17 มีนาคม 2568 ที่ประชุมรัฐสภามีมติส่งศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่และการประชามติ “ก่อน” เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ต้องทำในขั้นตอนใด นับเป็นครั้งที่สามที่รัฐสภาได้เคยส่งศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยอำนาจหน้าที่รัฐสภาว่าจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ได้หรือไม่ หลังจากเคยส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญครั้งแรกในปี 2564 และอีกครั้งในปี 2567

การเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อใช้แทนรัฐธรรมนูญ 2560 ถูกกลวิธีเตะถ่วงยื้อเวลากระบวนการต่างๆ มาแล้วหลายครั้ง หนึ่งในกลวิธีเหล่านั้นคือการ “ยืมมือ” ถามศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญอธิบายอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาเอง
2564 : พปชร. – สว. ชุดพิเศษ จับมือชงส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
หลังการเรื่องตั้งทั่วไปเมื่อปี 2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหารได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อเนื่องจากกลไกสำคัญคือ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) 250 คนจากการแต่งตั้ง ที่มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ต่อมาเมื่อปี 2563 หลังการยุบพรรคอนาคตใหม่ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน และสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ประชาชนชุมนุมในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยมีหนึ่งข้อเรียกร้องหลักคือ “จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่” แทนที่รัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งเป็นหนึ่งในผลผลิตจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ภาคประชาชนได้ร่วมกันเข้าชื่อ 100,732 ชื่อเพื่อเสนอร่างแก้รัฐธรรมนูญต่อรัฐสภา โดยมีสาระสำคัญคือตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และมีร่างอีกสองฉบับที่มีสาระสำคัญทำนองเดียวกัน ซึ่งเสนอโดย สส.พรรคพลังประชารัฐ พรรครัฐบาลในขณะนั้น และสส. พรรคเพื่อไทยพรรคฝ่ายค้านในขณะนั้น
ในการพิจารณาร่างแก้รัฐธรรมนูญวาระหนึ่ง เมื่อ 17-18 พฤศจิกายน 2563 ร่างฉบับที่เสนอโดยภาคประชาชนตกไป แต่ร่างที่เสนอโดยสส. พรรคเพื่อไทย และสส. พรรคพลังประชารัฐ ผ่านด่านรับหลักการในวาระหนึ่ง หลังกระบวนการพิจารณาผ่านวาระสองแล้ว ยังไม่ได้เข้าสู่การพิจารณาวาระสาม ไพบูลย์ นิติตะวัน สส. พรรคพลังประชารัฐ ร่วมกับ สมชาย แสวงการ สว. ชุดพิเศษ เสนอญัตติด่วนต่อรัฐสภาเพื่อให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 210 (2) ด้วยคำถามว่า
“รัฐสภามีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่”
ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 4/2564 ตอบในประเด็นนี้ใจความว่า
“หากรัฐสภาต้องการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ต้องทำประชามติถามประชาชนก่อนว่าต้องการหรือไม่ ถ้าเห็นชอบแล้วจึงดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ต่อ เมื่อเสร็จแล้วต้องจัดให้ทำประชามติถามประชาชนในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงนําขึ้นทูลเกล้าฯ ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
2567 : ประธานรัฐสภาไม่กล้าบรรจุวาระ เพื่อไทยใช้แทคติกส่งศาลรัฐธรรมนูญอีกรอบ
หลังการเลือกตั้วทั่วไปในปี 2566 พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลเดิมในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จับมือตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว โดยมีหนึ่งในคำมั่นสัญญาจัดตั้งรัฐบาลคือการเดินหน้าเขียนรัฐธรรมนูญใหม่
ช่วงเดือนมกราคม 2567 ชูศักดิ์ ศิรินิล สส.พรรคเพื่อไทยได้เสนอญัตติให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจาก สส.เพื่อไทยเสนอร่างแก้รัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เข้าสู่รัฐสภา แต่ประธานรัฐสภา วันมูหะมัดนอร์ มะทา ตีกลับไม่บรรจุวาระโดยอ้างว่าคำวินิจฉัยที่ 4/2564 นั้นระบุไว้ว่าจะต้องมีการจัดทำประชามติ “ก่อน” เท่านั้น รัฐสภาจึงจะมีอำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้
โดยญัตติของชูศักดิ์ ศิรินิลในครั้งนั้นส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญสรุปใจความคำถามได้ว่า
- รัฐสภาจะบรรจุวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยที่ยังไม่ได้มีการทำประชามติได้หรือไม่
หากรัฐสภาสามารถบรรจุวาระได้แล้ว
- การทำประชามติสอบถามประชาชนว่าเห็นชอบกับการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่สามารถทำไปพร้อมกับการที่ถามประชาชนว่าเห็นชอบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเพิ่มเติมได้หรือไม่ หรือไม่
- หากไม่ได้จะต้องทำประชาชนในขั้นตอนใด
ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งที่ 21/2567 เมื่อ 17 เมษายน 2567 ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา โดยให้เหตุผลว่า
“การบรรจุระเบียบวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจและหน้าที่ของประธานรัฐสภา คำวินิจฉัยที่ 4/2564 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้โดยละเอียดและชัดเจนแล้ว”
2568 : พายเรือในอ่าง ส่งศาลรัฐธรรมนูญรอบที่สาม
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภามีนัดพิจารณาร่างแก้รัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่สองฉบับ ซึ่งเสนอโดย สส.พรรคเพื่อไทย และอีกฉบับเสนอโดย สส.พรรคประชาชน มีข้อถกเถียงเกิดขึ้นว่า รัฐสภาไม่มีอำนาจในการพิจารณาร่างกฎหมายสองฉบับนี้เนื่องจากยังไม่ได้มีการจัดทำประชามติ ส่งผลให้องค์ประชุมวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ 2568 ต้องล่มไปทั้งสองวัน
ซึ่งเมื่อ 17 มีนาคม 2568 ที่ประชุมรัฐสภามีมติเห็นชอบกับญัตติส่งศาลรัฐธรรมนูญด้วยญัตติในของสว. เปรมศักดิ์ เพียยุระ และวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส. พรรคเพื่อไทย
คำถามในญัตติของเปรมศักดิ์ คือ
- คำถามแรก กระบวนการที่รัฐสภากำลังดำเนินการอยู่ในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่สามารถทำได้หรือไม่
- คำถามที่สอง หากทำได้และรัฐสภาเห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้แล้ว การทำประชามติ ตามมาตรา 256 (8) สามารถทำไปพร้อมกับคำถามว่าประชาชนเห็นชอบให้ให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้หรือไม่
ญัตติของวิสุทธิ์ ไชยณรุณ มีคำถามว่า
“รัฐสภามีอำนาจพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยที่ยังไม่ได้มีการทำประชามติสอบถามประชาชนความต้องการของประชาชนในการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ได้หรือไม่”
ส่งศาลรัฐธรรมนูญซ้ำ ถามเรื่องเดิมอาจถูกปัดตกไม่รับคำร้องเหมือนเดิม
หากดูคำถามที่ใช้ส่งศาลรัฐธรรมนูญสองครั้งหลัง คือในปี 2567 และปี 2568 จะพบว่าคำถามที่ถูกเสนอโดยสส. พรรคเพื่อไทยและ สว. เปรมศักดิ์ ล้วนมีใจความเดียวกันคือ
- ต้องทำประชามติกี่ครั้ง
- ต้องทำประชามติในขั้นตอนไหน
ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 211 วรรคท้าย กำหนดให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 เองก็มีผลผูกพันต่อคำอธิบายอำนาจหน้าที่ในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ของรัฐสภา ซึ่งคำวินิจฉัยดังกล่าวก็ระบุชัดว่าหากรัฐสภาจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องให้ประชาชนประชามติ “ก่อน” และอีกครั้งคือประชามติเมื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่เสร็จ
ขั้นตอนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตั้ง สสร. ยังไม่ใช่การ “จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่” เมื่อรัฐสภาตัดสินใจส่งไปถามเรื่องเดิม แม้ในปี 2567 ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับคำร้องมาแล้ว ในการส่งรอบที่สามนี้ ก็มีโอกาสที่ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับคำร้อง เพราะเคยวินิจฉัยไว้ชัดเจนแล้ว