าคำฟ้องไม่ได้เอ่ยถึงตัวบุคคลที่ถูกใส่ความ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานหมิ่นประมาท จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่สมบูรณ์
ข้อนี้ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยบรรยายถึงวัน เวลา และสถานที่ที่กล่าวหาว่าจำเลยทำความผิด รวมทั้งการกระทำทั้งหลายที่จำเลยได้ทำ โดยโจทก์บรรยายถึงถ้อยคำที่จำเลยปราศรัยในเวทีการชุมนุม ที่มีผู้ชุมนุมจำนวนมากซึ่งเป็นบุคคลที่สาม นั่งฟังผ่านเครื่องขยายเสียง โดยถ้อยคำปราศรัยของจำเลยสามารถทำให้ผู้ฟังเข้าใจว่าหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ เพราะมีการพูดในถึง พล.อ.เปรมและบุคคลที่อยู่เบื้องหลังพล.อ. เปรม คำบรรยายฟ้องของโจทก์จึงครบถ้วนถูกต้อง
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า ข้อความที่จำเลยกล่าวตามฟ้องเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ว่าข้อความที่จำเลยกล่าวตามฟ้องไม่ได้ระบุหรือกล่าวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และต่อสู้ว่าพยานโจทก์เบิกความโดยมีอคติทางการเมือง หรือมีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน
ข้อนี้ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ระหว่างการปราศรัย จำเลยเอ่ยชื่อและปราศรัยโจมตี พลเอกเปรม ประธานองคมนตรี นายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. อย่างรุนแรงโดยไม่มีความเกรงกลัว การที่จำเลยไม่เอ่ยชื่อบุคคลที่อยู่เบื้องหลังพล.อ.เปรม และทำท่าประกอบเหมือนพูดไม่ได้ ย่อมแสดงว่าบุคคลนั้นมีสถานะสูงกว่าพล.อ.เปรม ทำให้จำเลยไม่กล้าเอ่ยชื่อ นอกจากนี้ก็เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้แต่งตั้งพล.อ.เปรมเป็นประธานองคมนตรี เมื่อพิจารณาจากข้อความตามฟ้องที่จำเลยอ้างว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังพล.อ.เปรมและท่าทางประกอบที่จำเลยแสดง ทำให้ตีความได้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังพลเอกเปรมคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงเป็นการใส่ความและทำให้คนเข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายของจำเลย และทรงถูกเกลียดชัง
แม้พย่านโจทก์จะเป็นเพียงพยานความเห็นความเห็น แต่ไม่มีหลักฐานใดชี้ว่ามีการเตรียมการเพื่อปรักปรำจำเลยมาก่อน พยานทุกคนต่างเบิกความเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจและไม่ปรากฎว่ามีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน
ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยเป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาโดยตลอด และได้เข้าร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติเสมอมานั้น เห็นว่า การจะพิจารณาว่าจำเลยจงรักภักดีหรือไม่เพียงใด ไม่สามารถพิจารณาจากคำกล่าวอ้างถึงกิจกรรมที่จำเลยเคยทำในอดีตโดยลำพัง แต่ต้องพิจารณาควบคู่กับพฤติการณ์ของจำเลยในปัจจุบันว่ายังคงมีความจงรักภักดีเสมอต้นเสมอปลายหรือไม่ หากจำเลยมีความจงรักภักดีจริง ย่อมไม่กล่าวปราศรัยหรือแสดงพฤติการณ์ดังที่เกิดในคดีนี้ อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้น เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในสถานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ รัฐและปวงชนชาวไทยมีหน้าที่พิทักษ์ไว้ซึ่ง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ไม่เพียงเท่านั้น แม้ในความรู้สึกนึกคิด ประชาชนชาวไทยก็ถวายความเคารพสักการะต่อองค์พระมหากษัตริย์มาแต่โบราณกาล หามีผู้ใดกล้ากล่าววาจาจาบจ้วงล่วงเกินให้เป็นที่ระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคลบาทไม่ การที่จำเลยกล่าววาจาหมิ่นประมาทใส่ความ ให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกเกลียดชัง จึงสมควรรถูกลงโทษไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่น ที่ศาลชั้นต้นกำหนดโทษและไม่รอการลงโทษนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืนให้จำคุกจำเลยเป็นเวลาสองปีโดยไม่รอลงอาญา