13 กรกฎาคม 2566 วาระสำคัญโหวตเลือกนายกฯ คนที่ 30 จากการที่มีส.ว.จำนวนหนึ่งเคยออกมาประกาศแสดงจุดยืนและให้สัมภาษณ์โดยอ้างหลักการต่างๆ เป็นไปตามสมควรว่าจะลงคะแนนเสียงเป็นไปตามมติมหาชน สนับสนุนนายกฯ จากพรรคที่ได้เสียงอันดับหนึ่ง มาในวันนี้ ‘กลับลำ’ พลิกลิ้นกันอีกรอบหรือบางคนก็ ‘หายตัว’ ไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่เหมือนกับที่เคยหนักแน่นไว้ในอดีต
โดยพบว่ามี ส.ว. 7 คนที่เคยประกาศพร้อมลงมติตามเสียงข้างมากจากการเลือกตั้งแต่สุดท้ายไม่ได้ทำตามที่พูด โดยแบ่งเป็นคนที่ลงมติ “งดออกเสียง” ไป 2 คน คือ นพ.พลเดช ปิ่นประทีป และทัศนา ยุวานนท์ ส่วนอีก 5 คน ไม่มาประชุม ได้แก่ ภัทรา วรามิตร, ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม, ประมาณ สว่างญาติ, สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์, ประยูร เหล่าสายเชื้อ
นอกจากนี้ส.ว. 2 คน ที่เคยประกาศแต่ก็ยักเยื้องเป็นอย่างอื่นแย้งกับที่เคยกล่าวเอาไว้หลายรอบและผลสุดท้ายลงมติ “งดออกเสียง” ได้แก่ เฉลิมชัย เฟื่องคอน และ ทรงเดช เสมอคำ
![](https://live.staticflickr.com/65535/53044658214_b1589739e1_z.jpg)
ย้ำจุดยืนชัดเจนแต่วันสำคัญดันหายตัวไม่มาโหวตนายกฯ
เปิดด้วย ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม นักวิชาการที่ เคยลงมติเห็นชอบร่างแก้รัฐธรรมนูญให้ปิตสวิตช์ส.ว.เลือกนายกฯ หนึ่งครั้ง ดิเรกฤทธิ์เป็นคนที่โดดเด่นที่สุดที่เคยออกมาให้สัมภาษณ์แสดงจุดยืนหลายต่อหลายครั้ง ในครั้งนี้เมื่อถึงลำดับการออกเสียงของเขาดันกลับ ‘หายตัว’ ไป ไม่แม้แต่จะลงคะแนนเสียงโหวตเลือกนายกฯ
![](https://live.staticflickr.com/65535/53042972446_412208d4cb_z.jpg)
ก่อนหน้าวันโหวต ส.ว.ดิเรกฤทธิ์ เคยเปิดเผยหลักที่ใช้ในการเลือกนายกฯ โดยยึดว่าต้องเคารพเสียงประชาชน ไล่เรียงตามระยะเวลาที่ออกมาแสดงจุดยืน ดังนี้
16 พฤษภาคม 2566 โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า รับฟังเสียงประชาชนแน่นอน พร้อมโหวตสนับสนุนนายกฯ ที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ที่มาจาก ส.ส.ที่รวมกันได้เกิน 250 คน
17 พฤษภาคม 2566 ให้สัมภาษณ์กับไทยรัฐ ตนเองคำนึงถึงเสียงของประชาชนที่มาใช้สิทธิเป็นสำคัญและการที่จะพิจารณาเลือกนายกรัฐมนตรี มองว่าต้องผ่าน 3 ด่าน คือ 1. ต้องมีเสียง ส.ส. 250 เสียงขึ้นไป 2. ต้องดูว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนหรือไม่ รวมถึงที่มีการร้องเรียนต่างๆ กับองค์กรอิสระ อยากเรียกร้องให้องค์กรอิสระ เร่งวินิจฉัยออกมา เพราะจะมีผลต่อการพิจารณาของ ส.ว. 3. ต้องดูความสามารถในการขับเคลื่อนนโยบาย”
18 พฤษภาคม 2566 ให้สัมภาษณ์รายการข่าวเย็นประเด็นร้อนช่วง “ถกไม่เถียง” ย้ำและขยายความเพิ่มเติมถึงปัจจัยสามข้อในการเลือกนายกฯ โดยสรุปได้ว่า “ข้อหนึ่งต้องมีเสียงข้างมาก ใครรวมส.ส.ได้มากกว่ากึ่งหนึ่งควรได้รับการสนับสนุน ข้อสอง มีคุณสมบัติการเป็นส.ส.และนายกฯครบถ้วน เรียกร้องให้หน่วยงานที่ตรวจสอบคุณสมบัติต้องทำให้เรียบร้อยให้ชัดเจน ข้อสาม สามารถขับเคลื่อนนโยบาย ต้องทำความเข้าใจให้ชัด”
26 มิถุนายน 2566 ให้สัมภาษณ์ย้ำจุดยืนอีกครั้งในรายการ THE STANDARD NOW โดยสรุปได้ว่า “ยืนยันตามที่เคยโพสต์ แน่นอนว่าเป็นไปตามหลักการประชาธิปไตยยืนยันในหลักการเลือกตามเสียงข้างมาก กรณีให้ความเห็นถึงตัวบุคคลจะเป็นคุณพิธาหรือไม่เป็นอีกประเด็น ในหลักการถ้าคุณพิธาไม่ได้เสียงข้างมากก็ไม่เลือกอยู่แล้ว ” พร้อมตอบคำถามว่า หากรวมเสียงเกิน250 เสียง ไม่ว่าจะเป็นใครก็จะโหวตให้ โดยส.ว.ดิเรกฤทธิ์ให้เหตุผลว่า เป็นหลักการขั้นแรกเพราะหากเป็นคุณพิธาก็ตามถ้ารวมเสียงข้างมากไม่ได้ แล้วเราไปเลือกคุณพิธาเนี่ยเราก็ไม่ได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ เปิดประชุมครั้งแรกเปิดไม่ไว้วางใจก็ดีหรือกฎหมายสำคัญไม่ผ่าน คุณพิธาก็ต้องออกไป ทำงานต่อไม่ได้อยู่ดี หลักการนี้เป็นเรื่องใหญ่ของประชาธิปไตยอยู่แล้ว และในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณพิธารวมเสียงข้างมากได้ก็ไม่มีเหตุผลในเบื้องต้นที่จะต้องไม่เลือกคุณพิธา”
5 กรกฎาคม 2566 ให้สัมภาษณ์รายการอยากมีเรื่องคุย ข่าวสด โดยสรุปได้ว่า “ย้ำอีกทีว่าประชาธิปไตยต้องช่วยกันเคารพและประคับประคอง ในการเลือกฝ่ายบริหารเราใช้ระบบรัฐสภา ประชาชนเลือกสภา เลือกส.ส.ขึ้นมา และการมีส.ว.มาถ่วงดุลก็เป็นไปตามฉันทามติรัฐธรรมนูญที่กำหนดเงื่อนไขไว้ … เมื่อสภาได้ทำหน้าที่ มีเสียงข้างมาก เราก็ควรเคารพ”
7 กรกฎาคม 2566 ให้สัมภาษณ์รายการไทยรัฐนิวส์โชว์ “ผมเองมีความชัดเจนอยู่แล้ว หนึ่งเสียงข้างมาก ผมก็ต้องสนับสนุนเป็นพื้นฐานบันไดขั้นแรก ขั้นที่สองถ้ากระบวนการเหล่านี้ยังไม่มีความชัดเจน ยังไม่สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ส.ส.ของคุณพิธาเราก็ต้องถือได้ว่าเขาผ่านขั้นที่สองได้ มาตรา112 ที่เป็นเรื่องใหญ่มันเป็นกระบวนการแก้ไขกฎหมาย การเลือกคุณพิธาเป็นฝ่ายบริหาร ไม่ได้ทำให้เป็นการแก้ไขมาตรา 112 ไปโดยปริยาย เพราะเรื่องนี้แปดพรรคร่วมก็ไม่ยอม”
10 กรกฎาคม 2566 ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวไทยโพสต์ย้ำจุดยืมเดิมภายใต้สามเงื่อนไข
ภัทรา วรามิตร อดีตส.ส.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็น ส.ว. จากระบบการแบ่งกลุ่มอาชีพผู้ประกอบการเอสเอ็มอีซึ่งเคยลงมติเห็นชอบร่างแก้รัฐธรรมนูญให้ “ปิดสวิตช์ส.ว.” เลือกนายกฯ หนึ่งครั้ง ก่อนหน้านี้ ภัทรา เคยแสดงจุดยืนประกาศชัดเจนว่าจะสนับสนุนพิธา แคนดิเดตพรรคก้าวไกล ให้เป็นนายกฯ
![](https://live.staticflickr.com/65535/53044633184_5c6702ee6c_z.jpg)
17 พฤษภาคม 2566 โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ระบุว่า “ภัทรา วรามิตร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เคารพมติของประชาชน ขอประกาศจุดยืนสนับสนุน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี”
ประมาณ สว่างญาติ ส.ว.จากเครือข่ายชาวนา ไม่เคยลงมติรับร่าง “ปิดสวิตช์ส.ว.” แต่เคยออกมาแสดงจุดยืนก่อนหน้านี้ประกาศชัดเจนว่าจะสนับสนุนตามมติของประชาชน
![](https://live.staticflickr.com/65535/53045188025_755bd17c5d_z.jpg)
15 พฤษภาคม 2566 ให้สัมภาษณ์กับฐานเศรษฐกิจ ส่วนตัวไม่คัดค้านใครจะมาเป็นนายกฯ ขอให้เป็นไปตามมติของประชาชน ซึ่งในฐานะเกษตรกรคนหนึ่ง ที่ได้รับเลือกจากข้างล่างขึ้นไปข้างบน และมีความเชื่อมโยงจากประชาชน ส่วน ส.ว.ท่านอื่น ก็ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างจิตใจ แต่ตัวเองอยากให้ไปทางที่ไม่ขัดแย้ง ยิ่งมีมติประชาชนนำมาแล้ว ก็ควรที่จะไปทางนั้นมากกว่า
สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ เคยลงมติเห็นชอบร่างแก้รัฐธรรมนูญให้ “ปิดสวิตช์ส.ว.” เลือกนายกฯ หนึ่งครั้ง ก่อนหน้านี้ สถิตย์ เคยแสดงจุดยืนประกาศชัดเจนว่าจะสนับสนุนพิธา แคนดิเดตพรรคก้าวไกล ให้เป็นนายกฯ โดยออกมาแสดงจุดยืนไล่เรียงตามระยะเวลา ดังนี้
![](https://live.staticflickr.com/65535/53045294653_a895d16b36_z.jpg)
14 กุมภาพันธ์ 2566 ให้สัมภาษณ์กับผู้จัดการออนไลน์ โดยสรุปได้ว่า “ผมมีทางเลือกสองทาง คือ หนึ่งไม่ใช้สิทธิ เพราะว่าควรเลือกจากผู้แทนที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน สอง เลือกตามเจตจำนงของประชาชน ถ้าใครรวบรวม ส.ส.ได้เกิน 250 คน เกินครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนฯ ก็ควรได้รับการสนับสนุนให้จัดตั้งรัฐบาล”
18 พฤษภาคม 2566 ให้สัมภาษณ์กับ The Standard โดยสรุปได้ว่า “เมื่อรวมกันแล้ว 313 เสียง และไม่ตั้งใจที่จะรวบรวมมากกว่านี้ แสดงว่ามีการเปิดสวิตช์ ส.ว. แล้ว ผมในฐานะ ส.ว. ต้องใช้สิทธิตามหลักการประชาธิปไตย ด้วยการโหวตให้ตามเสียงข้างมากของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตอนแรกที่ไม่ได้พูดออกมา เพราะต้องรอว่า ส.ส.จะปิดสวิตช์ ส.ว. หรือไม่ ซึ่งก็เป็นหลักการตามประชาธิปไตยอย่างหนึ่งและที่สัญญาไว้ให้กับประชาชน”
ประยูร เหล่าสายเชื้อ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยลงมติ “ปิดสวิตช์ส.ว.” เลือกนายกฯเลย แต่ก่อนหน้านี้ ประยูร เคยแสดงจุดยืนประกาศชัดเจนว่าจะสนับสนุนพิธา แคนดิเดตพรรคก้าวไกล ให้เป็นนายกฯ ดังนี้
![](https://live.staticflickr.com/65535/53045294663_af7e9335bd_z.jpg)
21 พฤษภาคม 2566 มติชนรายงานว่า ประยูรประกาศว่า “ดิฉันสนับสนุนประชาธิปไตย โดยพร้อมลงคะแนนเสียงให้แก่พรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงมากอันดับที่ 1 จากประชาชน เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ”
ผิดหวังแต่ไม่ผิดคาด วันจริง “งดออกเสียง”
นพ.พลเดช ปิ่นประทีป อดีตเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ที่ทำงานใกล้ชิดกับภาคประชาชน อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งไม่เคยลงมติ “ปิดสวิตช์ส.ว.” เลือกนายกฯเลย อย่างไรก็ตาม แม้พลเดช จะ “งดออกเสียง” แต่เคยแสดงจุดยืนประกาศมีท่าทีชัดเจนว่าจะสนับสนุนพิธา แคนดิเดตพรรคก้าวไกล ให้เป็นนายกฯ ดังนี้
![](https://live.staticflickr.com/65535/53044841465_dca78bd87f_z.jpg)
18 พฤษภาคม 2566 ข้อมูลจากมติชน โดยสรุปได้ว่า “แนวทางโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีของตนเองจะดูว่าฝ่ายใดรวบรวมเสียงข้างมากได้เกิน 250 เสียง ก็พร้อมโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล หรือใครก็ตาม เพราะถือเป็นฉันทามติที่ประชาชนต้องการ”
ทัศนา ยุวานนท์ ซึ่งไม่เคยลงมติ “ปิดสวิตช์ส.ว.” เลือกนายกฯเลย อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลปรากฎออกมาว่า มีท่าทีจะโหวตให้พิธา แต่ผลสุดท้าย “งดออกเสียง” โดยแสดงจุดยืนไว้ ดังนี้
23 พฤษภาคม 2566 อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์เฟซบุ๊กเปิดเผยว่า “อีก 1 สว.ที่จะโหวตสนับสนุนให้ #พิธา เป็นนายกฯ ตามเสียงของประชาชน ขอบคุณ ส.ว.ทัศนา ยุวานนท์ วุฒิสมาชิกวัย 84 ปีจากโคราช”
เฉลิมชัย เฟื่องคอน อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ เคยลงมติเห็นชอบร่างแก้รัฐธรรมนูญให้ “ปิดสวิตช์ส.ว.” เลือกนายกฯ สี่ครั้ง ในประเด็นเรื่องการโหวตนายกฯ เฉลิมชัยอยู่ในกลุ่มเฝ้าระวังว่าจะโหวตไปในทิศทางไหนกันแน่ ด้วยเหตุที่ออกมาให้สัมภาษณ์แสดงจุดยืนกลับไปกลับมา และผลสุดท้ายในครั้งนี้แม้ประชาชนจะต้องผิดหวังอีกครั้งแต่ก็ไม่ผิดคาด โดยเฉลิมชัยโหวต “งดออกเสียง”
![](https://live.staticflickr.com/65535/53043148414_d49fe8d212_z.jpg)
เฉลิมชัยออกมาแสดงจุดยืนไล่เรียงตามระยะเวลา ดังนี้
15 พฤษภาคม 2566 ข้อมูลจากผู้จัดการออนไลน์ “ส่วนตัวมีจุดยืนชัดเจนว่า ฝ่ายใดรวบรวมเสียงข้างมากได้เกิน 250 เสียง จะโหวตให้ฝ่ายนั้นเป็นนายกรัฐมนตรี แม้จะเป็นคนของพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล ก็พร้อมโหวตให้ แต่กับ ส.ว.คนอื่นๆ ไม่กล้าการันตีจะคิดแบบเดียวกันหรือไม่”
16 พฤษภาคม 2566 ให้สัมภาษณ์รายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand สรุปจากบางช่วงบางตอนได้ว่า “ส่วนตัวผมตั้งใจว่าพรรคใดได้เสียงข้างมากแล้วรวมเสียงเกิน 250 เสียงขึ้นไป ผมจะเลือกนายกรัฐมนตรีจากพรรคนั้น เพราะเป็นการเลือกตามเสียงข้างมาก”
17 พฤษภาคม 2566 ข้อมูลจากรายการเรื่องเล่าเช้านี้ เผยเป็นการส่วนตัวว่าจะโหวตให้พิธา ถ้ารวมเสียงมาเกินครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)
6 กรกฎาคม 2566 ข่าวสดรายงานว่า เฉลิมชัย กลับลำ โดยกล่าวว่า “ตอนนี้ตนเปลี่ยนใจ จะไม่โหวตให้นายพิธาแล้ว หลังจากพิจารณานโยบายมาตรา 112 ทำให้รู้สึกว่าโหวตให้ไม่ได้ แต่ถ้านายพิธา ยอมยกเลิกก็พร้อมยกมือให้”
นอกจากนี้ ทรงเดช เสมอคำ ส.ว.จากโควต้ากลุ่มอาชีพเกี่ยวกับการศึกษาและการสาธารณสุข เคยเป็นประธานฝ่ายเทคนิคสโมสรฟุตบอลสุโขทัย แสดงความเห็นในเรื่องโหวตนายกฯ กลับไปกลับมาจัดอยู่ในกลุ่มเฝ้าระวัง แม้ความเห็นที่ออกมาล่าสุดก่อนโหวตนายกฯ เพียงสามวัน เหมือนส่งสัญญาณว่าจะอยู่ข้างประชาชน แต่ผลสุดท้ายก็โหวต “งดออกเสียง”
![](https://live.staticflickr.com/65535/53044981794_3eefe771ea_z.jpg)
10 กรกฎาคม 2566 กลับลำมายืนยันตามหลักการอีกครั้ง หลังจากที่ออกมากล่าวว่าจะไม่โหวตให้พิธาเพราะมาตรา 112 โดยระบุผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “ขอยืนหยัดตัดสินใจตามที่ได้ตั้งหลักการตั้งแต่ครั้งแรกไว้ว่าขอโหวตให้พรรคที่รวบรวมเสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อให้ประเทศของเราเดินหน้าไปได้ สำหรับการแก้กฎหมายขอให้เป็นไปตามกลไกของสภาและการประชุมร่วมกันของรัฐสภาต่อไป..”
จุดยืนต่าง ๆ ก่อนหน้าของทรงเดช ไล่เรียงตามระยะเวลา ดังนี้
17 พฤษภาคม 2566 ข้อมูลจากผู้จัดการออนไลน์ กล่าวโดยสรุปว่า “เราต้องเคารพสิทธิเคารพเสียงส่วนมากของประชาชน ถึงแม้ว่าจะเป็นเสียงส่วนหนึ่ง หรือ 14 ล้านเสียงที่เห็นด้วย จึงตัดสินใจว่า ถ้าหากพรรคไหนสามารถรวมเสียงได้มากเกินครึ่งของ ส.ส. คือ 250 หรือ 251 เสียงขึ้นไป ตนก็พร้อมที่จะโหวตให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล เพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้ อีกทั้งเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประเทศไทย จึงเห็นด้วยที่จะเลือกนายกรัฐมนตรีจากเสียงข้างมาก”
6 กรกฎาคม 2566 เดอะสแตนดาร์ดรายงานว่าทรงเดชกลับลำ โดยกล่าวว่า “เดิมเคยมีหลักการโหวตให้พรรคการเมืองที่รวบรวมเสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ข้างมากได้เกิน 250 เสียงเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ถ้าพิธายังมีจุดยืนแก้ไขมาตรา 112 ก็ไม่สามารถโหวตให้เป็นนายกฯ ได้ เพราะมาตรา 112 แตะต้องไม่ได้ ไม่ว่าจะยกเลิกหรือแก้ไข ดังนั้น ถ้าพรรคก้าวไกลยังมีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ก็จะไม่โหวตให้พิธาเป็นนายกฯ จะต้องยกเลิกการแก้ไขมาตรา 112 เท่านั้น ค่อยมาว่ากัน”