
โดยศรีสุวรรณบรรยายถึงเหตุการณ์เชิญตัวไปปรับทัศนคติว่า “เมื่อเขาเห็นว่ากลไกที่น่าจะสยบผมได้ คือการเรียกไปปรับทัศนคติแล้วคาดหวังว่าผมจะเกรงกลัว เพื่อให้ผมไม่กล้าที่จะมายื่นตรวจสอบหรือทำให้เขารำคาญ จึงเรียกผมเข้าค่ายเป็นครั้งแรกที่กองทัพภาคที่หนึ่ง จริงๆ เข้าไปผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร มีทหารมาเชิญผมถึงที่บ้าน โดยมีทหารและตำรวจที่ สน.คูคต มากันเป็นสิบ” ศรีสุวรรณกล่าวว่าเขาถูกควบคุมตัวไปโดยที่ไม่มีหมายเรียก หรือแจ้งล่วงหน้าก่อน “เขาไม่ได้แจ้งอะไรผมเลย ทหารเข้ามาเนี่ยไม่เป็นอะไร แต่ตำรวจถ้าผมจะเอาผิดก็เอาผิดได้ฐานบุกรุกได้ทันที”
“ส่วนทหารมาเชิญก็คุยดีนะ ไม่ได้ใช้อำนาจขู่เข็ญ บอกเหตุผลว่า เนื่องจากผู้บังคับบัญชาต้องการที่จะพูดคุยด้วยจะเชิญไปที่กองทัพเพื่อพูดคุยกัน ผมก็แต่งตัวขึ้นรถไป ระยะเวลาในการเดินทางประมาณซักครึ่งชั่วโมง ไม่มีการปิดตา มีทหารอยู่ในรถประมาณสี่คน คือนั่งข้างหน้าสองคน ข้างหลังประกบข้างสองคน”
“ก็ออกจากนั้นก็ประมาณทุ่มครึ่ง เซ็นเอกสาระไรเสร็จก็กลับเลย แล้วก็เอาน้ำเอาข้าวใส่รถฮัมวี่ ตอนแรกเขาจะมาส่งผมที่บ้าน ผมบอกไม่ต้องผมมีภารกิจที่จะต้องไปออกทีวีที่ช่อง 13 ตรงแจ้งวัฒนะ เขาก็โอเคเดียวไปส่ง พอออกจากค่ายเข้าก็ขึ้นทางด่วนยมราชไปส่งที่เมืองทองธานี ผมก็เข้ารายการได้ทันพอดีสองทุ่ม ขากลับเหลือสองคน ไม่มีอะไรน่าซีเรียสก็นั่งคุยกันสบายๆ
ตรวจสอบเรื่องบ้านมั่นคง-ปรับทัศนคติสถานที่ใหม่ คุยกันสบายๆ ที่ “ร้านอาหาร”
ในครั้งนี้ศรีสุวรรณถูกเรียกไปปรับทัศนคติอีกครั้งในช่วงเดือนมิถุนายน 2559 เมื่อถามว่าเจ้าหน้าที่ทหารมีการติดต่อศรีสุวรรณอย่างไร เขากล่าวว่าเป็นการนัดพบกันเพื่อพูดคุยระหว่างทหารและเขา “ผมก็ได้ข่าวมาว่าทหารอยากเชิญตัวผมไปพูดคุยเรื่องบ้านมั่นคงนานแล้วละ แต่สุดท้ายผมมีกิจกรรมอะไรซักอย่างแล้วเขาก็โทรศัพท์เชิญผม ผมก็ไปตามนัด เท่านั้นเอง เขาเชิญไปหารือวันที่ 30 พฤษภาคม แต่วันนั้นผมไม่ว่าง เลยนัดใหม่”
หลังจากที่พูดคุยกันในร้านอาหารเสร็จเรียบร้อย ศรีสุวรรณเล่าว่ามีการยืนถ่ายรูปด้วยกันแบบเป็นทางการก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน ส่วนตัวของศรีสุวรรณได้ขับรถกลับบ้านเอง โดยไม่ได้มีทหารติดตามกลับไปด้วย
ตรวจสอบหมุดคณะราษฎรที่หายไป – ปรับทัศนคติอีกเป็นครั้งที่สาม
เขาเล่าเหตุการณ์ของวันที่ถูกทหารควบคุมตัวไปปรับทัศนคติที่ค่ายทหารว่า เขาได้ไปยื่นเอกสารให้นายกฯ เรื่องหมุดคณะราษฎร แต่ยังไม่ได้ยื่นเอกสาร เพียงแค่แถลงการณ์บางส่วน เขาถูกเจ้าหน้าที่ทหารประมาณ 4-5 นายมาล้อมตัวไว้ แล้วแนะนำตัวว่า ขออนุญาตเชิญไปพูดคุยกัน
ในการปรับทัศนคติครั้งนี้ ศรีสุวรรณเล่าว่าระหว่างที่ถูกควบคุมตัวในรถเขาแอบส่งเรื่องที่ถูกควบคุมตัวไปให้นักข่าวที่รู้จัก ซึ่งทำให้การเรียกปรับทัศนคติของเขาถูกเผยแพร่โดยสื่อหลายสำนัก “ตอนที่มาเชิญตัวผมที่บ้านขึ้นรถ เขาก็ไม่ได้ยึดโทรศัพท์ผมตั้งแต่แรก ปล่อยให้ผมเล่นโทรศัพท์ ผมเลยได้ถ่ายรูปว่าเป็นใครบ้าง พอขึ้นรถปุ๊บผมก็ส่งข่าวให้กับผู้สื่อข่าว ผมมีไลน์ผู้สื่อข่าวอยู่แล้ว ว่าครั้งนี้ผมถูกเชิญตัวไปค่าย”
เมื่อไปถึงที่ มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) ศรีสุวรรณเล่าถึงความรู้สึกในตอนนั้นว่า ทหารค่อนข้างละเมิดสิทธิหลายอย่าง “ตั้งแต่รถตู้เข้า มทบ.11 ก็เอาผ้ามาปิดตาผมไม่ให้ผมรู้ว่าผมจะไปตึกไหน ปิดตาผมปุ๊ปรถก็วิ่งเข้าไปแล้วก็วนไปวนมาคือก็ไม่รู้ว่าจะเอาผมไปไว้ตรงไหน จะไปตึกไหนก็เห็นวนหากันตั้งนาน ก็ไปตึกบัญชาการฝั่งซ้ายของ มทบ.11 ซึ่งไม่ไกลจากประตู”
ศรีสุวรรณเล่าว่า ทหารควบคุมตัวให้เขาอยู่ในห้องนั้นเป็นเวลานาน เขาเล่าว่า “[วันนั้น]ไปถึงค่ายเกือบซักสิบเอ็ดโมง ก็ไม่มีใครมาคุยกันผมก็มีแค่นายทหารหน้าห้องถาม พี่มีอะไรไหม ก็มีน้ำมีอะไรให้ผมกิน อยู่แล้วก็มีชุดให้ผมเปลี่ยน ผมใส่สูทไปใช่ไหม เขาก็เปลี่ยนให้เป็นชุดนักโทษหรือชุดอะไรซักอย่างเป็นลักษณะสีฟ้าน้ำเงิน…แล้วก็พอถึงเที่ยง ก็มาถามผมว่าจะกินอะไร ผมบอกขอข้าวกับกระเพราไข่ดาวก็พอ แล้วมันก็สั่งมาให้ผม กินเสร็จก็นั่งรอ ก็ยังไม่มีใครมาคุยกับผม จนผมจะเข้าห้องน้ำ ก็มีทีมมาประมาณสามสี่คนมาปิดตาผมอีกละแล้วก็พาผมประคองเดินพาผมไปเข้าห้องน้ำประมาณ 50 กว่าเมตร เพราะมันอยู่ฝั่งคนละตึก ผมอยู่ทางฝั่งตึกทางเหนือ ห้องน้ำอยู่ทางตึกฝั่งทิศใต้แล้วต้องเดินผ่านห้องโถงใหญ่ของตึกบัญชาการไปเข้าห้องน้ำไป ในห้องควบคุมตัวไม่มีห้องน้ำ ห้องน้ำมันอยู่ตึกเดียวกันแต่มันอยู่ฝั่งใต้ มันก็ปิดตาผมตลอดแล้วจูงผมไปเข้าเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา”