17 มีนาคม 2568 รัฐสภามีประชุมวาระพิเศษญัตติด่วนเรื่อง ขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งเสนอโดยเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) และวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคเพื่อไทย ในประเด็นว่าจะต้องมีการทำประชามติก่อนหรือหลังจากรัฐสภาแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางสู่การร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ ซึ่งจะส่งผลต่อจำนวนครั้งในการทำประชามติที่แตกต่างกัน จึงได้มีการเสนอให้ถามไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยอำนาจหน้าที่รัฐสภา หลังจากเคยถามครั้งที่หนึ่งในปี 2564 จนศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 4/2564 และครั้งที่สองในปี 2567 และศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งที่ 21/2567 ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา
จากเสียงแตกต่างหลากหลายความคิดของสมาชิกรัฐสภา ชวนดูเสียงจากสส.พรรคเพื่อไทย แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลและหนึ่งในตัวตั้งตัวตีหลักในการส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญรอบที่สาม ทำไมต้องส่งเรื่องนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอีกครั้ง

ไม่ถามศาลรัฐธรรมนูญก่อนคือความล้าหลัง
ธีรชัย แสนแก้ว ระบุว่า รัฐธรรมนูญ 2560 คือรัฐธรรมนูญที่มากด้วยปัญหา สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือวิธีการแก้รัฐธรรมนูญที่ยากมาก ในการเสนอครั้งแรกเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาคิดว่าสามารถเสนอแก้ไขได้ผ่านรัฐสภาเลยเพราะคือการแก้ไขรายมาตรา แต่เมื่อเกิดคำถามว่านี่คือการแก้ไขเพื่อนำไปสู่รัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ ทำให้พรรคเพื่อไทยเปลี่ยนเส้นทางส่งถามต่อศาลรัฐธรรมนูญก่อนเพื่อความชัดเจนเพื่อขจัดความคิดเห็นที่แตกต่างในรัฐสภาให้หายไป
แนวทางการส่งสารรัฐธรรมนูญนี้ไม่เพียงแต่เป็นอีกขั้นตอนของความล้ำหน้าแต่นับเป็นหนึ่งในความก้าวหน้าในการเดินสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หากไม่ถามศาลรัฐธรรมนูญเลย ธีรชัยเห็นว่าคือความล้าหลัง
รัฐธรรมนูญใหม่ไม่ควรจะเสียเวลาไปมากกว่านี้ ต้องได้เห็นในรัฐบาลชุดนี้
ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ อภิปรายว่า พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มีความมุ่งมั่นอยากให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งได้ยืนยันมาตลอดตั้งแต่ช่วงการหาเสียงผ่านนโยบายและแถลงต่อรัฐสภาของนายกรัฐมนตรีเป็นวาระสำคัญเร่งด่วน การถามกับศาลรัฐธรรมนูญก่อนจึงเป็นการทำให้เส้นทางการเดินหน้าสู่รัฐธรรมนูญใหม่ไม่เกิดการสะดุดลงและทำลายข้อกังวลของสมาชิกรัฐสภาที่เห็นต่างกัน
พรรคเพื่อไทยจึงไม่ยอมให้ความล้มเหลวในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นอีกแล้ว รัฐธรรมนูญใหม่ต้องจัดทำให้สำเร็จภายในรัฐบาลนี้ ลิณธิภรณ์ยังตั้งคำถามถึงฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญว่า ว่าหากเดินหน้าต่อไปแล้ววาระแก้รัฐธรรมนูญถูกปัดตกใครจะรับผิดชอบกับเวลาที่เสียไป
ถามศาลรัฐธรรมนูญก่อนคือหลักประกันความชัดเจนต่อรัฐสภา
จาตุรนต์ ฉายแสง ลุกขึ้นอภิปรายความเห็นต่อรัฐสภาให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพราะความแตกต่างทางความคิดที่เกิดขึ้นอยู่มากในรัฐสภา จากการยื่นเสนอของพรรคหลายครั้งที่ผ่านมาบวกกับความมุ่งมั่นของพรรคที่ต้องการให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเดินหน้าสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หากจะทำให้รัฐสภาเกิดความเห็นพ้องว่าต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญจำเป็นต้องถามศาลรัฐธรรมนูญเสียก่อน หากเดินหน้าต่อไปเสียงที่จะทำให้วาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านอาจะไม่จำนวนไม่เพียงพอ
เขายืนยันว่า เรื่องการแก้ไขกฎหมายยังคงต้องเป็นอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติคือรัฐสภาแต่เมื่อภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ศาลรัฐธรรมนูญสามารถเข้ามาแทรกแซงฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและพรรคการเมืองได้ เมื่อสถานการณ์เป็นอย่างนี้หากไม่ถามศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อได้
ยอมรอสักหน่อย อย่าบุ่มบ่ามจนตกม้าตาย
ก่อแก้ว พิกุลทองบอกว่า นับเป็นเรื่องที่ดีในตอนนี้ (มีนาคม 2568) เสียงส่วนใหญ่มีความคิดเห็นว่าจำเป็นต้องเกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 ทำให้ประเทศมีปัญหาและทำให้รัฐบาลอ่อนแอ กลับกันในอีกมุมหนึ่งก็มีกลุ่มคนที่ได้รับประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความคิดไม่อยากให้แก้ไข เมื่อเกิดความเห็นที่แตกต่างในรัฐสภาจากความการตีความคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเรื่องประชามติ
พรรคเพื่อไทยจึงพยายามหาความชัดเจนเลยเห็นว่า ต้องส่งไปถามศาลรัฐธรรมนูญก่อนเพื่อให้เกิดความกระจ่างในการเดินหน้าสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ แม้ว่าอาจต้องใช้เวลารออีกหน่อยยังเป็นการดีกว่าเดินหน้าแก้ต่อแล้วต้องตกม้าตาย อย่ามากล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทยไม่อยากแก้รัฐธรรมนูญ เรื่องนี้เป็นนโยบายของพรรคมาโดยตลอด นายกรัฐมนตรีพูดกับสส.ของพรรคมาตลอดว่าให้เดินหน้าเรื่องนี้อย่างเต็มที่
ตนเคยอยู่ในสนามต่อสู้ทางการเมืองมาก่อน สำหรับประเด็นนี้มองว่าอย่าบุ่มบ่ามและให้ฝ่ายไม่เห็นด้วยทำความเข้าใจความไม่ปกติของบ้านเมืองมากกว่านี้
อยากได้รัฐธรรมนูญในเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ถ้าไม่ทันก็เป็นเรื่องที่จนใจ
เชิดชัย ตันติสิรินทร์บอกว่า มีนาคม 2568 จำเป็นต้องยืนอยู่บนความเป็นจริง รัฐธรรมนูญ 2560 ทำให้กระบวนการแก้ไขนั้นเกิดได้ยากและมีความซับซ้อน เมื่อสมาชิกรัฐสภาไม่หนักแน่นในหลักการก็ต้องถามต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ความชัดเจนเกิดขึ้น สิ่งนี้ไม่ใช่ความผิดของสมาชิกแต่อย่างใด หากความชัดเจนเกิดขึ้นจะเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกโดยเฉพาะต่อสว. เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นการยื้อเวลาตามที่โดนกล่าวหาแต่เป็นการสร้างความมั่นใจต่อรัฐสภาให้มากขึ้น ตนเชื่อว่าทุกคนอยากเห็นรัฐธรรมนูญในการเลือกตั้งครั้งหน้าแต่ถ้าไม่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องที่จนใจแต่ต้องมีเหตุผลและไม่มีการว่ากล่าวกัน
ถามศาลรัฐธรรมนูญก่อนเพื่อความชัดเจน ช้าแต่ชัวร์
นพดล ปัทมะอภิปรายว่า 2568 หากประเทศไทยใช้ระบบรัฐสภามีอำนาจสูงสุดอย่างสหราชอาณาจักรก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ในเมื่อประเทศ ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจเข้ามาในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้จึงต้องดำเนินการอย่างรอบคอบมากขึ้น จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีความคลุมเครือ หากศาลรัฐธรรมนูญได้ทำให้แนวทางการเดินต่อชัดเจน อาจทำให้ค่าใช้จ่ายในการทำประชามติลดลงด้วยเพราะได้ทราบว่าต้องจัดทำกี่ครั้ง
พรรคเพื่อไทยมีความชัดเจนที่จะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีความตั้งใจเป็นที่สุจริตและมีความมุ่งมั่น อยากให้การกระทำเป็นคำตอบมากกว่าคำพูด พรรครู้ถึงปัญหาและข้อจำกัดที่จะทำให้ได้คะแนนเสียงลดลง ดังนั้นการเดินหน้าถามศาลรัฐธรรมนูญแม้จะล่าช้าแต่ชัวร์
หากยังดึงดันต่อร่างแก้รัฐธรรมนูญอาจถูกปัดตก
ชลน่าน ศรีแก้วบอกว่า การยื่นถามศาลรัฐธรรมนูญคือวิธีการเดินหน้าสู่เป้าหมาย ในรัฐสภาชุดที่ 25 ก็ได้มีการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 256 ไปแต่สามารถทำสำเร็จได้เพียงเรื่องเดียวคือระบบการเลือกตั้ง การแก้ไขครั้งนี้หากไม่สามารถทำให้เกิดความเห็นร่วมของรัฐสภาได้การแก้ไขก็เดินต่อไม่ได้เช่นกัน เมื่อรัฐสภามีความเห็นเรื่องประชามติต่างกันการถามศาลรัฐธรรมนูญคือความจำเป็น หากดื้อดึงเดินหน้าต่อไปก็จะทำให้วาระแก้ไขรัฐธรรมนูญโดนปัดตก
ชลน่านเชื่อว่าหากถามไปยังศาลรัฐธรรมนูญแล้ว การแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถจบในปีนี้ได้ กลุ่มที่ยืนยันจะแก้ไขกลุ่มนั้นจะได้กระแสและคะแนนเสียงแต่จะไม่ได้รัฐธรรมนูญใหม่ การสร้างกระแสที่ไม่จริงคือการทำร้ายประชาชนแบบที่เขาไม่รู้ตัว
คำวินิจฉัยของศาลขัดแย้งในตัวเอง ต้องถามใหม่ให้ชัดเจน
ชูศักดิ์ ศิรินิล กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีความตั้งใจที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีประชาชนมีส่วนร่วมร่าง รัฐธรรมนูญ 2540 คือตัวอย่างของรัฐธรรมนูญฉบับประชาธิปไตย ซึ่งเกิดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนเป็นวงกว้างและมีการตรวจสอบอำนาจรัฐครั้งแรกเกิดขึ้น ประเทศไทยติดหล่มความขัดแย้งมายาวนานและรัฐธรรมนูญไทยถูกฉีกทิ้งหลายครั้งผ่านการรัฐประหาร
ชูศักดิ์เล่าว่า เคยมีโอกาสเข้าไปร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญแต่ก็ถูกร้องเรียนว่ามีพฤติกรรมเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ปี 2564 ก็เคยเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญก็พบกับความล้มเหลวอีก เมื่อดูในคำวินิจฉัยรัฐธรรมนูญ 4/2564 จะพบว่าช่วงต้นและช่วงท้ายของคำวินิจฉัยมีความขัดแย้งกันอยู่ ทำให้เกิดการตีความเรื่องประชามติของแต่ละกลุ่มไม่เหมือนกันว่าต้องทำสองหรือสามครั้งกันแน่ จึงต้องถามศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้งเพื่อหาความชัดเจนให้ได้
ช้าไปอีกหนึ่งเดือน ไม่ได้ถ่วงเวลา แต่ได้หลักประกันว่าจะไม่โดนร้องเรียน
ปิดท้ายการอภิปรายของพรรคครั้งนี้โดยสุทิน คลังแสงบอกว่า มีนาคม 2568 เส้นทางของรัฐธรรมนูญมีสองแนวทางเท่านั้นคือ หนึ่ง เดินหน้าต่อจนจบวาระสาม และสอง ถามศาลรัฐธรรมนูญ พรรคเพื่อไทยเดินหน้าต่อในแนวทางที่สอง จากประสบการณ์ทางการเมืองที่เห็นมาพบว่า หากเดินหน้าต่อไปจนวาระสามจะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่สามารถเกิดขึ้นจริงได้เพราะเสียงสนับสนุนจะไม่ถึงโดยเฉพาะจาก สว.
ความชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญคือการสร้างความชัดเจนและเป็นหลักประกันว่าจะไม่โดนร้องเรียนในภายหลัง ระยะเวลาที่ช้าออกไปอีกหนึ่งเดือนไม่อาจเรียกว่าเป็นการถ่วงได้ ยอมช้าอีกนิดเพื่อทางเดินที่ดีกว่า ฝ่ายไม่เห็นด้วยควรพิจารณาให้ดีว่ากำลังสู้เรื่องรัฐธรรมนูญกับใครกันแน่ พร้อมทิ้งท้ายว่าพรรคเพื่อไทยอยู่มานาน ใช้ความกล้าหาญมามาก แต่ความกล้าหาญควรเสมอด้วยปัญญา ปัญญาเสมอด้วยสติ ความกล้าหาญยังต้องใช้อีกมากในการต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตย