วสันต์ พานิช
ทนายความในชั้นอุทธรณ์
บทเริ่มต้น ควรเห็นใจสมยศในฐานะบรรณาธิการ ที่มิได้เป็นผู้เขียนบทความเอง แต่ต้องมารับผิด มิเช่นนั้นในอนาคต หากมีผู้อื่นไม่ว่าหมิ่นประมาทใคร ผู้ที่ไม่ได้เขียนก็ต้องรับผิดในข้อหานี้เช่นกัน
ข้อกล่าวหาในคดีนี้คือ จำเลยหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ภูมิพลอดุลยเดช ด้วยการจัดพิมพ์ จัดจำหน่าย และเผยแพร่ นิตยสารเสียงทักษิณ [Voice Of Taksin] ต่อประชาชน ทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด ทั่วราชอาณาจักร รวม ๒ ฉบับ ได้แก่
1. ฉบับปีที่ ๑ เล่มที่ ๑๕ ปักษ์หลัง กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ บทความ “คมความคิด” ของผู้ใช้นามปากกาว่า “จิตร พลจันทร์” เรื่อง “แผนนองเลือด กับยิงข้ามรุ่น” หน้าที่ ๔๕ – ๔๗ (จ. ๒๔)
2. ฉบับปีที่ ๒ เล่มที่ ๑๖ ปักษ์แรก มีนาคม ๒๕๕๓ บทความ “คมความคิด” ของผู้ใช้นามปากกาว่า “จิตร พลจันทร์” เช่นเดียวกัน เรื่อง “๖ ตุลาแห่ง พ.ศ.๒๕๕๓” หน้าที่ ๔๕ – ๔๗ (จ. ๒๕)
ประเด็นคำพิพากษาไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๓๙ บัญญัติว่า
“บุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำนั้น บัญญัติเป็นความผิด และกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำความผิดมิได้”
เริ่มพิจารณาจาก พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.๒๔๘๔ คำว่า “บรรณาธิการ” ตามมาตรา ๔ บัญญัติว่า “หมายความว่า บุคคลซึ่งรับผิดชอบในการจัดทำ ตรวจแก้ คัดเลือก รวบรวม ปรับปรุง และรับผิดชอบเรื่องลงพิมพ์” และตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.๒๔๘๔ มาตรา ๔๘ วรรค ๒ บัญญัติถึงบทกำหนดโทษของบรรณาธิการไว้ว่า “ในกรณีแห่งหนังสือพิมพ์ ผู้ประพันธ์และบรรณาธิการต้องรับผิดเป็นตัวการ และถ้าไม่ได้ตัวผู้ประพันธ์ก็ให้เอาโทษแก่ผู้พิมพ์เป็นตัวการด้วย”
นอกจากนี้ ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ฉบับปี พ.ศ.๒๕๒๕ และฉบับปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.๒๕๔๒ ได้บัญญัติไว้ตรงกันว่า
“บรรณาธิการ” “(นาม) คือ ผู้จัดเลือกเฟ้น รวบรวม ปรับปรุง และรับผิดชอบเรื่องลงพิมพ์” และ“(กฎหมาย) คือ “บุคคลที่รับผิดชอบในการจัดทำ ตรวจแก้ หรือควบคุมบทประพันธ์หรือสิ่งอื่นในหนังสือพิมพ์”
ต่อมา เปลี่ยนเป็น พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๓ ให้ยกเลิก
1. พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.๒๔๘๔
2. พระราชบัญญัติการพิมพ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๔๘๕
3. พระราชบัญญัติการพิมพ์ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.๒๔๘๘
อนึ่ง พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.๒๕๕๐ มิได้กำหนดโทษบรรณาธิการไว้เหมือน พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.๒๔๘๔ ที่ต้องร่วมรับผิดทางอาญากับผู้เขียนหรือผู้ประพันธ์ อีกด้วย
คำเบิกความพยานโจทก์ ๖ ปาก ทั้งเจ้าของโรงพิมพ์ และฝ่ายตลาด ต่างเบิกความว่า งานพิมพ์เข้ามารีบเร่ง พิมพ์ไม่ทัน ทั้งที่กำไรดี โดยรับพิมพ์เพียง ๒ ฉบับเท่านั้น ส่วนบรรดาผู้ร่วมงาน ต่างเบิกความว่า บทความเข้ามารีบเร่ง ไม่มีเวลาตรวจดู บางครั้งต้องค้างคืนที่สำนักงาน บางฉบับจัดพิมพ์เลย อีกทั้งบทความในนามปากกา “จิตร พลจันทร์” มิได้ตรวจแก้ เพราะเป็นผู้มีชื่อเสียง และเป็นผู้เขียนบทความประจำลงมาหลายครั้งแล้ว ประกอบกับจำเลยเอง มีภาระหน้าที่ในการเขียนบทความลงใน นิตยสารเสียงทักษิณ เช่นเดียวกัน โดยจำเลยเขียนในชื่อและนามสกุลจริง และไม่เคยมีปัญหาว่าเป็นบทความที่เกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่อย่างใด เช่น โดยเขียนก่อนเกิดเหตุและระหว่างเกิดเหตุ รวม ๑๑ บทความ ซึ่งเป็นภาระที่หนักหนา โดยไม่มีเวลาไปตรวจสอบบทความผู้อื่นอีก
ประเด็นการประกันตัวจำเลย
เหตุผลที่จำเลยอ้างในการขอประกันตัว
1. คดีนี้ ในที่สุดศาลคงมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์อย่างแน่นอน ด้วยเหตุผลที่คำพิพากษาดังกล่าวไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว และรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด และตามมาตรา ๖ บัญญัติว่า “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎหรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับไม่ได้”
2. การประกันตัวจำเลยจะกระทำได้หรือไม่ โดยอาศัยเงื่อนไขตามกฎหมาย กล่าวคือ
- จำเลยมีพฤติกรรมที่จะหลบหนีหรือไม่ จำเลยถูกจับกุมเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔ ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง บริเวณด่านถาวรบ้านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้วโดยจำเลยถูกจับขณะพาลูกทัวร์ไปเที่ยวประเทศกัมพูชา ไปในสภาพปกติ หลังจากถูกแจ้งจับมิได้แสดงอาการขัดขืนหรือหลบหนีแต่ประการใด จำเลยถูกออกหมายจับโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยหมายจับของศาลอาญา ฉบับลงวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เอกสารหมาย จ.๓๐ แต่ตามหนังสือเดินทางของจำเลยที่ใช้ประกอบการซักค้านพยานโจทก์ ปรากฏว่าจำเลยเดินทางไปกัมพูชาหลายครั้ง โดยครั้งสุดท้าย ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และกลับเข้าประเทศไทย ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ประกอบกับ เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ. ได้เรียกบรรดาผู้ร่วมงานของจำเลย ไปสอบสวนก่อนหน้านี้ ซึ่งจำเลยก็ทราบดี แต่จำเลยก็มิได้หลบหนีแต่ประการใด
- ห้ามไปยุ่งเหยิงกับพยาน คดีนี้สืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว พร้อมทั้งศาลมีคำพิพากษา จึงไม่อาจไปยุ่งเกี่ยวกับพยานได้
- ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๓๙ ข้อ ๙ ข้อ ๓ ย่อย บัญญัติว่า “สิทธิในการได้รับการปล่อยตัว มิให้ถือเป็นการทั่วไปว่าจะต้องควบคุมบุคคลที่รอการพิจารณาคดี แต่ในการปล่อยตัวอาจกำหนดให้มีการประกันว่า
– จะกลับมาปรากฏตัวในการพิจารณาคดี
– ในขั้นตอนอื่นของการพิจารณา และ
– จะมาปรากฏตัว เพื่อการบังคับตามคำพิพากษา
ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง ใช้บังคับได้หรือไม่นั้น ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๘๒ ส่วนที่ว่าด้วยนโยบายด้านต่างประเทศบัญญัติว่า “ตลอดจนต้องปฏิบัติตามสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชน ที่ประเทศไทยเป็นภาคี……..” ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชน ทั้งหมด ๗ ฉบับ รวมทั้งกติการะหว่างประเทศที่กล่าวถึงด้วย โดยฉบับสุดท้ายที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคี คือ “อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของคนพิการ”
- โทษที่ร้ายแรง จำเลยถูกศาลมีคำพิพากษาจำคุกเพียง ๑๐ ปีในคดีนี้ แต่คดีอื่น ๆ ที่สามารถเทียบเคียงกัน กรณี เด็กชายถูกฆ่าและนำศพมาแขวนคอเพื่ออำพรางคดี โดยศาลอาญามีคำพิพากษาให้ประหารชีวิต ๓ นาย และอีก ๒ นาย โทษจำไม่ได้ โดยจังหวัดดังกล่าวเป็นเมืองที่ถูกประชาสัมพันธ์ว่าเป็นเมืองปลอดอาชญากรรม เด็กชายหญิงที่เป็นเยาวชน กระทำความผิดครั้งแรก ถูกจำคุกโดยคำพิพากษาของศาลเกือบทั้งหมด จนกระทั่งมีแผนกคดีครอบครัวและเยาวชนจึงมีการเปลี่ยนแปลง แต่เด็กเยาวชนเหล่านี้ หากกระทำความผิดครั้งที่สอง เสียชีวิต โดยหาตัวผู้กระทำความผิดมิได้ รวมทั้งนายเกียรติศักดิ์ ฯ ในคดีดังกล่าวด้วย บางรายอ้างว่าได้รับการประกันตัว แล้วสูญหายไป รวมทั้งสิ้นประมาณ ๒๐ กว่าราย แต่จำเลยทั้งหมดในคดีนายเกียรติศักดิ์ ฯ ทุกคนได้รับการประกันตัว (เป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องเท่าเทียมกันครับ)
- จำเลยก่อนถูกจับกุมดำเนินคดีนี้ ได้รับการตรวจและรักษาพยาบาลที่ โรงพยาบาลบี. แคร์ เมดิคอลเซ็นเตอร์ ตั้งแต่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๔๙ จนถึงวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๔ ด้วยโรคเกาท์ โรคความดันโลหิตสูง และโรคไวรัสตับอักเสบบี สมควรที่ได้รับการดูแลรักษาตลอดไป
ประเด็นฎีกาคำสั่งศาลกรณีประกันตัว ว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา ๔๐ (๒) หลักประกันขั้นพื้นฐาน และมาตรา ๔๐ (๗)
มาตรา ๔๐ (๒) แห่งรัฐธรรมนูญได้ประกันในเรื่องของ
1. การพิจารณาคดีโดยเปิดเผย
2. การได้รับทราบข้อเท็จจริงและตรวจเอกสารอย่างพอเพียง
3. การเสนอข้อเท็จจริง ข้อโต้แย้ง และพยานหลักฐานของตน
4. การคัดค้านผู้พิพากษาและตุลาการ
5. การได้รับการพิจารณาโดยผู้พิพากษาหรือตุลาการที่นั่งพิจารณาคดีครบองค์คณะ และ
6. การได้รับทราบเหตุผลประกอบคำวินิจฉัย คำพิพากษา หรือคำสั่ง
ส่วนมาตรา ๔๐ (๗) ประกันว่า ในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีสิทธิได้รับการสอบสวน หรือการพิจารณาคดีที่ ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม……………และการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว