ในวันที่ความศรัทธาทรยศ ขอ “โต้กลับ” กระบวนการยุติธรรมไทยด้วยการลี้ภัย

“หนูรู้สึกว่าหนูสู้ไม่ไหวแล้วหมายถึงในเรื่องของคดีเพราะว่าหนูเคยศรัทธามากๆ รู้สึกว่าตัวเองยังไงก็จะชนะแน่ๆ เพราะว่าเราไม่ได้ทำอะไร แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้ว สองศาลหนูก็แพ้มาสองศาล อย่างครั้งแรกก็ศาลดีล พอออกมาจากคุกรอบแรกก็มีคนโทรมาดีลเรื่องขออภัยโทษส่วนบุคคลอีก หนูก็บอกว่า ไม่ และเขาก็บอกว่า รู้อยู่ใช่ไหมว่าสู้ไปก็แพ้’ หนูก็เลยลองดูอีกสักตั้งนึงแล้วสรุปแล้วแพ้จริงๆ แล้วหนูรู้สึกว่าหนูไม่ไหวแล้ว มันไม่ใช่ที่ที่คนอย่างพวกหนูควรอยู่…สำหรับหนูสักวันก็ไม่น่าอยู่”

นิวส์-จตุพร แซ่อึง นักกิจกรรมทางการเมืองเล่าเรื่องทุกข์ด้วยแววตาสดใส มีชีวิตชีวากว่าที่เคยเป็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เธอถูกกล่าวหาในคดีมาตรา 112 จากการสวมชุดไทยเดินแฟชั่นในการชุมนุม “แคตวอล์คราษฎร” เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2563 ระหว่างการสู้คดีเธอยืนกรานว่า การกระทำดังกล่าวไม่เป็นความผิดตามมาตรา 112 แต่ในมุมของกระบวนการยุติธรรมไทยไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อทั้งศาลชั้นต้นและอุทธรณ์พิพากษาว่า เธอมีความผิดต้องโทษจำคุกสองปี 

ในวันที่ความศรัทธาทรยศ ขอ “โต้กลับ” กระบวนการยุติธรรมไทยด้วยการลี้ภัย
นิวส์ จตุพรระหว่างการเดินแฟชั่นในการชุมนุม “แคตวอล์กราษฎร” เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2563

สองปีเป็นเวลานานพอที่จะทำให้ชีวิต จิตใจและความสัมพันธ์ของคนๆ หนึ่งต้องแหลกสลาย และมันคือฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เธอตัดสินใจลี้ภัยทางการเมืองเพราะเป็นเพียงทางเลือกเดียวที่จะทำให้สามารถกลับมาหายใจ มีชีวิตและเดินตามฝันได้อีกครั้ง


จากเด็กบุรีรัมย์สู่นักเคลื่อนไหวทางการเมือง

นิวส์เกิดและเติบโตในครอบครัวธรรมดาที่จังหวัดบุรีรัมย์ “เมื่อก่อนพ่อแม่ไม่มีเงินเลย เพิ่งมาพอมีพอกินไม่นานนี้ ก็เป็นคนธรรมดาเลย ไม่มีความรู้ ไม่มีอะไรเลย เรียนบ้านนอก อยู่บ้านนอก แทบไม่รู้เลยว่ากรุงเทพฯ คืออะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเมืองคืออะไร” ความฝันของเธอคือการเป็นเชฟตั้งแต่อายุสิบขวบและจนถึงตอนนี้ก็ยังยึดความฝันนั้นอยู่ นิวส์บอกว่า “เป็นคนเกเรเรื่องเรียน ไม่ชอบเรียน ชอบทำงาน หนูเริ่มทำงานตั้งแต่ป. แต่ไม่ได้ทำเชฟนะ ทำอะไรที่ได้เงิน…ไม่อยากเรียน อยากทำงานหนูรู้สึกว่าหนูชอบเรื่องของประสบการณ์มากกว่า”

ต่อมานิวส์มีโอกาสได้ทำงานในร้านอาหารแต่ไม่ได้เป็นเชฟ มีหน้าที่ช่วยงานในครัว ซึ่งเธออาศัยโอกาสนี้เพื่อเรียนรู้งานเชฟจากการสังเกตและจดจำ “ส่วนใหญ่มืออาชีพเขาไม่ค่อยสอนกัน เราต้องจำเอง” จนวันหนึ่งเธอมีโอกาสทำอาหารเองเมื่อเชฟที่ร้านอาหารไม่มาทำงานกะทันหัน “หนูก็เลยต้องขึ้นมาทำให้เขาเอง โดยที่ใช้ความจำที่มีแหละว่า อันนี้คืออะไร ใส่ยังไง ปรุงยังไง” ต่อมาเธอเริ่มไต่ระดับไปทำงานตามโรงแรมและร้านเหล้า ซึ่งนิวส์บอกว่า ที่ทำงานทั้งสองแห่งให้ประสบการณ์ที่แตกต่างกันและช่วยพัฒนาทักษะด้านอาหารของเธอ

นิวส์เรียนจบเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่หก ก่อนที่จะกลับมาเรียนต่อการศึกษานอกระบบ (กศน.) ในภายหลัง “เพิ่งคิดจะมาเริ่มเรียน กศน. ก็ยังไม่นานนี้ จนได้ม.ปลาย เพราะคิดว่าวันนึงตัวเองอยากไปเรียนปริญญาเชฟต่อก็เลยต้องย้อนกลับไปเรียน กศน.” เธอจบมัธยมปลายในปี 2563

นิวส์เริ่มสนใจการเมืองในช่วงการเลือกตั้งปี 2562 แต่การเคลื่อนไหวทางการเมืองเริ่มต้นจริงหลังจากช่วงล็อกดาวน์ระหว่างการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อเห็นความเหลื่อมล้ำในการลงทะเบียนรับเงินเยียวยา 

“ลงทะเบียนเพื่อรับเงินเยียวยาแล้วประชาชน คนในจังหวัดก็แย่งกันลง บางคนไม่มีสมาร์ทโฟน… มันเหมือนพิธีชิงเปรต ต้องมาแย่งชิงกัน แล้วแบบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครลำบากจริงไม่จริง ทั้ง ๆ ที่แบบมันควรที่จะได้กันทุกคน” 

นอกจากนี้เธอยังรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมเรื่องค่าแรงขั้นต่ำในจังหวัดบุรีรัมย์ที่แรงงานได้รับวันละ 250 บาท ยังไม่ถึงค่าแรงขั้นต่ำที่ 300 บาท รวมถึงปัญหาเรื่องวัคซีนโควิด-19 ที่ล่าช้าและไม่มีประสิทธิภาพ

สถานการณ์โควิด-19 ยังส่งผลต่อการจ้างงาน นิวส์บอกว่า เขา[นายจ้าง]จะคัดคนที่มีประโยชน์น้อยที่สุดออกก่อนแล้วตอนนั้นหันไป กำลังนั่งประชุมกันอยู่หันไปเจอเพื่อนร่วมงานที่ท้องแล้วมีลูกสองคน ภาระมี รถต้องผ่อน ลูกต้องเรียน ค่าเทอมลูกต้องจ่าย หนูเลยสมัครใจลาออกเพื่อให้เขาทำงานต่อ เพราะตัวเองตอนนั้นไม่ได้มีภาระอะไร” สิ่งเหล่านี้ทำให้นิวส์ตัดสินใจลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวและตั้งกลุ่ม “บุรีรัมย์ปลดแอก” ให้เหตุผลว่า “รอคนนำไม่ไหวก็เลยกลายเป็นผู้นำแทน” 

นิวส์เป็นคนพูดไม่เก่งจึงทำงานเบื้องหลังและงานสนับสนุนเป็นหลัก การได้ฟังคนปราศรัยทำให้เธอได้เรียนรู้และตระหนักว่า ต้องเรียนรู้อีกมาก “อย่างที่บอกว่าหนูเป็นฝ่ายหลัง [ฝ่ายสนับสนุนหมดเลย หนูก็ทำหน้าที่แค่ส่วนใหญ่ประสานงานตามกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ให้มาช่วยปราศรัยอะไรอย่างนี้มากกว่า แล้วพอได้รับฟังจากคนอื่นปราศรัย รู้สึกว่ามีคนที่เก่งอีกเยอะ เราก็ต้องไปเรียนรู้จากเขาแล้วเรียนรู้อะไรอีกมุมหนึ่งที่เราไม่เคยรู้เลย อันนั้นก็เป็นก้าวแรกที่ยากสำหรับหนูเหมือนกันที่ก้าวเข้ามา


การคุกคาม การโยกย้ายและบทบาทการ์ดในม็อบ

หลังการจัดชุมนุมในพื้นที่การเมืองแบบ “บ้านใหญ่” ของจังหวัดบุรีรัมย์นำมาสู่การคุกคาม “เด็กในกลุ่มโดนเรียกไปแล้วก็ตัวหนูเองโดนแบบคุกคามจากคนในจังหวัด จากพวกนักการเมืองนี่แหละ” นิวส์เล่าว่า “น้องในทีมโดนเรียกไป พูดประมาณว่า ทำผังมาเลย สิ่งที่ทำคือการล้มเจ้านะ แล้วเนี่ยทำอย่างนี้รู้ไหมพ่อแม่จะลำบาก” กรณีของนิวส์นั้นการคุกคามไม่ได้มาจากตำรวจโดยตรง แต่มาจากผู้นำชุมชนคือ  นักการเมืองท้องถิ่นจะไปบอกผู้นำชุมชน เช่น ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน จากนั้นผู้นำชุมชนก็จะโทรมากดดันนิวส์อีกรอบ 

ตัวนิวส์เองไม่ได้ถูกคุกคามหนักเท่านักกิจกรรมเยาวชนในกลุ่ม “ตัวหนูไม่โดนหนักเท่าน้องๆ เพราะว่าหนูรู้สึกว่าหนูโตสุดในกลุ่มแล้วเขาไม่ค่อยกล้ายุ่ง” แต่การคุกคามก็ส่งให้การเคลื่อนไหวของกลุ่ม “บุรีรัมย์ปลดแอก” อ่อนแอลงเพราะ “เด็กมันมีความกลัวกัน กลัวพ่อแม่เดือดร้อน กลัวทำคนรอบข้างเดือดร้อน ก็หยุดเคลื่อนไหวกันไปพักนึง”

“เพราะรู้สึกว่าในจังหวัดมันเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้เลย” ทำให้นิวส์ตัดสินใจโยกย้ายติดตามโตโต้-ปิยรัฐ จงเทพ ผู้ก่อตั้งกลุ่มมวลชนอาสา  (We Volunteer-WeVo) มาที่กรุงเทพฯ เธอเคยรู้จักกับโตโต้ผ่านการเชิญมาปราศรัยในจังหวัดบุรีรัมย์ “หนูก็เลยระหกระเหินตามเขาไป เพราะรู้สึกว่า อยากร่วมตรงนี้ด้วย แล้วแบบฉันไม่สามารถพูดได้ พูดไม่เก่ง ฉันไม่มีความรู้ งั้นฉันไปทำอะไรก็ได้ เป็นคนตัวเล็กตัวน้อย เป็นฟันเฟือง เป็นน็อต เป็นอะไรก็ได้ในม็อบ ก็เลยเป็นการ์ด”

“งานแรกเลยที่หนูเริ่มไปเป็นการ์ดคือ 19 กันยาฯ…ทำไปตามหน้างาน คอยดูแล…หัดใช้ว.[วิทยุสื่อสาร]แล้วต้องคอย รายงานสถานการณ์คือไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย มันเป็นความสนุกที่แบบมันมีความสุขมากวันนั้น เป็นการ์ดที่ยืนดูคนอื่นปราศรัยแล้วรู้สึกว่าเฮ้ย คนพวกนี้แม่งเก่งจังว่ะ เฮ้ย คนพวกนี้คือความหวังของเราแล้ว…” หลังย้ายเข้ามาพักที่บ้าน Wevo นิวส์ยังได้ใช้ความสามารถในการทำอาหารดูแลเพื่อน ๆ ในกลุ่ม “ก็ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยรับอาสาทำกับข้าว ทำงานบ้าน มันมีทั้งความสนุกทั้งความแบบน่ากลัวอะไรทุกอย่างมันเกิดขึ้นในนั้นเลย บางวันตำรวจมาล้อมจับโตโต้…”


คดี 112 กับชีวิตพลิกผันจำใจต้องหันหลังให้ครอบครัว

จุดเปลี่ยนในชีวิตของนิวส์เกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2563 เมื่อเธอถูกวริษนันท์ ศรีบวรธนกิตติ์ แอดมินเพจเฟซบุ๊ก “เชียร์ลุง” แจ้งความดำเนินคดีมาตรา 112 จากการแต่งชุดไทยในการชุมนุม “แคตวอล์คราษฎร” เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2563 กล่าวหาทำนองว่า เธอล้อเลียนพระราชินี 

ก่อนหน้านี้นิวส์ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะถูกกล่าวหาคดีมาตรา 112 หนูคิดว่าอาจจะเป็นพวกคดีชุมนุมทั่วไป คิดว่าคนที่จะโดนคดีส่วนใหญ่ ต้อง 116 ก่อนอันดับแรกนะ… หรือไม่ก็ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ทั่วไป แต่หนูเหมือนก้าวขึ้นลิฟต์เลย เพราะว่าคดีแรกของหนูมันคือ 112” นิวส์เล่าด้วยว่า รู้ว่าตัวเองถูกดำเนินคดีแบบไม่ทันตั้งตัว “ตอนนั้นกำลังเป็นการ์ดในงาน 10 ธันวา 63 งงมากกว่า เพราะว่า มันมีคนโพสต์ว่า เนี่ยคนที่แต่งตัวเป็นเจ้าคุณพระโดน 112 หรอ” เธอไม่รู้ว่าเป็นตัวเองจนกระทั่งแชทถามเจ้าของโพสต์ “เขาก็บอกว่า อ้าว นี่ไม่ใช่ชื่อเธอเหรอ? พอดีเหมือนฝั่งของสายน้ำได้รับหมายก่อนหนู เขาก็เลยถ่ายลงในทวิตเตอร์”

นิวส์ จตุพรรายงานตัวในคดีมาตรา 112 ที่สน.ยานนาวาเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2563

หลังตกเป็นผู้ต้องหาคดีโทษหนักอย่างมาตรา 112 แล้ว นิวส์ตัดสินใจบอกกับครอบครัว “แม่ตกใจ ครอบครัวตกใจ พ่อด่า พ่อไม่ได้เห็นด้วยอยู่แล้วแต่แม่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะแม่ร้องไห้ หนูก็เลยใช้วิธีการไม่ติดต่อเขา ไม่คุยเลยตัดขาดพ่อแม่ไปเลยช่วงหนึ่ง เพราะว่าไม่อยากให้เขามาลำบากด้วย” ก่อนตัดขาดการติดต่อเธออธิบายเหตุผล “พิมพ์ทิ้งท้ายไปและไม่ติดต่อเขาไปอีกเลย แต่เขาก็มีความเป็นห่วงแหละ เขาก็จะไปแอบถามคนนู้นคนนี้ เราก็รู้แต่เราก็ให้บอกว่าเราสบายดี…มานั่งคิดว่า จะเอายังไงต่อกับชีวิตดี มันกลัวมาก มันกลัวมากเลยคดีนี้ตอนนั้นน่ะ”

แม้จะกลัวแต่เธอก็ตัดสินใจสู้คดี “สุดท้ายก็ตกผลึกกับตัวเองว่า ลองสู้ดูเพราะคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด ยันมาตลอดว่า ไม่ผิด พยายามสู้แบบยืนยันความบริสุทธิ์ตัวเองในชั้นศาล ก็ถูกกล่อมให้รับสารภาพ ก็ยังยืนยันว่าไม่สารภาพเพราะว่าไม่ผิด” นิวส์ยืนยันว่าเธอไม่ได้เลียนแบบราชินี “ตัวหนูถ้าให้หนูพูดจริงๆ ณ วันนี้นะ หนูก็ยังบอกตัวเองว่าหนูไม่ได้เลียนแบบราชินี… ต่อให้เลียนแบบนะ หนูว่ามันก็ไม่สมควรเป็นความผิด” นิวส์มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลเสียต่อสถาบันกษัตริย์ “ทุกคนที่ตะโกน พระราชินีสวยมาก พระราชินีเข้าถึงประชาชน หนูว่า มันเป็นผลบวกต่อสถาบันฯ ด้วยซ้ำ ทั้งที่ตอนนั้นมันกำลังมีการประท้วงแบบนี้ มันไม่มีใครมาด่าเลย”

“อยากด่าคนแจ้งความเพราะว่ามันxxx หนูพูดแรงไปอีก และคือเจอหน้ากัน [เขาพูดว่า] พี่ไม่อยากทำลายอนาคตน้อง เจอกันในชั้นศาล เขาเป็นโจทก์ที่แบบจะเรียกว่า เป็นโจทก์ไหมก็ไม่รู้ว่า ไปเดือดร้อนอะไรแทนคนอื่นเขา รู้จักกันไหมก็ไม่รู้ โกรธเกลียดกันมาก่อนไหมก็ไม่ แล้วก็มาถึงก็แบบทำมาพูดดี สำหรับเรา เรารู้สึกว่าเขาทำลายชีวิตเราทั้งชีวิต แล้วมึงไม่จำเป็นต้องพูดดีกับกูก็ได้ มึงแสดงตัวตนออกมาเลย แม้กระทั่งวันที่หนูลี้ภัยแล้วเปิดตัวก็ยังทักมา บอกว่า พี่แบบไม่ได้อยากทำลายอนาคตน้องนะ…พี่ไม่ได้อยากเห็นน้องแบบอย่างนี้ มันดูxxx แต่หนูก็เลยแบบพยายามตอบกลับไปดีด้วย…หนูพิมพ์ไปเลยนะว่า หนูขอสาปแช่งให้มันพลัดพรากจากคนที่มันรักเหมือนที่หนูเป็น”

ภาระทางคดี อาการซึมเศร้าและค่าหัวราคา 5,000 บาท

เส้นทางการต่อสู้คดีของนิวส์ยาวนานกว่าสี่ปีเต็มไปด้วยความยากลำบาก หลังจากถูกดำเนินคดีมาตรา 112 จากการแต่งชุดไทยเรื่องราวของเธอเป็นข่าวดังจนเป็นผลให้นายจ้างรู้ว่า เธอเป็นจำเลยคดีมาตรา 112 และส่งผลให้เธอต้องออกจากงานอย่างจำใจ “หนูไม่รู้หรอกนะว่าสิ่งที่เขาพูดมันคือการไล่ออกไหม แต่เขา[นายจ้าง]บอกว่า ให้ไปจัดการตัวเอง แล้วเขาก็ยื่นเงินให้ เงินเดือนของเดือนนั้น แล้วหนูก็ไม่มีงานทำเลยหลังจากนั้น ก็พยายามเป็นสมัครที่อื่นหลายที่เหมือนกันก็ถูกปฏิเสธ”  ในชั้นอัยการเธอถูกเลื่อนฟังคำสั่งฟ้องหลายครั้ง การเลื่อนแต่ละครั้งเธอต้องเดินทางไป-กลับจากบุรีรัมย์เป็นระยะทาง 800 กิโลเมตรเพื่อเซ็นเอกสาร จนกระทั่งอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องคดีในวันที่ 15 กรกฎาคม 2564

นิวส์ จตุพรรายงานตัวในคดีมาตรา 112 จากการสวมชุดไทยในการชุมนุม “แคตวอล์กราษฎร” เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2563

เพียงแค่คดีมาตรา 112 คดีเดียวก็สร้างภาระและความยุ่งยากในชีวิตมากแล้ว แต่นิวส์ยังมีคดีอื่นๆ อีกห้าคดีต้องเดินทางไปสู้ในหลายจังหวัด “ขอนแก่นหนึ่ง บุรีรัมย์สอง กรุงเทพฯ สาม แล้วในหนึ่งเดือนหนูต้องเดินทางสามจังหวัดเพื่อสู้คดี ซึ่งเป็นความยากที่สุดเลยในชีวิตหนู แล้วตอนนั้นเราไม่ได้แบบรู้เรื่องกองทุน [ให้ความช่วยเหลือจำเลยคดีการเมือง]…เราใช้เงินในการขายเสื้อเดินทาง…วันนี้คดีที่นี่ วันถัดมาต้องไปขอนแก่นอีก หนูก็ต้องซื้อตั๋วเครื่องบินบินมาขอนแก่นและบินกลับเย็นนั้นกลับกรุงเทพฯ คือมันสร้างภาระมากๆ เลย”

ระหว่างการต่อสู้คดี นิวส์เริ่มป่วยเป็นโรคซึมเศร้าอันเป็นผลจากคอมเมนท์และการกระทำของผู้ไม่เห็นด้วยและฝ่ายปกป้องสถาบันกษัตริย์ฯ 

“ต้นปี ‘64 ไปออกวอยซ์ทีวี พอคลิปปล่อยมาแค่นั้นแหละคนแชร์ ประมาณ 20,000 คอมเมนท์ก็ 20,000 ด่าซะส่วนใหญ่ แล้วหนูก็ถูกคุกคามด้วยนะ ตัดรูปพ่อแม่หนูใส่ในโลงศพและส่งมาหาหนูในกล่องข้อความมีแต่ด่าๆๆๆๆ จะเอาชีวิตจนต้องปิดเฟซฯหนี หนูเสพข่าวจนนอนไม่หลับ กินไม่ได้แล้วที่หนักที่สุดคือไปเที่ยวสำเพ็งแล้วเจอเสื้อเหลืองวิ่งใส่ หนูต้องไปหลบในห้องน้ำให้เพื่อนกันออก หนูกลัวการออกไปใช้ชีวิตเพราะว่าถูกตั้งค่าหัว หนูเลยป่วยเลย นอนไม่ได้เลย จากคนเคยสดใสแบบเมื่อก่อนหนูสดใสกว่านี้เยอะเลย ตอนที่ยังไม่ป่วย” 

เธออธิบายการตั้งค่าหัวว่า มีกลุ่มปกป้องสถาบันกษัตริย์เผยแพร่ที่อยู่ของเธอและตั้งค่าหัวเธอไว้ 5,000 บาทหากทำร้ายร่างกายเธอได้  

“ถ้าให้หนูมองย้อนระหว่างคนที่แต่งชุดไทยแล้วมีคนตะโกนว่า ทรงพระเจริญ แต่กับอีกคนที่อ้างว่าจงรักภักดีแล้วมาตั้งค่าหัวไล่ทำร้ายคนอื่น บังคับให้คนอื่นรักแบบเนี่ยอันไหนที่มันดูแย่กว่ากัน”

นอกจากนี้การถูกดำเนินคดีการเมืองเป็นผลให้เธอถูกคุกคามและจับตาจากเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเข้มงวด โดยการคุกคามยังเกินเลยไปยังครอบครัวของแฟน มีการพูดทำนองว่า อย่าคบหากับเธอเพราะว่า เธอเป็นพวกล้มเจ้า ครั้งหนึ่งพระเทพฯ มีหมายกำหนดการเสด็จที่จังหวัดกาฬสินธุ์ นิวส์ยืนยันว่า ไม่มีความคิดจะไปยุ่งกับเกี่ยวกับขบวนเสด็จ รวมทั้งในวันดังกล่าวนิวส์ต้องขับรถพาแฟนและน้องสาววัยแปดขวบของแฟนไปรับทุนการศึกษา เมื่อถึงโรงเรียนตำรวจเข้ามาล้อมรถและพยายามจะพานิวส์เข้าไปคุยในห้องที่ลับตาคน เธอยืนยันว่า หากต้องการคุยให้กลับไปคุยที่บ้านแฟน ท้ายที่สุดตำรวจยอม 

“หนูรู้สึกว่าเขา [ตำรวจทำไม่ถูกเพราะ ว่าเด็ก [น้องแฟน] มันจะให้ความรู้สึกแบบไหน คนจะมองน้องแฟนหนูยังไง แล้วคนจะมองครอบครัวแฟนหนูยังไง เพราะว่า เขาไม่รู้หรอกว่า หนูไปทำอะไรมาแต่ถ้าส่วนใหญ่คนก็คิดว่า ไม่เรื่องยาก็ต้องทำอะไรมาไม่ใช่เรื่องชุดไทย สุดท้ายแล้วก็มาคุย คุยเสร็จ วันนั้นตามติดหนูทั้งวันเลย หนูก็ส่งคลิปไปให้คนที่เคลื่อนไหวในกาฬสินธุ์เขาโพสต์ วันถัด [ตำรวจ]ซื้อกระเช้ามาขอโทษหนูแล้วบอกให้หนูลบโพสต์ หนูไม่ลบ หนูว่าสิ่งที่เขาทำมันก็แรงเกินไปสำหรับหนู หนูไม่ได้ทำอะไรเลย”


ความไม่จำนนกับคืนวันในเรือนจำที่ลดทอนความเป็นมนุษย์

นิวส์เล่าถึงประสบการณ์ในชั้นศาลที่เธอรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ศาลเคยกล่อมให้รับสารภาพแทนการสู้คดี “มากล่อมให้เรารับสารภาพ พอเราไม่รับสารภาพเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นตีน จากพูดกล่อม พอเรายันว่าเราจะสู้ อะไรที่เป็นประโยชน์กับฝั่งเราเขาแทบจะไม่บันทึก ไม่จดเลย แล้วพอทนายเราถามค้านก็เรียกทนายเราไปด่าบอกว่า ผมรู้ว่าคุณร้อนวิชา…ซึ่งหนูว่า มันแย่ มันไม่แฟร์สำหรับหนูเลย ทั้ง ๆ ที่หนูพยายามต่อสู้มาตลอด หนูหาหลักฐานมาตลอด” แม้จะสู้แต่ลึกๆ เธอรู้ดีว่า ผลคำพิพากษาเป็นอย่างไร 

“หนูรู้ตั้งแต่วันสืบพยานแล้วว่ายังไงตัวเองก็แพ้เพราะว่า ศาลพูดกับหนูว่า หลังจากนี้[การตัดสินใจไม่รับสารภาพ]คำพิพากษาจะออกมายังไง จำเลยเป็นคนเลือกเองนะ”

12 กันยายน 2565 ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษา ญาติพี่น้องของนิวส์เดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อให้กำลังใจ แต่ศาลไม่อนุญาตให้เข้าฟัง “ญาติพี่น้องมาจากบุรีรัมย์ ศาลพิจารณาลับไม่ให้ใครเข้าเลย ยกเว้นทนายและราชทัณฑ์ หนูยกมือแถลงขอให้ญาติเข้าเขาก็ไม่ให้เข้า ทั้ง ๆ ที่ห้องมันใหญ่มากเลยนะ จะมาอ้างโควิดก็ทุกคนก็ใส่แมสก์” หลังจากอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น นิวส์ถูกคุมตัวไปเรือนจำเพื่อรอคำสั่งประกันตัว “พอพิพากษาปั๊บ หนูใส่ชุดไทยไปใช่ไหม ต้องถอด[เครื่องประดับ]หมดทุกอย่างยกเว้นชุดไทย พวกของมีค่าให้แฟนแล้วก็เดินออกมาแค่จะขอกอดพี่สาวตัวเอง เขายังไม่ให้เลย ลงไปใต้ถุนศาล เพื่อนมาตะโกนคุยด้วยก็โดนผู้คุมด่าอีก”

“แล้วก็สุดท้ายก็ถูกเอาตัวออกไปโดยกระบวนการที่มันไม่ปกติ ปกติแล้วคนเราถ้าไปเรือนจำก็คือต้องนั่งรถไปพร้อมผู้ต้องหาคนอื่นตอนเย็นที่เขามาออกศาลคดีอื่นๆ แต่ของหนูถูกนำตัวไปโดยแอมบูแลนซ์ [รถพยาบาลโดยไม่แจ้งใครเลยว่า เอาไป ขี่ย้อนศรขึ้นทางด่วนไปเลยแล้วคนที่มารอฟังเขาไม่ได้ส่งเราด้วยซ้ำ”

ชีวิตในเรือนจำทำให้เธอรู้สึกถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ “หนูรู้สึกว่า มันไม่ควรเข้ามา…หนูเข้าไปท่ามกลางในห้องที่หนูนอน คดีขนยาสามแสนเม็ดบ้าง โกงเงิน 42 ล้าน ในขณะที่ทุกคนหันมาถามว่าหนูว่า หนูทำอะไรมา หนูบอกว่าหนูแต่งชุดไทยเขาก็งง” การเปรียบเทียบคดีเสรีภาพของเธอกับคดีอาญาของผู้ต้องขังคนอื่นๆ “มันก็เลยทำให้หนูรู้สึกว่า แล้วกูเข้ามาอยู่ทำไมในจุด ๆ นี้วะ ทำไมฉันต้องมาอยู่ตรงนี้ แล้วรู้สึกถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ หนูนอนไม่หลับเลย มันรู้สึกถึงความไม่เป็นส่วนตัวด้วย”

แต่ก็มีความโชคดีที่เธอได้รับการประกันตัวในสองวันถัดมา “วันแรกที่ทนายมาเยี่ยม ทนายแบบให้ดูเลยว่าข่าวมันดังมากดังแบบดังมากๆ เลย หนูก็เลยมีความหวังว่าตัวเองจะได้ออก 50:50 แล้ววันถัดมาก็ได้ประกัน ก่อนที่จะได้ประกันทนายโทรมา คอนเฟอเรนซ์มาคุยกันแบบวิดีโอเยี่ยม คืนนี้จะนอนไหนหนูก็เลยตอบกลับว่า ก็น่าจะนอนเรือนนอนที่เดิมนะคะ ทนายก็บอกว่า ไม่ต้องแล้วกลับบ้าน หนูร้องไห้เลย หนูร้องไห้แบบเออ กูจะได้กลับบ้านแล้ว ห่วงแฟน ห่วงแม่ห่วงทุกอย่าง”


เมื่อคำพิพากษาบังคับให้ต้องเลือกระหว่างเรือนจำและการลี้ภัย

ชีวิตในเรือนจำยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของนิวส์ “พอออกมาก็ตัวเหลืองตัวซีด เพราะว่า ไม่มีน้ำกิน กินน้ำก๊อกแล้วรสชาติมันก็แบบไม่ได้ดีแล้วก็ออกมามีผื่นเพราะว่าเราอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม แคบ ๆ เป็นห้องขัง…เสื้อผ้าที่เราซักมันไม่ได้โดนแดด แล้วพอใส่มันอับชื้นมันก็ทำให้แบบเป็นผื่นตามตัว หนูก็เลยออกมาก็เข้าโรงพยาบาลไป” ระหว่างที่อยู่โรงพยาบาลนิวส์ได้รับโทรศัพท์จากคน ๆ หนึ่งบอกว่า “น้องรู้ไหมว่า น้องกับสถาบันฯ เข้าใจกันผิดไปใหญ่แล้วพี่คิดว่า น้องน่าจะเป็นคนคุยง่ายเลย พี่เลยจะมายื่นข้อเสนอให้ว่า ถ้าขออภัยโทษส่วนบุคคลนะ น้องจะไม่มีคดีนะ ถ้าน้องยินยอมจะให้ทำก็จะแบบช่วย” แม้จะเป็นทางออกที่ง่ายกว่า แต่นิวส์ยังคงยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง “แต่หนูก็ปฏิเสธเขาไปเหมือนเดิม ปฏิเสธเหมือนชั้นศาลเลยว่า หนูไม่ผิดแล้วทำไมหนูต้องทำ พี่อาจจะคิดว่าหนูคุยง่ายนะ แต่ถ้าหนูรู้สึกว่า หนูไม่ผิด หนูก็จะไม่ทำ”

นิวส์บอกว่า ระหว่างการรอคำพิพากษาในศาลสูงเป็นสภาวะไม่แน่นอนและไม่สามารถวางแผนอนาคตได้“แล้วทีนี้มันก็ใช้ระยะเวลานานมากเลยไปยื่นอุทธรณ์ก็เป็นปีกว่าๆ แล้วในระหว่างนั้นชีวิตหนูไม่กล้าทำอะไรเลย คือเราไม่รู้เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น อยากเปิดร้านอาหารเพราะว่ามันไม่สามารถหางานได้แล้ว อยากเรียน สองช้อยส์นี้มันเข้ามาในหัวเลย…จนหนูได้รู้จักคนๆ หนึ่ง เขาพาหนูก้าวข้ามผ่านความกลัวนี้ไปเขาบอกว่าเปิดไปเลยร้านอาหาร หนูเปิดร้านอาหารเสร็จเขาสนับสนุนให้หนูเรียน หนูไปสมัครเรียน… แล้วหนูโพสต์ว่า หนูสมัครเรียนแล้วนะ” แต่ไม่นานหลังจากนั้น เธอก็พบว่ามีการนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันที่ 19 สิงหาคม 2567

“ความฝันหนูพังทลายเลย…ชีวิตกำลังไปได้ กำลังเปิดร้าน กำลังจะได้เรียนได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบเหมือนหนูถูกลากลง…เหมือนชีวิตมันกำลังไปแล้วถูกลากลงมาเหยียบ ไม่พอแล้วมันคือวันเกิดแม่หนู”

“พอมันผ่านพ้นตรงนั้นไปมันเป็นความเศร้า เศร้าที่สุดแล้ว หนูดิ่งมากๆ ตอนนั้น วันที่ 10 สิงหาฯ พ่อป่วยเข้าไอซียู มันประเดประดังเข้ามาหมดเลยตอนนั้น พ่อเข้าไอซียูไม่ได้สติ หนูก็กลับมาดูแลพ่อพักนึงแล้วก็กลับมาขึ้นศาลฟังคำพิพากษา แล้วก็รู้ว่าตัวเองต้องเข้า [เรือนจำแหละ แล้วก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะได้ประกัน ไม่ได้คิดเลยว่าจะได้ออกมาอีกแล้ว…ช่วงนั้นทนายน่าจะไม่ว่างคดีเยอะไม่ได้เข้าเยี่ยม ไม่ได้รับรู้ข่าวสารอะไรทั้งนั้นเลย แล้วแฟนซื้อชุดสีฟ้าให้แล้วหนูเข้าใจว่า ชุดสีฟ้าคือชุดเด็ดขาดแล้ว จนสุดท้ายเขามาเรียกว่า ให้กลับบ้านนะ”

นิวส์ จตุพรถูกคุมตัวไปที่ทัณฑสถานหญิงกลางหลังศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา
นิวส์ จตุพรได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวหลังจากศาลฎีกามีคำสั่งให้ประกันตัว  เครดิตภาพ : แมวส้ม

ศาลฎีกาให้ประกันตัวนิวส์ในอีกสองวันถัดมา อิสรภาพชั่วคราวครั้งที่สองทำให้เขาตัดสินใจโยกย้ายอีกครั้ง 

“ฟางเส้นสุดท้ายของหนูก็คือวันนั้นแหละออกมาจากเรือนจำ…มันส่งผลให้หนูป่วยด้วยหนูกลัว ทุกครั้งที่หนูต้องแบบนึกถึงเรือนจำ หนูนอนไม่ได้ร้องไห้ใจสั่น เป็นจนถึงทุกวันนี้ หนูยังต้องกินยานอนหลับอยู่ทุกวัน

…เวลาที่ถูกถามว่า ไม่ผิดแล้วหนีทำไมอ่ะ หนูอยากให้เขามองว่า กฎหมายบ้านเรามันเอื้อให้พวกหนูต่อสู้แบบยุติธรรมไหม? แค่นั้นแหละ เพราะว่าหนูในฐานะจำเลย…หนูรู้สึกว่าหนูไม่เคยได้รับความยุติธรรมในกระบวนการใดๆ ทั้งนั้นเลย”

การลาจากครอบครัวและการเลือกชีวิตใหม่ด้วยการ “ลี้ภัย”

การตัดสินใจลี้ภัยของนิวส์เต็มไปด้วยความลำบากใจ นิวส์เลือกโกหกครอบครัว “หนูโกหก[แม่]ว่า หนูขอยืมเงินหน่อยหนูจะไปเรียน แล้วก็บอกแม่ว่าไปเรียน แล้วแม่หนูก็ไปบนหัวหมูว่าถ้าหนูได้ไปเรียนตามที่หนูฝันไว้ แม่จะแก้บนหัวหมู 13 หัว” เธอต้องจากแฟนที่อยู่ด้วยกันมาเก้าปี “อยู่ด้วยกันมาเก้าปี เขาอยู่ข้างหนูมาตลอด และผลักดันมาตลอด หนูอยากให้เขามาด้วย” วันสุดท้ายที่ได้เจอกันเป็นเพียงการบอกลาสั้นๆ

ชีวิตในประเทศที่สองไม่ใช่เรื่องง่าย นิวส์ต้องเผชิญกับความยากลำบาก “แล้วก็เป็นความยากที่ประเทศที่สอง อยู่ในห้องคนเดียว เราป่วยเป็นซึมเศร้า กินไม่ได้นอนไม่หลับ อยู่กับความหวาดระแวงไปหมดทุกอย่างคิดถึงแฟน โฮมซิก” แต่เธอก็พยายามปลอบใจตัวเอง “พอเวลาที่เราเศร้าแล้วก็จะรู้สึกว่า เออ มันดีกว่าติดคุก ทนอีกนิด ทนอีกนิดเดี๋ยวมันก็ได้ไปถึง มันไม่ต้องไปติดคุก ไม่ต้องมาเสียเวลาในคุกสองปี หนึ่งปีหนูอาจจะเริ่มได้ภาษา หนูอาจจะเริ่มมีงานทำ อาจจะได้เจอแฟน”

นิวส์ไม่ได้มีเงินติดตัวไปมากทำให้ต้องใช้อย่างจำกัดจำเขี่ย 

“หนูมีเงินน้อย หนูใช้ค่ากินเดือนละสี่พัน หนูกินกล้วยลูกนึง ส้มลูกนึง นม แล้วหนูนอนร้องไห้เพราะหนูกินไม่อิ่ม แล้วพออารมณ์คนเราพอมันกินไม่อิ่มมันไม่มีกำลังใจจะไปทำอะไรเลยหนูผอมลงแบบผอมมากๆ เลย หนูเพิ่งกลับมาอ้วนขึ้นหน่อยนะเรียกว่าอ้วนไหมก็ไม่หรอก แต่มันก็ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะมาถึงนี่หนูกินดะเลย”

แม้จะมีความยากลำบาก แต่นิวส์ก็ยืนยันว่าการลี้ภัยเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการติดคุก “ถ้าตัวเองรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้วสู้ไม่ไหว อยากให้ออกมาเถอะ หนูแค่รู้สึกว่ามันคือการมาเริ่มต้นชีวิตใหม่มันดีกว่าการติดคุกแล้วมันมาในที่ที่มันมีโอกาสมากกว่าประเทศไทย” หลังได้รับการตอบรับจากประเทศแคนาดา เธอออกเดินทางและอาหารบนเครื่องบินกลายเป็นมื้อที่ดีที่สุดหลังออกจากประเทศไทย 

“ตอนที่หนูขึ้นเครื่องก้าวออกจากประเทศที่สอง ขึ้นเครื่องแล้วได้กินข้าวมื้อแรกบนเครื่องบิน หนูร้องไห้ มันคือข้าวที่หนูรู้สึกว่า หนูกินได้อย่างสบายใจแล้ว หนูไม่ต้องไปติดอยู่ตรงนั้นแล้ว มันคือความอร่อยแบบมันไม่รู้ว่าทำไมมันถึงอร่อยได้ขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นอาหารต่างชาติ มันไม่ใช่อาหารที่เราชอบด้วยซ้ำหนูกินไม่หยุดเลย”

เมื่อมาถึงประเทศแคนาดาเธอโพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับการลี้ภัยทำให้มีสื่อรายงานข่าว แม่ของเธอก็ทราบว่า เธอลี้ภัยจากข่าวดังกล่าวแต่ไม่ได้ต่อว่าอะไรและยินดีที่เธอได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ “แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แม่ก็บอกว่า ทำไมไม่บอกตรงๆ ดีแล้วแหละที่ไป...ถ้าไม่ออกข่าวก็คือไม่รู้ ยังคิดว่า ลูกยังเรียนต่ออยู่ อยากขอโทษแม่ หนูอยากขอโทษมากเลย แต่ก็ขอโทษไปแล้วแหละแต่นางก็โอเค  ล่าสุดก็เหมือนมี[เจ้าหน้าที่รัฐ]ไปที่ทำงานแม่เหมือนกันก็เอารูปหนูเอาบัตรประชาชนไปถามกับคนอื่น แต่ตำรวจไม่เจอแม่หนูเพราะแม่หนูไม่อยู่…หนูไม่เข้าใจว่า เขาไปถามทำไม หนูโพสต์ก็น่าจะรู้ว่าหนูไม่ได้อยู่ประเทศไทยแล้ว…”

นิวส์-จตุพร ระหว่างวิดีโอคอลพูดคุยกับแฟน เธอระบุว่า เป็นกำลังใจระหว่างการเปลี่ยนผ่านสู่ชีวิตใหม่

ปรับตัวกับชีวิตบทใหม่ ความท้าทายแบบใหม่บนแผ่นดินเสรีภาพ

“อากาศเลยหนึ่งหนาว แล้วก็เรื่องวัฒนธรรม แล้วก็เรื่องภาษา เรื่องการเดินทาง แต่สำหรับหนูที่ยากที่สุดคือเรื่องภาษา รองลงมาคือหาบ้าน บ้านเช่า แล้วก็หางาน” นิวส์ไล่เรียงความท้าทายที่ต้องเผชิญหลังเดินทางมาถึงประเทศแคนาดา นิวส์ยอมรับว่า เมื่อมาถึงประเทศใหม่เธอเผชิญกับความกลัวและความกังวลหลายประการ “กลัว [เน้นเสียง] มันเริ่มต้นชีวิตใหม่เลย ก้าวใหม่เลย ฉันจะอยู่ได้ไหมวะ อากาศ ภาษา งาน จนตอนนี้ก็ยังกลัวนะ แต่แค่มันต้องไปต่อ” อย่างไรก็ตามเธอย้ำว่า การลี้ภัยคือหนทางที่ดีที่สุดที่เหลืออยู่ของเธอ 

“เราแค่รู้สึกว่า เราโชคดีแล้ว ดีกว่าติดคุก ติดคุกหนูว่ายิ่งติด หนูคงออกมาก็ไม่รู้จะเป็นยังไงด้วยสภาพจิตใจที่มันไม่พร้อม หนูติดคุก หนูต้องถามตัวเองก่อนแน่ ๆ ว่า หนูทำอะไรผิด”

นิวส์เดินทางมาถึงประเทศแคนาดาไม่นานและยังสามารถอยู่ในที่พักที่รัฐจัดหาให้ได้ แต่นิวส์ก็เลือกออกมาหาที่อยู่ใหม่ด้วยตัวเอง เธอบอกว่า ความลำบากของการหาห้องเช่าคือ ความเป็นผู้ลี้ภัยที่เพิ่งเดินทางมาถึงทำให้ยังไม่มีงานเป็นหลักแหล่ง ส่งผลต่อความมั่นคงทางการเงิน ด้วยความตรงไปตรงมาเธอเลือกบอกความจริงทุกอย่างกับเจ้าของและได้ห้องเช่าในที่สุด “หนูก็คุยกับเขาจนเข้าใจ ซึ่งหนูบอกเขาตรงๆ ด้วยว่าหนูเป็นใคร บอกเขาด้วยว่า เป็นผู้ลี้ภัย แล้วเขาก็ถามว่า ยูโดนอะไรมา ส่งข่าวซีเอ็นเอ็นให้ดูเลย เขาก็แบบ โอ้! แล้วเขาก็รับให้มาอยู่ ซึ่งปกติมันหายากนะ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เราจะเอาเงินจากไหนจ่าย แล้วหนูไม่อยากโกหก เราก็ใช้วิธีบอกเขาตรงๆ นี่แหละ” 

แต่ละวันของนิวส์ในประเทศใหม่เต็มไปด้วยการเรียนรู้ “ไปเที่ยวหาเพื่อนบ้างแล้วก็เรียนภาษา ระหว่างที่รอคิวล่าสุดนี่ไปเทสต์ระดับภาษามา…หนูเพิ่งได้ระดับสามเองแล้วก็รอคิวเรียนของรัฐบาลแล้วก็พยายามออกไปฝึกภาษาข้างนอก” เธอพยายามหาโอกาสในการฝึกฝนทักษะภาษาในชีวิตประจำวัน “ไปจีบสาวร้านกาแฟบ้างอะไรบ้าง ก็จริงๆ แล้วอยากมีเพื่อนก็เลยไปคุยกับเขา คุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ใช้ทรานสเลทบ้าง คุยเองบ้าง” 

ภารกิจการ ‘จีบสาว’ หรือฝึกภาษาอังกฤษที่ร้านกาแฟของนิวส์ จตุพร

แม้จะมีความท้าทายและความยากลำบาก แต่นิวส์ก็ค่อยๆ ปรับตัวจนสามารถเอาตัวรอดได้  “ไปหาหมอด้วยตัวเองก็เป็นเรื่องยาก ก็ต้องพึ่งเพื่อนที่แบบพอเป็นล่ามให้ได้ แล้วก็ล่าสุดไปทำบัตรเครดิตเอง แบบทรานสเลทล้วนๆ แล้วก็ทำผ่าน” เธอยิ้มกว้างเมื่อเล่าถึงความสำเร็จครั้งล่าสุด “มันมีความยากเหมือนกันนะ ไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้ไม่ได้ภาษาอังกฤษเลยแล้วนั่งรถเมล์ รถบัส…มันต้องต่อนู้นต่อนี่ โอเค หนูทำได้ แล้ววันนี้ก็เพิ่งเดินทางกลับมาที่บ้าน ไปเที่ยวมาแล้วกลับมา หนูไม่หลงทางเลย”

ปัจจุบันอาการป่วยซึมเศร้าของนิวส์ดีขึ้นมาก “[ตอนนี้] รู้สึกดีมาก ก็ยังมีต้องกินยานอนหลับเพราะว่า มาแรกๆ หนูยังมาได้ไม่นานนะ เรื่องเวลา มันคนละไทม์โซนเลยต้องปรับตัวเรื่องนอน ตอนนี้ยาซึมเศร้าตัวอื่นหนูไม่ทานแล้ว ทานอย่างเดียวคือ ยานอนหลับแล้วทานแค่บางครั้งด้วย” “โอเคขึ้นเพราะว่า มันมีอะไรยากที่ต้องให้ทำ มีอะไรหลายๆ อย่างที่เราต้องกลับไปเรียนรู้ด้วย เรื่องงานด้วยเรื่องภาษาด้วย มันก็เลยไม่มีเป็นเวลามาแบบโฟกัสไปที่เรื่องโรคซึมเศร้าขนาดนั้น แต่ก็ไปหาหมอมา ไปหาหมอ มาถึงที่นี่เขาค่อนข้างดูแลเรื่องสภาพจิตใจดีมาก”


ไม่หันหลังให้การเมืองไทย เพียงขอเวลาพัก-ทำตามฝัน

แม้จะต้องเริ่มต้นใหม่ในประเทศที่ไม่คุ้นเคย แต่เธอมีความสุขกับการใช้ชีวิตในสังคมใหม่ที่ให้การยอมรับเธอมากกว่าที่เคยได้รับในประเทศไทย “หนูแฮปปี้แล้วคนที่นี่เขาก็โอเคด้วย อย่างเราเป็น LGBT เขาไม่ได้มาเหยียดเราเรื่องเพศ…หรือแม้เรื่องคดีเราก็แบบจริงเหรอ คุณโดนแบบนี้มาเหรอ เฮ้ย ฉันเข้าใจคุณเลย ทำให้สุขภาพจิตเราดีขึ้นเยอะ” เธอเปรียบเทียบสภาพชีวิตที่ไทยและประเทศใหม่ว่า 

“[ที่ไทย]คิดภาพที่เราทำตามฝันไม่ได้เลย ไม่สามารถคิดภาพว่า ฉันอยากเรียน เพราะหนูคิดแล้วหนูก้าวข้ามความกลัวนั้นแล้วจนลงสมัครแล้ว สุดท้ายมันคืออย่างที่หนูบอกมันทำไม่ได้เพราะเราถูกล่ามไว้ด้วยคดี เราจะติดคุก…ชีวิตเรามันเหมือนอยู่กับไปแค่ว่า พรุ่งนี้กูต้องติดคุกป่าววะ พรุ่งนี้คุณจะโดนคดีเพิ่มไหมวะ”

เมื่อเล่าถึงชีวิตครั้งที่ต้องวนเวียนอยู่ที่เรื่องของวันนี้ พรุ่งนี้และการติดคุก นิวส์บอกว่า ตอนนั้นยินดีกับเพื่อนนักกิจกรรมที่ได้ลี้ภัย “เอาจริงๆ ตอนที่หนูยังไม่ได้ออกมานะหนูก็มองว่า ใครไปได้ หนูโคตรยินดีด้วยเลยเพราะหนูไม่เคยได้รับความยุติธรรม แล้วหนูไม่อยากให้ใครมาอยู่ในสถานการณ์แบบที่หนูเจอ”เธอเปรียบการลี้ภัยเหมือนการได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม “หนูยินดีที่เขา [เพื่อนนักกิจกรรมเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีอยู่แล้วเขาไปเจอดินดีๆ แล้วเขาเติบโต ต่อให้เขาเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีแค่ไหน ถ้ามันอยู่ในที่ดินไม่ดีที่เราเคยอยู่ มันไม่มีทางเติบโตหรอก ปุ๋ยก็ไม่มี ดินก็ไม่ได้ มันก็อยู่แค่นั้น”

จนถึงตอนนี้ความฝันเดิมที่อยากเป็นเชฟยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นิวส์ตั้งเป้าหมายว่า จะเรียนภาษาและศึกษาต่อเพื่อประกอบอาชีพตามความฝัน “ต้องไปเรียนไฮสคูลต่อ วุฒิกศน.มันใช้ไม่ได้ วางแผนว่า พอเรียนไฮสคูลจบ จะต่อปริญญาตรีด้านอาหาร กู้เรียน” เธอยอมรับว่า มีความรู้สึกคิดถึงบ้านและคนรัก “มันก็มีอาการโฮมซิกบ้าง คิดถึงแฟนบ้าง รู้สึกว่า อยากให้เขาอยู่ตรงนี้ เขาผลักดันเรามาตลอด…สุดท้ายคนที่อยากให้อยู่ข้างๆ ก็คือเขา เสียดายไม่ได้มาด้วยกัน…เมื่อวานหนูไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือมา ร้องไห้อ่ะ คิดถึงบ้าน”

นิวส์ จตุพรระหว่างร่วมแคมเปญนิรโทษกรรมประชาชนเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์​ 2567

แม้จะมีความสุขกับชีวิตใหม่ แต่ความรู้สึกห่วงเพื่อนที่ยังต้องต่อสู้คดีในประเทศไทยก็ยังคงอยู่ “ก่อนที่หนูจะออก ที่หนูยังตัดสินใจไม่ได้สักทีก็เพราะเรื่องเพื่อนด้วยส่วนหนึ่ง มันมีความรู้สึกตงิดๆ ใจ พอออกมามันก็มีโดนบ้างว่าทิ้งเพื่อนให้ติดคุก ทำให้เพื่อนไม่ได้ประกัน มันก็เป็นความรู้สึกแย่ไปอีกแบบหนึ่ง” นิวส์ยืนยันว่า การลี้ภัยของเธอไม่ใช่การหันหลังให้เรื่องการเมืองไทย

ตอนนี้ชีวิตหนูที่หนูยังทำอะไรมากไม่ได้ ที่ยังไม่ได้เข้าไปพูดเรื่องการเมือง เรื่องเพื่อนเพราะตอนนี้หนูยุ่งกับชีวิตที่มันเริ่มใหม่มันยังไม่ลงตัว แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ลงตัว…มันเหมือนอยู่ในสายเลือดไปแล้ว เหมือนตอนที่อยู่ที่ไทยมันมีม็อบฉันต้องไป แค่หนูรอชีวิตหนูลงตัว มีงาน ได้เข้าคลาสเรียน หนูก็จะเริ่มกลับมาพูดเรื่องพวกนี้แล้ว เอาจริงๆ หนูล้า หนูแค่ขอพักแค่ช่วงนึงเฉยๆ แต่หนูไม่หันหลังแน่นอนเพราะว่าเพื่อนเรายังอยู่ในนั่นเยอะ”

ในตอนท้ายนิวส์ถามถึงเรื่องร่างนิรโทษกรรมประชาชนและได้คำตอบว่า ค่อนข้างดำเนินไปอย่างล่าช้า เธอบอกว่า ไม่ว่าอย่างไรนิรโทษกรรมก็ควรรวมคดีมาตรา 112 ด้วย 

“สำหรับหนูมองว่ามันก็คือการเมืองอย่าบอกว่าไม่ใช่การเมือง เพราะไอ้ที่ทำๆ เนี่ยมันคือการเมืองทั้งนั้น บางคนไม่รู้อะไรเลย ญาติพี่น้องก็ไปแจ้งก็มี หนูอยากให้ทุกคนได้ออกมา เพราะว่าความหวังสุดท้ายแต่ละคนโทษสูงมาก เพราะถ้าจะติดคุกจนจบ ชีวิตเขาทั้งชีวิตเลยนะ ออกมาจะทำมาหากินอะไร หนูอยากให้นิรโทษกรรม อยากให้พวกเขาได้ออกมา มันคือความหวังเดียวเลยเพราะหนูไม่หวังกับศาลเลยเรื่องประกันตัว ก็ขอให้ผ่านเถิด สาธุ หนูคิดว่ามันน่าจะยากแหละแต่หนูก็อยากให้ผ่านเดี๋ยวหนูจะไปบนหัวหมูให้เพิ่มก็ได้ อยากให้ผ่านจริงๆ แต่หนูรู้ว่ามันไม่มีหวังเรื่อง 112”

Amnestypeople.com
Join iLaw club
Facebook Fanpage