20 มีนาคม 2568 เวลา 10:30 น. ที่อาคารรัฐสภา เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนยื่นหนังสือต่อผู้นำฝ่ายค้านเพื่อเรียกร้องให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจากการเพิกเฉยต่อปัญหาคดีความทางการเมือง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพและความเป็นธรรมในสังคม โดยมีศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ พรรคประชาชนเป็นตัวแทนมารับหนังสือ (อ่านหนังสือด้านล่าง)
สมยศ พฤกษาเกษมสุข กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยกล่าวทำนองว่า นายกรัฐมนตรีเคยหาเสียงไว้ว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะขอความเมตตาต่อศาลเพื่อขอปล่อยตัวผู้ต้องขังทางการเมือง จึงอยากให้ฝ่ายค้านหยิบยกประดังกล่าวขึ้นมาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เนื่องจากไม่ได้มีการดำเนินการตามที่หาเสียงเอาไว้ นอกจากนี้สถานการณ์ของผู้ต้องขังมาตรา 112 เลวร้ายลงไปเรื่อย ๆ มีการย้ายผู้ต้องขังจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครไปที่เรือนจำกลางบางขวาง ซึ่งเป็นที่คุมขังนักโทษประหารชีวิต ซึ่งเราเห็นว่า ทางราชทัณฑ์ที่ต้องรวมไปถึงกระทรวงยุติธรรมด้วยว่า ลักษณะการย้ายผู้ต้องขังเป็นการกลั่นแกล้งให้ได้รับความทุกข์ทรมาน “มีเจตนาแฝงที่จะฆาตกรรมคนเหล่านี้ด้วยหรือไม่…นอกจากจะไม่แก้ปัญหาความยุติธรรม ไม่แก้ปัญหาหรือปกป้องสิทธิเสรีภาพของพวกเขาเหล่านั้นแล้วยังดำเนินการให้เกิดความเลวร้ายในด้านการทรมานและคุกคามซึ่งอาจจะถึงชีวิตได้” ซึ่งเมื่อวานนี้ (19 มีนาคม 2568) เกิดเหตุความรุนแรงขึ้น มีการฉุดกระชากลากถูจนผู้ต้องขังได้รับบาดเจ็บ

ศศินันท์ กล่าวว่า ยืนยันว่าจะมีการบรรจุเรื่องนี้เป็นหนึ่งในหัวข้อการอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย กรณีการย้ายเรือนจำ เธอระบุว่า เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 เธอ พร้อมด้วยณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้ายและสส.พรรคประชาชนเข้าเยี่ยมนักโทษทางการเมืองที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ในวันดังกล่าวหนึ่งในบทสนทนาคือ เรื่องการย้ายเรือนจำซึ่งเป็นนโยบายของทวี สอดส่องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเพื่อทำเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครให้เป็นเรือนจำระหว่างการพิจารณาคดีโดยมีการย้ายผู้ต้องขังจำนวนมากในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครในกรณีที่เป็นคดีระหว่างการพิจารณาคดีหรือยังไม่ถึงที่สุด
วันนั้นมีการเบิกตัวผู้ต้องขังทางการเมืองเพื่อมานั่งคุยกับทวีและผู้บัญชาการเรือนจำด้วยตัวเอง โดยเก็ท-โสภณ สุรฤทธิ์ธำรงระบุว่า “มีความประสงค์ที่จะไม่ย้ายไปเรือนจำอื่นและมีความประสงค์ที่จะอยู่ด้วยกัน” เพราะว่า เขายืนยันว่า เขาไม่ได้เป็นผู้ต้องขังคดีอุกฉกรรจ์ เขาเป็นผู้ต้องขังทางความคิดและปัจจุบันแค่อยู่ในเรือนจำก็ยากลำบากมากพออยู่แล้ว เขาขอเพียงให้ผู้ต้องขังการเมืองได้อยู่ด้วยกันเป็นกลุ่ม วันดังกล่าวทวีและผู้บัญชาการเรือนจำให้การรับปาก แต่วันที่ 19 มีนาคม 2568 มีเหตุบังคับผู้ต้องขังทางการเมืองย้ายเรือนจำจึงตั้งคำถามว่า เป็นการรับปากส่งๆหรือไม่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเข้าเยี่ยมที่จะยากขึ้น
ในขณะที่นิรโทษกรรมนักโทษทางการเมืองดูแล้วจะเป็นไปได้ยากเหลือเกินเพราะว่าร่างไม่ได้เข้าสู่วาระพิจารณา สิ่งหนึ่งที่ฝ่ายบริหารทำได้คือ การกำหนดนโยบายที่สามารถทำได้เลย หากมีความจริงใจที่จะแก้ไขปัญหาหรือเข้าใจผู้ต้องขังทางการเมืองจริงๆ จึงอยากเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้พิจารณาเรื่องนี้ “ให้ลองคิดว่าทุกคนที่อยู่ในเรือนจำเป็นญาติพี่น้องของท่านดูบ้างว่า ถ้าเป็นเช่นนี้ท่านจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร”
ไฟล์แนบ
- จดหมายเปิดผนึกถึงผู้นำฝ่ายค้าน (72 kB)