20 มีนาคม 2568 เวลา 16:40 น. ตามเวลาในประเทศไทย คณะอนุกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนของรัฐสภายุโรปประชุมแลกเปลี่ยนความเห็นสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยมีอัครชัย ชัยมณีการเกษ หัวหน้าฝ่ายต่างประเทศและนโยบาย ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน อันนา อันนานนท์ นักกิจกรรมทางการเมือง และเลลา เฟอร์นันเดซ สเทมบริดจ์ หัวหน้าฝ่ายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอาเซียนภายใต้ European External Action Service-EEAS ซี่งเป็นหน่วยงานด้านต่างประเทศของสหภาพยุโรป ร่วมให้ข้อมูล ประเด็นที่นำเสนอเช่น สถานการณ์การดำเนินคดีการเมืองในประเทศไทยและผู้ลี้ภัย
ปัจจุบันประเทศไทยและสหภาพยุโรปกำลังอยู่ระหว่างเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี ซึ่งหนึ่งในหลักการพื้นฐานสำคัญในการพูดคุยคือ สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ผู้แทนรัฐสภายุโรปมองว่า สิทธิมนุษยชนถือเป็นคุณค่าสากล สหภาพยุโรปมีข้อตกลงทางการค้ากับประเทศไทยและมีความรับผิดชอบทางการเมืองที่มาจากข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับคุณค่าที่สหภาพยุโรปควรแบ่งปันกับประเทศที่ลงนามข้อตกลงด้วย
สหภาพยุโรปกังวลปัญหาการใช้กฎหมายจำกัดเสรีภาพการแสดงออก
Mounir Satouri ประธานคณะอนุกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน กล่าวสรุปสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพยุโรปและประเทศไทยว่า ปัจจุบันสหภาพยุโรปและประเทศไทยกำลังพูดคุยในเรื่องข้อตกลงว่าด้วยเขตการค้าเสรี และสัปดาห์ที่ผ่านมาสหภาพยุโรปมีข้อมติประณามการส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่เปราะบางกลับไปยังประเทศจีนและเรียกร้องให้ทางการไทยยุติการบังคับส่งกลับผู้ลี้ภัยและผู้เห็นต่างทางการเมืองไปยังประเทศที่ชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยง ที่ผ่านมาประเทศไทยถูกมองว่า เป็นที่พักพิงปลอดภัยสำหรับพลเมืองของประเทศเพื่อนบ้านที่เสี่ยงต่อการถูกประหัตประหาร และผู้ตกเป็นเหยื่อของระบอบการปกครองที่ไม่เสรีในดินแดนของประเทศเหล่านั้นมาอย่างยาวนาน
ความกังวลอีกประการของสหภาพยุโรปคือการจำกัดสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบผ่านการใช้กฎหมายเช่น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมาตรา 116 นอกจากนี้สหภาพยุโรปยังติดตามเรื่องร่างกฎหมายว่าด้วยการรวมตัวและหวังว่า เนื้อหาสุดท้ายของร่างดังกล่าวจะไม่บัญญัติที่ส่งผลให้จำกัดความสามารถในการดำเนินงานของเอ็นจีโออย่างรุนแรง เช่น อำนาจของรัฐในการปิดองค์กรตามอำเภอใจ
“…hope that the final text will not contain provisions severely limiting the ability of NGO’s to act such as the power of the authorities to arbitrarily close them…”

ประมวลสถานการณ์ปราบปรามทางการเมือง ขออย่าลืมสิทธิมนุษยชนระหว่างการตกลงด้านการค้า
อัครชัย ชัยมณีการเกษ หัวหน้าฝ่ายต่างประเทศและนโยบาย ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน อธิบายสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยสรุปว่า ในปี 2563 ประเทศไทยมีการชุมนุมที่นำโดยนักเรียน นักศึกษาและคนรุ่นใหม่ พวกเขาผลักดันให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทนที่ฉบับที่เขียนโดยในระหว่างการรัฐประหาร 2557 และการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ซึ่งมีแรงจูงใจจากความเชื่อที่ว่าไม่ควรมีใครในระบอบประชาธิปไตยที่ได้รับการคุ้มกันจากการวิจารณ์อย่างชอบธรรม หลังจากนั้นมีการดำเนินคดีกับประชาชนประมาณ 1,000 คน มีเด็กและเยาวชนประมาณ 280 คน ขณะนี้มีนักโทษทางการเมืองมากกว่า 40 คนในเรือนจำและมีการดำเนินคดีทางการเมืองภายใต้รัฐบาลพลเรือนชุดใหม่ เช่นเดียวกับที่เคยเป็นในช่วงรัฐบาลทหาร

เขากล่าวถึงคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่มีโทษเทียบเท่ากับคดีฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา นับตั้งแต่ปี 2563 มีผู้ดำเนินคดีนี้แล้วอย่างน้อย 270 คน ในจำนวนนี้มีเยาวชน 20 คน อัครชัยยกตัวอย่างจำเลยคดีมาตรา 112 เริ่มจากบัสบาส-มงคล ถิระโคตรที่เผชิญกับโทษจำคุกมากกว่า 50 ปีที่หนักที่สุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อนร่วมงานทนายความสิทธิมนุษยชนอย่างอานนท์ นำภาที่ถูกจำคุกแล้ว 18 ปี ทั้งที่อยู่ระหว่างการจองจำ เขายังทำหน้าที่ทนายความสิทธิมนุษยชนในชุดเรือนจำ มีการสวมกุญแจข้อเท้าและเดินในห้องพิจารณาคดีด้วยเท้าเปล่าเพื่อต่อสู้คดีให้แก่ลูกความของเขา และบุ้ง-เนติพร เสน่ห์สังคมที่ถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาและเสียชีวิตหลังจากการอดอาหารเป็นระยะเวลายาวนาน
ปัจจุบันพื้นที่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทยไม่ได้อยู่บนท้องถนนอีกต่อไปแล้ว แต่อยู่ที่ห้องพิจารณาคดีแทนและจากประสบการณ์ในห้องพิจารณาคดีนำไปสู่การตั้งคำถามว่า ผู้พิพากษามีความเป็นอิสระและมีความเป็นกลางอย่างแท้จริงหรือไม่ทั้งนี้เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาคดีทางการเมือง ขั้นแรกคือการนิรโทษกรรมให้กับเหยื่อของการดำเนินคดีทางการเมือง ประเทศไทยไม่สามารถก้าวไปสู่บทใหม่ได้หากยังคงดำเนินคดีและจำคุกผู้คนเพียงเพราะพวกเขาไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล นอกจากนี้เขายังกล่าวถึงประเด็นผู้ลี้ภัยชาติอื่นๆในประเทศไทย อย่างนักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวเวียดนามที่ตกอยู่ในความเสี่ยงของการบังคับส่งกลับหรือเนรเทศไปยังเวียดนามตามคำขอของทางการเวียดนาม
ในตอนท้ายเขาเรียกร้องทำนองว่า ระหว่างการเจรจาเรื่องข้อตกลงการค้าเสรี ขออย่าลืมพวกเรา ขออย่าลืมอานนท์ นำภา และพวกเราไม่ได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยต้องเห็นด้วยกับพวกเราในทุกเรื่อง พวกเราเพียงขอให้พวกเขาอย่าส่งพวกเราเข้าไปในเรือนจำเพียงเพราะไม่เห็นด้วยกับพวกเขา

ด้านอันนา อันนานนท์ นักกิจกรรมเยาวชนเล่าว่า ในปี 2563 เธออายุ 14 ปีและเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเด็นสิทธิพลเมืองและการเมือง สิทธิเด็กและสิทธิทางการศึกษากับเพื่อนๆนักกิจกรรมเยาวชน ผลของการเคลื่อนไหวรัฐตอบโต้ด้วยความรุนแรง มีการใช้แก๊สน้ำตาต่อผู้ชุมนุม ส่วนของเธอนั้นถูกคุกคามและสอดส่อง เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบติดตามเธอไปทุกที่และเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกจับตาใน Watch list มีการเก็บข้อมูลส่วนตัวของเธอและครอบครัว ไม่ว่าจะประวัติการทำงาน หมายเลขประกันสังคมและมุมมองทางการเมือง โดยเธออยู่ในเอกสาร Watch list ร่วมกับเยาวชนคนอื่นๆ โดยอายุน้อยที่สุดคือ 14 ปี
อ่านเพิ่มเติม : คำแถลงโดยละเอียดของอัครชัยและอันนา
สิทธิมนุษยชนก้าวหน้าขึ้นบ้างแต่ยังไม่เพียงพอ ย้ำเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาการค้า
เลลา เฟอร์นันเดซ สเทมบริดจ์ หัวหน้าฝ่ายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอาเซียนภายใต้ European External Action Service-EEAS ระบุว่า ประเทศไทยถือเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียนมาอย่างยาวนาน ในปี 2565 มีการลงนามในข้อตกลงหุ้นส่วนและความร่วมมือ (The partnership and cooperation agreement -PCA) และในปี 2566 การเจรจาเรื่องข้อตกลงการค้าเสรีเริ่มต้นอีกครั้ง และในแง่พหุภาคีในสหประชาชาติ ประเทศไทยเพิ่งสนับสนุนข้อมติของสหภาพยุโรปเรื่องยูเครน
เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองปี 2566 ประเทศไทยมีการเลือกตั้งทั่วไปและเปลี่ยนผ่านอำนาจสู่รัฐบาลพลเรือนเป็นครั้งแรกหลังการรัฐประหารในปี 2557 อย่างไรก็ตามยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงคือ ในเดือนสิงหาคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคก้าวไกลและมีการตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการพรรคเป็นเวลาสิบปี เลลาระบุว่า “จากมุมมองของเรา ในสหภาพยุโรป เราเชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญที่พื้นที่ทางการเมืองในประเทศไทยควรเปิดกว้าง และการฟื้นฟูพหุนิยมทางการเมืองและเสรีภาพขั้นพื้นฐานควรได้รับการคุ้มครอง”
“…From our side in the EU, we believe it is important that the political space in Thailand remains open and that restored political pluralism, and fundamental freedoms are protected…”

เกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชน สหภาพยุโรปมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและมีการพูดคุยกับรัฐบาล รวมถึงภาคประชาสังคม นักปกป้องสิทธิมนุษยชนและภาคธุรกิจด้วย เธอยืนยันว่า การเคารพสิทธิมนุษยชนและหลักการประชาธิปไตยเป็นพื้นฐานของความร่วมมือของเราภายใต้ข้อตกลง PCA และเราจะทำให้แน่ใจว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เรายังคงรักษาปฏิสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ไทยโดยเน้นย้ำความสำคัญของการเคารพพันธกรณีและข้อผูกพันระหว่างประเทศ และเราให้การสนับสนุนในด้านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดี
เธอยอมรับว่า สถานการณ์สิทธิมนุษยชนมีความคืบหน้าบ้าง แต่อาจจะยังไม่เพียงพอ ยังมีความท้าทายอยู่ เช่นที่การใช้ข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ข้อหายุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และพ.ร.บ.คอมฯเพื่อจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก กรอบกฎหมายเกี่ยวกับการหมิ่นประมาทกษัตริย์นั้นถูกนำมาใช้อย่างเข้มงวด และเราหวังว่าประเทศไทยจะละเว้นจากการกำหนดโทษที่ไม่ได้สัดส่วนในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กและเยาวชน
“Regarding human rights the EU has been closely following the situation and continues constructive dialogue with the various interlocutors in the government but also with civil society, human rights defenders, and the business sector. I cannot stop to insist that the respect for human rights and democratic principles constitute the basis of our cooperation within the PCA and we’re going to make sure that this is the case…We keep engaging with the Thai authorities by underlining the importance of respecting international obligations and commitments and we provide the support in terms of exchange of experiences and good practices.
When it comes to the human rights situation yes there has been some progress but perhaps it’s not enough there are indeed some challenges…there are the charges of lèse-majesté, sedition, and computer crime charges that are used to limit free speech. The royal defamation legal framework…is very strictly applied and we do hope that Thailand will refrain from imposing disproportionate sentences in the lèse-majesté cases especially on children and on young people.”
เลลาระบุว่า สหภาพยุโรปยังเดินหน้าเสริมสร้างการคุ้มครองสิทธิทางการเมืองและพลเมืองในประเทศไทย ผู้แทนสหภาพยุโรปประจำกรุงเทพฯ มีการหารือสม่ำเสมอกับเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องในเรื่องการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงระหว่างสหภาพยุโรปและไทย โดยสหภาพยุโรปคาดว่า จะแลกเปลี่ยนในคณะกรรมการร่วมระหว่างสหภาพยุโรปและไทยที่จะจัดขึ้นในปีนี้ สหภาพยุโรปคาดหวังว่า จะมีการพูดคุยสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นทางการที่ปัญหายากลำบากจะสามารถจัดการได้ และทางการไทยรับแล้วว่า จะมีการพูดคุยซึ่งเป็นก้าวสำคัญในทิศทางที่สำคัญ ในตอนท้ายเธอระบุว่า สำหรับข้อตกลงการค้าเสรีนั้น พวกเขามีการพิจารณาเรื่องสิทธิมนุษยชนระหว่างที่เจรจากัน ตอนนี้อยู่ในรอบที่ห้าของการเจรจา และได้บรรลุข้อตกลงในสองบทจากทั้งหมด 20 บท ดังนั้นแล้วสิทธิมนุษยชนเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาอย่างแน่นอน
ม. 112 ขัดกับสังคมประชาธิปไตย ยันสภายุโรปปกป้องคุณค่าสากลไม่ใช่การแทรกแซง
Francisco Assis พรรคสังคมนิยม (Partido Socialista) โปรตุเกส ระบุว่า สหภาพยุโรปมีข้อตกลงทางการค้ากับประเทศไทยและมีความรับผิดชอบทางการเมืองที่มาจากข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับคุณค่าที่สหภาพยุโรปควรแบ่งปันกับประเทศที่ลงนามข้อตกลงด้วย เราในฐานะสหภาพยุโรปไม่สามารถบังคับใช้รูปแบบของเราในภูมิภาคอื่นๆ แต่เราต้องมีความพยายามในการทำงานกับประเทศทั่วโลกเพื่อทำให้มั่นใจว่า พวกเรากำลังมุ่งไปสู่คุณค่าและหลักการเดียวกัน ในประเทศไทยเราเห็นว่า หนุ่มสาว บางส่วนมีอายุน้อยมากกำลังต่อสู้เพื่อคุณค่าเหล่านี้ เราถือว่า มันเป็นคุณค่าสากล เขายังกล่าวแสดงความกังวลถึงพื้นที่ทางการเมืองที่จะประกันพหุนิยมทางความคิด และมุมมองและความเห็นที่แตกต่าง นอกจากนี้ยังแสดงความกังวลเรื่องกฎหมายหมิ่นประมาทกษัตริย์ที่เขามองว่า เข้ากันไม่ได้กับสังคมประชาธิปไตย (Incompatible with democratic society)

Tomasz Froelich พรรคทางเลือกเพื่อเยอรมนี (Alternative für Deutschland) เยอรมนี กล่าวโดยสรุปว่า เขามีความเคารพในประเพณีของคนในวันฒธรรมอื่นๆและมีปัญหากับข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่อประเทศไทย ในประเด็นเรื่องมาตรา 112 เขารู้สึกว่า มันไม่มีความละเอียดอ่อนทางวัฒนธรรม และในระดับหนึ่งมีความยโสเล็กน้อย ซึ่งทำให้เราเป็นที่รักน้อยลงในโลก หากเราบังคับและกำหนดคุณค่าของเราให้กับประเทศไทย เราต้องยอมรับว่า มาตรา 112 มีความสัมพันธ์กับประเพณีและวัฒนธรรม เขาระบุว่า ไม่ต้องการประเมินค่าสังคมไทย ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรที่มีอายุมากกว่า 800 ปี และจะเป็นการขาดความเคารพเล็กน้อย หากเราเริ่มแทรกแซงกิจการภายในของราชอาณาจักรเช่นนี้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีภัยคุกคามจากสงครามการค้า เราควรมุ่งเน้นที่ความสัมพันธ์ทางการค้ามากกว่าการให้บทเรียนเชิงศีลธรรมแก่ใครก็ตาม
Mounir Satouri ประธานคณะอนุกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน โต้แย้งว่า เขาไม่เห็นด้วยอย่างสิ้นเชิงต่อสิ่งที่ Tomasz เสนอ พวกเรากำลังปกป้องคุณค่าสากลที่เป็นเหตุผลว่า ทำไมคณะอนุกรรมการนี้ถึงมีอยู่ พวกเราไม่ได้พยายามที่จะบังคับใช้ [กฎเกณฑ์] เหมือนที่อำนาจอาณานิคมทำกับประเทศอื่นๆในโลก เขาคิดว่า สิทธิเป็นเรื่องสากล ไม่ว่าจะเรื่องเสรีภาพการแสดงออก ประชาธิปไตย ความเท่าเทียมทางเพศ เหล่านี้ถือเป็นหลักการสากล วิธีการที่พวกเราทำคือ การสร้างบทสนทนาและการพูดคุย ไม่ใช่การสอนบทเรียนหรือบรรยายหรือทำอย่างที่อำนาจอาณานิคมเคยทำ หลักการสากลที่เรากำลังทำงานอยู่นี้มันเริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองและเป็นหลักการที่สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศในปัจจุบัน
ด้านอัครชัย อธิบายเพิ่มเติมในประเด็นนี้ว่า วัฒนธรรมไทยมีการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญ ผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 พรรคการเมืองที่ได้ที่นั่งมากที่สุดคือพรรคที่แสดงออกชัดเจนว่าต้องการแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งเป็นตัวชี้วัดของการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในประเทศไทยที่คนไทยคิดว่า เมื่อเราเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ เราควรที่จะสามารถพูดอย่างอิสระโดยปราศจากความเสี่ยงจากการคุมขัง
ย้อนฟังการประชุมของคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชน รัฐสภายุโรป
ข้อมติประณามประเทศไทยกรณีการบังคับส่งกลับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์และการบังคับใช้มาตรา 112