ชวนติดตามคดีมาตรา 112 ตี้-บิ๊ก-เบนจา จากม็อบ #ราษฎรยืนยันดันเพดาน
24 มีนาคม 2568 เวลา 9:00 น. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 602 ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดเบนจา อะปัญ ตี้-วรรณวลี ธรรมสัตยาและบิ๊ก-เกียรติชัย ตั้งภรณ์พรรณฟังคำพิพากษามาตรา 112จากการปราศรัยในการชุมนุม “ราษฎรยืนยันดันเพดาน” ที่สกายวอล์คปทุมวันเมื่อวันที่ 24มิถุนายน 2564 คดีนี้มีผู้ร้องทุกข์คือ มะลิวัลย์ หวาดน้อย เครือข่ายศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.)
ตามคำฟ้องระบุว่า จำเลยทั้งสามกระทำการที่เข้าข่ายมาตรา 112 จากการปราศรัยกล่าวคือ ตี้ปราศรัยเกี่ยวทำนองว่า หากเป็นคนของรัชกาลที่สิบเมื่อทำผิดกฎหมายไม่ต้องรับโทษ พระองค์อยู่เหนือกฎหมาย สามารถปกป้องพรรคพวกและบริวารของตนได้ บิ๊กปราศรัยเกี่ยวกับการเลิกทาสของรัชกาลที่ห้า ทำนองว่า แม้รัชกาลที่ห้าจะเลิกทาสไปแล้ว แต่ประชาชนยังคงถูกกดขี่ ทำให้โง่และกลัว ไม่กล้าทวงสิทธิที่ตัวเองมี ทำให้เข้าใจว่า รัชกาลที่ห้าไม่ได้ตั้งใจล้มเลิกระบบทาสอย่างแท้จริง และการโต้แย้งเรื่องรัชกาลที่เจ็ด เป็นกษัตริย์ประชาธิปไตย ประเด็นการยกย่องสถาบันกษัตริย์ให้สูงส่งเกินไปและข้อเสนอในการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ส่วนเบนจาปราศรัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกษัตริย์กับการรัฐประหาร และการใช้เงินภาษีประชาชนในการจัดกิจกรรมวันพ่อแห่งชาติและวันเกิดของรัชกาลที่เก้า
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธและต่อสู้คดี ศาลนัดสืบพยานโจทก์และจำเลยระหว่างเดือนมิถุนายน 2566 ถึงเดือนมกราคม 2568 และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 24 มีนาคม 2568โดยคดีนี้มีจำเลยเหลืออยู่สองคนคือ เบนจาและตี้ ส่วนบิ๊กไม่สามารถติดตามตัวได้เนื่องจากอยู่ระหว่างการลี้ภัยทางการเมือง
ตี้กล่าวถึงคดีในกิจกรรม Stand together เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 ว่า คดีนี้ประโยคที่พูดและไม่คิดว่าจะเป็นประโยคที่ต้องเข้าไปในสำนวนคดี คือ “ยิ่งยักษ์ตัวใหญ่แค่ไหน ยิ่งล้มดังแค่นั้น” ซึ่งเป็นอะไรที่คิดว่าไม่น่าโดน เมื่อวันที่ต้องไปขึ้นศาล ศาลก็ยังไม่กล้าอ่านประโยคนี้เต็มปากด้วยซ้ำ เหมือนมีธงปักไว้แล้วว่า เมื่อโดนคดีมาตรา 112 โอกาสได้รับความเป็นธรรมก็ค่อนข้างน้อย เธอมองว่า มีโอกาสที่จะต้องเข้าเรือนจำเลยประมาณ 50% ส่วนความหวังที่จะไม่ต้องเข้าเรือนจำเลย คิดว่ามี แต่ริบหรี่มาก
จำคุก ม.112 ตี้-บิ๊ก-เบนจา คนละ 3 ปี จากม็อบ #ราษฎรยืนยันดันเพดาน ก่อนให้รอการลงโทษ
24 มีนาคม 2568 ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาจำคุก ตี้-วรรณวลี ธรรมสัตยา เบนจาอะปัญ และบิ๊ก- เกียรติชัย ตั้งพรพรรณ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 คนละสามปี ตี้และเบนจายังโดนโทษจำคุกเพิ่มอีกหนึ่งปีจากข้อหาฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ)จากการกิจกรรม “ราษฎรยืนยันดันเพดาน” เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2564 ทั้งนี้ศาลให้รอการลงโทษไว้ห้าปี
สำหรับบรรยากาศในวันพิพากษา เวลา 10.08 น. ผู้พิพากษาขึ้นบัลลังก์อ่านคำพิพากษาสรุปใจความได้ว่าจำเลยทั้งสามคนได้เข้าร่วมและกล่าวคำปราศรัยผ่านเครื่องขยายเสียงในการการชุมนุมเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2564 ที่บริเวณสกายวอล์คแยกปทุมวัน
ศาลระบุว่า คำปราศรัยของจำเลยทั้งสามเป็นการกล่าวถ้อยคำที่มีความเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลที่ห้า รัชกาลที่เจ็ด รัชกาลที่เก้า จนถึงรัชกาลที่สิบ พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน
ตี้ จำเลยที่หนึ่ง กล่าวคำปราศรัยในทำนองว่า ในอดีตที่มีการสู้รบ ประวัติศาสตร์มักระลึกถึงแต่พระมหากษัตริย์ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับราษฎรที่ล้มตายในการสู้รบเหล่านั้น ศาลเห็นว่าการกล่าวในลักษณะนี้ทำให้ประชาชนที่ฟังเข้าใจว่าพระมหากษัตริย์ทรงไม่นำทัพออกไปสู้รบ ในข้อเท็จจริงแล้วพระมหากษัตริย์ทรงนำกองทัพสู้รบปกป้องประเทศมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา จนถึงรัตนโกสินทร์ เมื่อมีการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นลักษณะการต่อสู้ทางไกลมากขึ้น จึงไม่มีการเข้าร่วมสู้รบซึ่งผู้นำกองทัพในประเทศอื่นก็ปฏิบัติในลักษณะนี้ ผนวกกับเมื่อคณะราษฎรได้เปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศ พระมหากษัตริย์ไทยก็ไม่ได้มีบทบาทในส่วนนี้แล้ว
ส่วนในประเด็นที่ตี้กล่าวถ้อยคำเชิงประชดประชันว่าคนที่ใส่เสื้อเหลืองจะมักลอยนวลพ้นผิด ศาลเห็นว่าการพูดในลักษณะนี้จะทำให้เข้าใจได้ว่ารัชกาลที่สิบทรงอยู่เหนือกฎหมายและมีอำนาจช่วยเหลือบริวารของตน
คำปราศรัยของบิ๊ก จำเลยที่สอง ในประเด็นว่ารัชกาลที่ห้าทรงเลิกทาสแล้วแต่ยังใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงราษฎร ไม่ให้ราษฎรเรียกร้องสิทธิของตนนั้น เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยาม ทำให้ประชาชนที่ฟังเข้าใจว่าพระมหากษัตริย์ทรงเอาเปรียบประชาชน นอกจากนี้ในส่วนของคำปราศรัยของบิ๊กในประเด็นการรัฐประหารและบทบาทของพระมหากษัตริย์ แม้ว่าจะเป็นการกล่าวถึงพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อนก็ย่อมส่งผลถึงพระมหากษัตริย์พระองค์ปัจจุบันด้วยเช่นกัน ศาลยังเห็นว่าคำปราศรัยในประเด็นการรัฐประหารเป็นการใส่ร้ายรัชกาลที่เก้าว่าทรงเห็นด้วยหรืออยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร
ส่วนคำปราศรัยของจำเลยที่สามซึ่งคือ เบนจา ในประเด็นที่ว่ามีการเปลี่ยนวันชาติจากวันเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นวันพ่อ ซึ่งคือ วันคล้ายวันพระราชสมภพของรัชกาลที่เก้าคือวันที่ 5 ธันวาคม นั้น ศาลเห็นว่าการจัดงานวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่เก้า ซึ่งรัฐบาลและประชาชนเป็นผู้จัด ไม่ใช่รัชกาลที่สิบ คำปราศรัยของเบนจาจึงเป็นการใส่ความต่อรัชกาลที่สิบที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดงานวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี
ศาลระบุว่าการพิจารณาคดีในลักษณะนี้จะไม่สามารถใช้เกณฑ์การพิจารณาคดีหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาได้ ต้องคำนึงถึง “สถานะอันเป็นที่สักการะละเมิดมิได้” ของพระมหากษัตริย์ และ “ความรู้สึก” ของประชาชนที่มีต่อพระมหากษัตริย์ด้วย รวมถึงรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 50 ยังกำหนดหน้าที่ของปวงชนชาวไทยที่จะต้องปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ประชาชนชาวไทยเคารพสักการะพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่โบราณ มาตรา 112 จึงครอบคลุมไปถึงพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อนด้วย ไม่ใช่แค่พระองค์ที่ครองราชย์อยู่เท่านั้น และมาตรา 112 นั้นอยู่ในหมวดความผิดต่อความมั่นคง การกระทำความผิดตามมาตรานี้จึงเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของประเทศอีกด้วย
การกล่าวคำปราศรัยของจำเลยทั้งสามเป็นการดูหมิ่น ใส่ความ ใส่ร้ายพระมหากษัตริย์ ทำให้ประชาชนรู้สึกเกลียดชังพระมหากษัตริย์ และทำให้พระมหากษัตริย์เสื่อมเสียพระเกียรติ รวมถึงการกล่าวถึงพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อน ไม่ว่าจะพระองค์ใดก็ตามในลักษณะที่ทำให้เสียหายก็ส่งผลกระทบต่อรัชกาลที่สิบในฐานะพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันด้วยเช่นกัน เพราะรัชกาลที่สิบทรงสืบเชื้อสายมาจากพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อน
จึงให้พิพากษาให้จำคุกจำเลยทั้งสาม ตามมาตรา 112 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทกษัตริย์ คนละสามปี
ปรับคนละ 200 บาท ในข้อหาใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 ส่วนในข้อหาที่ฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชกาลในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ให้จำคุกตี้และเบนจาคนละหนึ่งปี ปรับ 20,000 บาท
โดยสรุปแล้วตี้และเบนจาจะมีโทษรวมคนละสี่ปี และปรับ 20,200 บาท ส่วนบิ๊กจะมีเพียงโทษจำคุกสามปีและปรับ 200 บาท ก่อนที่ศาลจะระบุให้รอการลงโทษเนื่องจากขณะกระทำความผิด จำเลยยังอายุน้อยเพียง 20 ปีเศษ อาจทำไปด้วยความคึกคะนอง จำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีได้ โดยให้รอการลงโทษไว้ห้าปี อยู่ในความคุมประพฤติสองปี และรายงานต่อตัวเจ้าหน้าที่คุมประพฤติปีละสี่ครั้ง