25 กันยายน 2561 เวลา 9.00 น. ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่จำเลย 14คน มีภูมิลำเนาจากจังหวัดชายแดนใต้ถูกกล่าวหาว่า ครอบครองระเบิดและอั้งยี่ ซ่องโจร หรือที่รู้จักกันในชื่อ คดีระเบิดน้ำบูดู โดยตั้งแต่ช่วงเช้ามีครอบครัวของจำเลยทั้ง 14 คนจำนวนกว่า 40 คน นักข่าวจากหลายสำนัก รวมถึงองค์กรสังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนมาร่วมรอรับฟังคำพิพากษา
เวลาประมาณ 10.00 น. ศาลขึ้นนั่งบัลลังก์และอ่านคำพิพากษาคดีอื่น ก่อนที่ในเวลา 10.20 น. ศาลจึงเริ่มเรียกชื่อของจำเลยทีละคนจนครบทั้ง 14 คน และกล่าวในห้องพิจารณาคดีว่า ระหว่างการพิจารณาคดีนี้ศาลมีอีกคดีหนึ่งที่มีจำเลยจำนวนประมาณ 10 คนเช่นกัน ตามปกติแล้วจะพิจารณาทีละคดีไป แต่ศาลก็พยายามจะทำให้รวดเร็ว เป็นธรรมที่สุด รวมทั้งคดีนี้จำเลยจำคุกอยู่ด้วย จึงจะเป็นประโยชน์ในการพิจารณาคดีอย่างรวดเร็ว ในตอนแรกนั้นศาลก็คิดว่า มีจำเลยบางคนอาจได้รับการปล่อยตัว
ที่ผ่านมาศาลพิจารณาคดีโดยคำนึงถึงหลักการสิทธิและเสรีภาพ คำพิพากษาในวันนี้ยังไม่ถือว่าเป็นที่สุด เนื่องจากเป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยหรือโจทก์ก็มีสิทธิเช่นกันที่จะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลในชั้นต่อไป วันนี้คำพิพากษายังไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์แต่ครอบคลุมในข้อวินิจฉัยทุกประการแล้ว ศาลกล่าวย้ำว่า จำเลยมีสิทธิในการอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา โดยระบุว่า ที่ต้องพูดเช่นนี้เนื่องจากศาลอยากอธิบายให้จำเลยและญาติของจำเลยเข้าใจไปพร้อมกัน
หลังจากนั้นศาลจึงถามอีกครั้งว่า ในชั้นสอบคำให้การจำเลยทั้ง 14 คนให้การปฏิเสธ ในวันนี้ ตอนนี้ ศาลขอถามอีกครั้งว่า มีใครจะเปลี่ยนมาให้การรับสารภาพหรือไม่ จำเลยทุกคนนิ่งเฉย ศาลจึงสรุปว่า ไม่มี จากนั้นศาลจึงขอให้ผู้ที่เข้ามาร่วมรับฟังคดีทุกคนปิดเครื่องมือสื่อสาร ห้ามถ่ายภาพ, บันทึกข้อมูลและบันทึกเสียงภายในห้องพิจารณาคดี หากใครที่ทำไปแล้วศาลให้โอกาสในการลบไฟล์ข้อมูลดังกล่าวออก
ต่อมาศาลจึงอธิบายว่า ในการอ่านคำพิพากษาของศาลว่า ศาลจะอ่านในส่วนคำฟ้อง ข้อเท็จจริงและข้อวินิจฉัย ในส่วนแรกนี้จะเป็นเรื่องคำฟ้องที่เกี่ยวข้องกับขบวนการกู้ชาติรัฐปัตตานี โดยมีวัตถุประสงค์ในการแบ่งแยกดินแดนคือ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาสและบางส่วนของจังหวัดสงขลา มีกองกำลังติดอาวุธ ใช้กำลังประทุษร้ายเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน โดยจำเลยทั้งหมดถูกกล่าวหาว่า เข้าร่วมกับขบวนการดังกล่าวเข้าข่ายความผิดฐานอั้งยี่และซ่องโจรตามประมวลกฎหมายอาญา ขณะที่จำเลยที่ 3 ถูกกล่าวหาเพิ่มเติมว่า มีสารระเบิดชนิด PETN มีน้ำหนัก ปริมาณเท่าใดไม่ปรากฏชัดอันเป็นวัตถุระเบิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ
ข้อเท็จจริงเบื้องต้นปรากฏว่า ในระหว่างปี 2555-2559 มีเหตุความไม่สงบในพื้นที่อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาสมาตลอด เช่นการก่อเหตุความวุ่นวายเผารถยนต์, วางระเบิดแสวงเครื่องและการลอบยิงอาสาสมัครรักษาดินแดน โดยจำเลยส่วนใหญ่มีภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส และรู้จักกับผู้ที่เคยมีประวัติการก่อเหตุในพื้นที่อำเภอศรีสาคร บางส่วนมาจากอำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส และจำเลยที่ 7 และ 14 มาจากอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี
จำเลยทั้งหมดเดินทางขึ้นมายังกรุงเทพฯและอยู่อาศัยในหลายพื้นที่เช่น หัวหมาก หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง, มีนบุรีและบางพลี เป็นต้น ต่อมาผู้เคยก่อเหตุในพื้นที่ศรีสาครส่งพัสดุที่บรรจุโทรศัพท์เคลื่อนที่มาโดยผ่านญาติของจำเลยที่ 4 พัสดุดังกล่าวมีการซุกซ่อนอยู่ภายใต้ขวดน้ำบูดูและเครื่องเทศ เมื่อจำเลยได้พัสดุดังกล่าวก็นำไปซุกซ่อนบนฝ้าเพดานห้องพักย่านบางพลี
ขณะที่จำเลยที่ 9 ให้การในชั้นสอบสวนทำนองว่า จำเลยที่ 1 ขู่บังคับในตนต้องไปตระเตรียมพื้นที่ในการก่อเหตุระเบิด หากตนไม่กระทำตามจะทำร้ายครอบครัวของตน ตนจึงไปสำรวจพื้นที่การก่อระเบิด ซึ่งคือบริเวณถังขยะหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี หัวหมาก ก่อนวันเกิดเหตุพบว่า จำเลยบางส่วนประชุมวางแผนกันและดื่มน้ำพืชกระท่อมร่วมกันก่อนถูกจับกุมในที่สุด นอกจากนี้จากการตรวจสอบสารประกอบระเบิดของเจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรมพบว่า มือซ้ายของจำเลยที่ 3 ปนเปื้อนสาร PETN ที่เป็นสารระเบิดชนิดแรงดันสูง ไม่ละลายน้ำ สามารถล้างออกได้ด้วยผงซักฟอกหรือสบู่
ในส่วนของข้อวินิจฉัยระบุว่า แม้ว่าในคดีนี้จะไม่มีประจักษ์พยานที่ชัดแจ้ง แต่ตามธรรมชาติของกระบวนการก่อเหตุความวุ่นวายจะต้องเก็บเป็นความลับเพื่อไม่ให้รั่วไหลไปถึงเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ดังนั้นจึงต้องพิจารณาหาพยานหลักฐานอื่นๆเช่น คำให้การซัดทอดของจำเลย โดยแม้ว่า ในการสืบพยานจำเลย จำเลยบางส่วนจะให้การว่า มีการทำร้ายร่างกายระหว่างการสอบสวน แต่เป็นการอ้างตัวเองเบิกความอย่างลอยๆ และไม่มีหลักฐานอื่นใดที่จะชี้ชัดว่า จำเลยถูกทำร้ายจริง ทั้งยังไม่มีการร้องทุกข์กล่าวโทษเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ด้วย
ศาลอธิบายเพิ่มเติมว่า ระหว่างการพิจารณาคดีนี้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา แต่ไม่เป็นเป็นคุณต่อผู้ต้องหาจึงอ้างอิงตามกฎหมายเดิม พิพากษาว่า จำเลย 1-4, 9-13 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 วรรคแรก (เดิม) มาตรา 210 วรรคสอง(เดิม) และจำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิดดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 (พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ) มาตรา 4, 55 และ 78 วรรคหนึ่งการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเรียงเป็นกระทงความผิดไป
ฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่จำคุกคนละ 3 ปี ฐานร่วมกันเป็นซ่องโจรจำคุกคนละ 3 ปี ฐานมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 3 ปี คำรับของจำเลยตามบันทึกผลการดำเนินกรรมวิธีและบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม สรุปโทษฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่จำคุกคนละ 2 ปี ฐานร่วมกันเป็นซ่องโจรจำคุกคนละ 2 ปีฐานมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 2 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1-2,4,9-13 คนละ 4 ปีและจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 6 ปียกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 5-8 และ 14
กิจจา อาลีอิสเฮาะ ทนายความกล่าวว่า หลังจากนี้จะยื่นอุทธณ์ภายใน 30 วัน โดยมาจนถึงวันนี้จำเลยถูกจำคุกมาเกือบ 2 ปี ในประเด็นเรื่องการซ้อมทรมานในชั้นสอบสวนจนนำมาสู่การรับสารภาพนั้น กิจจากล่าวว่า ระหว่างสืบพยานจำเลย จำเลยเกือบทั้งหมดกล่าวว่า ถูกซ้อมทรมานเช่น การตบบ้องหู การต่อย ให้ถอดเสื้อผ้าและเปิดแอร์ในอุณหภูมิต่ำเพื่อไม่ให้เกิดบาดแผล แม้ว่า สุดท้ายแล้วในคำพิพากษา การเบิกความของจำเลยจะไม่มีน้ำหนักหรือที่ศาลระบุว่า เป็นคำพูดลอยๆ แต่ในความเป็นจริงเมื่อจำเลยถูกควบคุมตัวในค่ายทหาร กว่าญาติจะเข้าเยี่ยมได้ก็ผ่านไปสักพักแล้ว ขณะที่เมื่อเข้าเยี่ยมได้ก็ถูกบังคับว่า ห้ามพูดเรื่องการซ้อมทรมาน
สองปีแห่งความทุกข์ทนของครอบครัว
ฮาฟิซ ซีกาจิ ผู้ประสานงานเปอร์มาส กรุงเทพฯ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์การจับกุมจำเลย 6 คนจาก 14 คน เล่าว่า จำเลยเดินทางมาทำงานที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 10 ตุลาคม 2559 ช่วงเช้ามืดตอนนั้นเขากำลังนอนอยู่ ได้ยินเสียงเคาะประตูจึงลุกไปมองที่ระเบียงเห็นเจ้าหน้าที่จำนวนมาก จนกระทั่งในตอนเช้าได้ไปถามเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.หัวหมากจึงทราบว่า ทั้ง 6 คนถูกจับเนื่องจากการมีใบกระท่อมไว้ในครอบครอง เขาจึงเดินเรื่องขอประกันตัว จนกระบวนการเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่บอกต้องรอ 24 ชั่วโมงถึงจะปล่อยตัว จึงกลับมารอที่ห้องพักแต่พอครบ 24 ชั่วโมงก็ยังไม่กลับ
ด้วยความสงสัยเลยไปตามที่สน.หัวหมากอีกครั้ง เขาพยายามถามตำรวจว่า ทั้ง 6 คนหายตัวไปไหน ตอนแรกตำรวจบอกเพียงว่า ปล่อยตัวแล้ว จัดการเรียบร้อยแล้ว แต่เจ้าตัวไม่กลับบ้านเอง เมื่อพยายามถามไปอีกตำรวจจึงยอมบอกว่า ทหารมาควบคุมตัวไปที่มณฑลทหารบกที่ 11 (อาศัยอำนาจตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558) หลังจากนั้นจึงประสานงานกับญาติของทั้ง 6 คน
ฮานีละ ดือลามะ แม่ของอุสมาน จำเลยที่ 4 เป็นคนหนึ่งที่ฮาฟิซได้ติดต่อว่า ให้ขึ้นมากรุงเทพฯเพราะติดต่ออุสมานและเพื่อนๆไม่ได้แล้ว เมื่อทราบข่าวจึงมาที่กรุงเทพฯ แต่ไม่มีข้อมูลใดๆเลย แต่ได้ขอความช่วยเหลือทางศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.)ไป
ต่อมาตัวแทนจากศอ.บต. ประสานงานให้จนทราบว่า อุสมานและเพื่อนๆอยู่ที่ มทบ. 11 เธอขอเข้าเยี่ยมลูกของเธอแต่ทหารไม่ยอมให้เข้าเยี่ยม เธอจึงต่อรองว่า ถ้าไม่ให้เยี่ยมขอโทรศัพท์ได้ไหม ทหารก็ปฏิเสธ พอถามว่า ส่งอาหารให้ได้ไหม อุสมานและเพื่อนๆจะได้รู้ว่า มีผู้ปกครองมา แต่ทหารไม่ยินยอมเช่นเดิม อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นมีการประสานจนยอมให้เข้าเยี่ยมเวลา 04.00 น. ของวันที่ 12 ตุลาคม 2559
เธอกล่าวว่า ระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาขายที่ดินไปจนหมดแล้ว ทุกอย่างต้องใช้เงิน บางคนแม้ญาติผู้ใหญ่เสียชีวิต พวกเขาก็ไม่มีโอกาสแม้กระทั่งไปลาครั้งสุดท้าย ช่วงดังกล่าวจำเลยพลาดไปหลายอย่าง และถ้าหากว่า มีค่าทนายความ เธอคงมาไม่ถึงกระบวนการยุติธรรมวันนี้เพราะไม่มีเงินมากพอ ที่ผ่านมาเธอเคยไปขอเงินช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรม แต่กองทุนฯไม่ให้ผ่าน เธอยังระบุว่า ช่วงที่อุสมานได้รับการปล่อยตัวกลับบ้านต้องกินยาจิตเวชเนื่องจากมีอาการหวาดกลัวระหว่างการควบคุมตัว
สอดคล้องกับคำกล่าวของแม่ของจำเลยอีกหลายคน หนึ่งในแม่ๆเหล่านั้นระบุว่า ที่ผ่านมาเธอต้องหยิบยืมเงินจำนวนมากเพื่อเป็นค่าเดินทางมาเยี่ยมลูกชาย รถมอเตอร์ไซค์ที่มีเป็นสมบัติชิ้นเดียวก็ต้องนำไปจำนำ นอกจากนี้ ตอนที่เธอเข้าเยี่ยมลูกชายที่มทบ.11 สภาพตอนนั้นคือ ลูกชายใส่กางเกงขาสั้นบอกเซอร์ และร้องไห้ ลูกชายบอกเธอว่า เขาไม่ถูกช็อตไฟฟ้า แต่เพื่อนอีกคนถูกช็อตไฟฟ้า
คำฟ้องคดี ‘ระเบิดน้ำบูดู’ -อั้งยี่ ซ่องโจรและครอบครองระเบิด
หมายเหตุ : รายละเอียดคำพิพากษาเป็นเพียงบางส่วนจากคำพิพากษาทั้งหมดที่ศาลได้อ่านจริงในวันที่ 25 กันยายน 2561 ประกอบกับข้อมูลจากเว็บไซต์ศาลอาญา