วันที่ 11 มกราคม 2566 เวลา 13.00-16.00 น. เครือข่ายภาคประชาชน โดย iLaw, We Watch, ACTLAB และ ทะลุฟ้าจัดกิจกรรม “เข้าคูหา จับตา การเลือกตั้ง 2566 Protect Our Vote” เป็นการแถลงเจตนารมณ์ร่วมขององค์กรภาคประชาสังคมรวม 101 องค์กรในนาม “เครือข่ายประชาชนสังเกตการณ์การเลือกตั้งปี 2566” เชิญชวนให้ประชาชนเข้าร่วมการสังเกตการณ์การเลือกตั้งทั่วไปที่กําลังจะมาถึง โดยลงทะเบียนเป็นอาสาสมัครหรือส่งข้อมูลความผิดปกติหรือสถานการณ์การเลือกตั้งในเขตของตนเองทั้งในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังวันเลือกตั้งให้กับ “เครือข่ายประชาชนสังเกตการณ์การเลือกตั้งปี 2566”ผ่านทางเว็บไซต์ Vote62.com นอกจากนี้ยังมีข้อเรียกร้องไปยังองค์กรจัดการการเลือกตั้งอย่างกกต.ที่ต้องทำหน้าที่ให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม เอื้ออำนวยร่วมมือในการสังเกตการณ์การเลือกตั้งทุกภาคส่วน และให้รัฐบาลสร้างบรรยากาศที่เป็นประชาธิปไตยก่อนการเลือกตั้ง (อ่านแถลงการณ์ฉบับเต็มตามไฟล์แนบ)
กิจกรรมภายในงานที่สำคัญวันนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนคือ วงเสวนาเกี่ยวกับการเลือกตั้งในปี 2566 และการจำลองการเลือกตั้ง เปิดให้ประชาชนที่มาร่วมงานลงคะแนนเลือกตั้งและซักซ้อมการนับคะแนนเพื่อให้ประชาชนเห็นถึงวิธีการสังเกตการณ์การเลือกตั้ง
ทวงคืนพื้นที่ประชาชนสังเกตการณ์เลือกตั้ง ช่วยเลือกตั้งโปร่งใสขึ้น
ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ระบบเลือกตั้งที่แตกต่างไปจากการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม 2562 ทำให้ประเด็นเรื่องการจัดการเลือกตั้ง ระบบเลือกตั้ง และการเลือกนายกรัฐมนตรีหลังเลือกตั้ง เปลี่ยนแปลงไปพอสมควร ไม่ว่าจะการเปลี่ยนบัตรเลือกตั้งเป็นบัตรสองใบคือ บัตรแบบแบ่งเขตและพรรคการเมือง การเลือกตั้งในปี 2562 มีหลักการที่ผิดเพี้ยนไปคือ พรรคพลังประชารัฐที่มีส.ส. 116 เสียงจากส.ส. 500 คน แต่ผลักดันให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรีจากการสนับสนุนของ ส.ว. 250 คน แต่ภูมิทัศน์ในแง่ของตัวผู้เล่นปัจจุบันแตกต่างออกไป
“ผมฟังท่านนายกฯ ปราศรัยเมื่อวานนี้บนเวที ข้อสำคัญคือ ท่านบอกว่า ท่านเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความเท่าเทียม ผมก็สงสัยว่า เราเท่าเทียมกันอย่างไร ในเมื่อท่านมีส.ว.ที่ท่านเลือกไว้ ถ้าท่านจะเท่าเทียมจริง เอาล่ะ ถ้าท่านยึดในมั่นในระบอบประชาธิปไตยจริงแล้วท่านปฏิวัติทำไมเมื่อแปดปีที่แล้ว ถ้าท่านยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย แต่ข้อสำคัญคือ ส.ว.ของท่าน ถ้าท่านยืนยันที่แล้วก็แล้วไป จากนี้ไปท่านประกาศได้ไหมว่า ส.ว.จะไม่ยุ่งเกี่ยวให้ประชาชนตัดสิน หากท่านเป็นเสียงข้างมาก โอเคท่านเป็นนายกฯ ต่อไป พรรคไหนได้เสียงข้างมากก็เป็นรัฐบาลไป ไม่ใช่เป็นนายกฯ ด้วยเสียงส.ว.ของท่าน…”
ระบบเลือกตั้งเป็นบัตรสองใบเกี่ยวข้องกับปัญหาของการเลือกตั้งในครั้งที่ผ่านมา ระบบแบบปี 2562 นั้นมีบัตรใบเดียวคือ บัตรแบบเขตทำให้มีผู้สมัครมากในหนึ่งเขต จากปกติ 7-8 คนเพิ่มเป็น 28 คน มากสุดหนึ่งเขตมี 44 คน เหตุเช่นนี้เพราะคะแนนแบบแบ่งเขตจะนำมาคำนวณ ส.ส.พึงมี ใช้เขตแสวงหาคะแนนให้พรรคการเมือง เมื่อผู้สมัครมากขึ้นส่งผลให้บัตรเลือกตั้งมีรายละเอียดมากขึ้น การจัดการเลือกตั้ง กกต.ผิดพลาดเยอะมาก เช่น เรื่องคุณสมบัติในการสมัครซึ่งมีหลุดบ้างเนื่องจากผู้สมัครมีจำนวนมากจากหลักพันเป็นหลักหมื่น ผศ.ดร.ปริญญา เชื่อว่าเมื่อเปลี่ยนระบบมาเป็นบัตรสองใบข้อผิดพลาดจะลดลง
หลักการของการเลือกตั้งซึ่งมาตั้งแต่มี กกต.ในปี 2540 วางอยู่บนหลักการเลือกตั้งจะโปร่งใสได้ก็ต่อเมื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วม ซึ่งมีชัย ฤชุพันธุ์ตัดหมดและนำผู้ตรวจการเลือกตั้งมาแทน เลิกกกต.จังหวัด ตัดภาคประชาชนทิ้งไป มีวิธีการพิสดารต่างๆ จนเกิดปัญหาเยอะ เขาเชื่อแบบราชการเลยให้ราชการมาตรวจ เขาไม่เชื่อประชาชนเลยตัดประชาชนทิ้ง ปัจจุบันกฎหมายยังไม่เปลี่ยน แต่จากการพูดคุยเชื่อว่า สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นปัญหาดังกล่าว และการนำหลักการการสังเกตการณ์กลับมาจะทำให้ป้องกันการโกงได้ แต่จนถึงตอนนี้ กกต.ยังไม่พูดออกมา ดังนั้นเครือข่ายภาคประชาชนควรเข้าไปหาและขอเข้าไปมีส่วนร่วม เราไม่มีอะไรมากเลย ขอเพียงให้ประชาชนเลือกอย่างไรให้ผลออกมาตามนั้น ในแง่ของนโยบายสำนักงานกกต.น่าจะมีการเปิดกว้างมากกว่าครั้งที่ผ่านมา
“ผมคิดว่าเครือข่ายภาคประชาชนต้องเข้าไปทวงถามกับ กกต. ว่าคราวที่แล้ว ไม่ยอมให้ประชาชนมีส่วนรวม ปัญหาเลยเยอะ แต่คราวนี้ประชาชนเราขอเข้าไปมีส่วนร่วม เราไม่มีอะไรมาก ขอเพียงแค่ประชาชนเลือกอย่างไรและให้ผลออกมาตามนั้น”
ตามนั้น”
“กกต. ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของอาจารย์มีชัย มีการเพิ่มจำนวนเป็นเจ็ดคน ที่สำคัญคือมีลักษณะเป็นบอร์ด ไม่ค่อยทำงาน แต่เน้นประชุมและทำงานสำนักงาน ไม่เหมือนกับ กกต. ที่ผ่านมาที่มีการแบ่งฝ่ายต่างๆ เช่น ฝ่ายส่งเสริมการเรียนรู้และประชาธิปไตย ฝ่ายการมีส่วนร่วม ฝ่ายพรรคการเมือง และอื่นๆ แต่ชุดนี้ไม่มี ไม่มีการปฏิบัติ ผมพูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องไปพูดคุยกับ กกต. ทั้งเจ็ดคนหรอก แต่พูดกับเลขาฯ กกต. แทน”
ประเด็นส.ว. ชุดนี้มีวาระถึงวันที่ 11 พฤษภาคม 2567 และระหว่างนี้ยังมีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีและองค์กรอิสระอยู่ ทำให้สมการการเลือกนายกรัฐมนตรียังคงเป็นแบบเดิมเหมือนปี 2562 ผศ.ดร.ปริญญามองว่า การแตกคอของสอง ป. อย่างพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาและพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เมื่อถึงเวลาจะมีคนหนึ่งที่ถอย ทำให้เสียงของ ส.ว.ยังไม่แตกออก อย่างไรก็ตามทั้งสองอาจจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แต่ถ้ามีเสียงในสภาผู้แทนราษฎรไม่ถึง 250 คนจะทำงานไม่ได้และอาจถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ดังนั้นจึงต้องทำให้มีเสียงส.ส. 250 คน แต่อาจจะเกิดการ “ดูดเอาดาบหน้า” อย่างไรก็ตามพล.อ.ประยุทธ์จะเป็นนายกฯ ต่อไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ เลือกตั้งโปร่งใสและส.ว.ต้องออกเสียงตามเสียงข้างมาก อันเป็นการป้องกันรัฐประหารไปด้วย
“ที่พล.อ.ประยุทธ์ไม่อ่านคำปฏิญาณว่า จะพิทักษ์ไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไม่ใช่เพิ่งไม่อ่าน แต่บรรดาแม่ทัพ นายกองสิบปีมาแล้วเขาไม่อ่านแล้ว ในการรับตำแหน่งผบ.เหล่าทัพต่างๆ ประโยคนี้ไม่มีมานานแล้ว ทหารต้องปฏิญาณตนว่า จะพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ผมคิดว่า รัฐประหารกับส.ว.เป็นเรื่องที่ต้องไปด้วยกัน ต้องให้ส.ว.รับปากกับประชาชนตั้งแต่ก่อนหน้าการเลือกตั้ง”
ปริญญากล่าวทิ้งท้ายว่า การสังเกตการณ์การเลือกตั้งเป็นเรื่องสำคัญและทำได้ “ไม่เกี่ยวกับข้างไหน อยู่ข้างไหนก็ได้รับประโยชน์เช่นกัน ผมอยากจะเสนอไว้ข้อหนึ่งคือ เรื่องผู้ตรวจการเลือกตั้ง แต่ละจังหวัดจะมีห้าหรือแปดคนแล้วแต่จำนวนประชากร ผมชวนให้ภาคประชาชนลองร่วมมือกับผู้ตรวจการเลือกตั้ง เท่าที่เคยคุยกับผู้ตรวจการเลือกตั้งเขาก็มีความรู้สึกเหมือนกับว่า ทำอะไรไม่ได้ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ถ้าภาคประชาชนสามารถร่วมมือกับผู้ตรวจการเลือกตั้งผมว่า โอกาสสำเร็จมีแล้วนะในการทำการเลือกตั้งให้โปร่งใส”
“การเลือกตั้งครั้งนี้จะช่วยให้เรากลับสู่ประชาธิปไตยเร็วขึ้น เมื่อส.ว.ไม่โหวตเลือกนายกฯ แล้วเมื่อส.ว.หมดวาระในปีหน้า เราจะแก้รัฐธรรมนูญแล้วอะไรก็แล้วแต่เป็นอุปสรรคขัดขวางประชาธิปไตย เราแก้ได้หมดเลยแล้วเราก็จะกลับสู่ประชาธิปไตยเต็มใบอีกครั้งหนึ่ง เริ่มจากการเลือกตั้งครั้งนี้ให้โปร่งใส”
ชำแหละระบบเลือกตั้ง 62 ทำลายประชาธิปไตย ยังหวังการเปลี่ยนขั้วอำนาจอย่างสันติ
รศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศที่เปลี่ยนระบบการเลือกตั้งบ่อยอยู่ในระดับห้าอันดับแรกของโลก ซึ่งไม่ได้เป็นผลดีนักเพราะทุกครั้งที่เปลี่ยนประชาชนต้องทำความเข้าใจใหม่ ถ้าย้อนกลับไปก่อนรัฐธรรมนูญ 2540 ไทยใช้ระบบเลือกตั้งแบบหนึ่งเขตสามคน พรรคการเมืองส่งได้สามชื่อ ทางวิชาการมองว่า ทำให้เกิดการแข่งขันกันเองในระบบพรรคการเมืองก็ยกเลิกไปและเปลี่ยนมาเป็นแบบคู่ขนานในการเลือกตั้ง 2544 และ 2548 คล้ายกับการเลือกตั้ง 2566 ต่างตรงที่ 2544 และ 2548 มีเกณฑ์ขั้นต่ำห้าเปอร์เซ็นต์ที่ถูกมองว่าเอื้อต่อพรรคใหญ่และพรรคที่มีชื่อเสียงติดหูและมีทรัพยากรในการหาเสียงในระดับประเทศ ตามด้วยการรัฐประหารในปี 2549 และเปลี่ยนระบบการเลือกตั้ง จากนั้นเปลี่ยนระบบอีกครั้งในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่ใช้ในการเลือกตั้ง 2554
การรัฐประหาร 2557 นำไปสู่รั
“ประการที่สองลดทอนความเป็
ในเรื่องการจัดการเลือกตั้ง เธอระบุว่า อาจจะเห็นไม่ตรงกับอาจารย์ปริ
ระบบการเลือกตั้ง 2562 ที่
อีกเรื่องหนึ่งคือการจัดการเลื
รศ.ดร. สิริพรรณระบุว่า อยากเห็นการถ่ายโอนอำนาจอย่างสั
“ภายใต้บรรยากาศทางการเมืองที่ไม่มีความละอาย ไม่มีความรู้สึกผิด ไม่คำนึงถึงความชอบธรรมทางการเมืองใดๆ และยังมีสว. 250 คนอยู่ในมือ ถึงจะแตกเป็นสองฝั่งก็ตาม ถึงเวลามี สว. ท่านหนึ่งออกมาพูดว่า ‘น้ำบ่อไหน ก็จะไปลงที่น้ำบ่อนั้น’ หมายความว่า น้อยมากที่จะมี ส.ว. แตกแถวมาเลือกในฝั่งที่เคารพเสียงของประชาชน คำถามคือ แล้วประชาชนจะทำอะไรเราพร้อมที่จะรับความไม่สงบใดๆ ต่อจากนี้หรือไม่”
นอกจากนี้นักวิชาการทั้งสองแล้
พงษ์ศักดิ์ระบุว่า ในฐานะที่มีประสบการณ์ในการสั
ประเด็นต่อมาคือ กกต.ไม่สนับสนุนการสังเกตการณ์
การเลือกตั้งในระดับอาเซียนที่
ด้านยิ่งชีพระบุว่า การเลือกตั้งปี 2562 อยู่ภายใต้
เขาเล่าย้อนปัญหาในการเลือกตั้
ไฟล์แนบ
- Election monitoring (255 kB)
RELATED POSTS
No related posts