
17 มีนาคม 2568 ที่ประชุมรัฐสภามีมติส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่และการประชามติ “ก่อน” เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ต้องทำในขั้นตอนใด ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 304 เสียง ไม่เห็นชอบ 150 เสียง งดออกเสียง 124 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง
ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเมื่อ 13-14 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อพิจารณาร่างแก้รัฐธรรมนูญสองฉบับ มีใจความคือตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มาจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ไม่ได้เริ่มพิจารณาและจบลงด้วยปรากฏการณ์ “สภาล่ม” โดยในวันที่ 13 เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา สว. ได้เสนอญัตติด่วน เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่และการประชามติต้องทำขั้นตอนใด อย่างไรก็ดี รัฐสภาก็ยังไม่ได้พิจารณาญัตติดังกล่าว หลังจากนั้น วิสุทธิ์ ไชยณรุณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคเพื่อไทย ก็ได้เสนอญัตติในทำนองเดียวกันมาอีก
วาระการประชุมรัฐสภาในวันที่ 17 มีนาคม 2568 ก่อนที่จะเดินหน้าพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ รัฐสภาได้นัดพิจารณาญัตตินี้ หลังที่ผ่านมามีสส. ฝ่ายรัฐบาล-สว. ยกข้อกังวลว่าหากรัฐสภาพิจารณาร่างแก้รัฐธรรมนูญไปก่อนโดยยังไม่ได้ทำประชามติก่อนเสนอแก้รัฐธรรมนูญ อาจขัดกับคำวินิจฉัยที่ 4/2564
การประชุมเพื่อพิจารณาญัตติดังกล่าวเริ่มขึ้นเวลา 12.06 น. โดยผู้เสนอญัตติทั้งสองรายเริ่มต้นชี้แจงเหตุผลก่อน สว. เปรมศักดิ์ เพียยุระ แจงหลักการของตนว่า คำวินิจฉัยที่ 4/2564 ระบุไว้ว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยวิธียกร่างรัฐธรรมนูญนั้นจะเป็นผลให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งเป็นการยกเลิกหลักการสำคัญ ถ้ารัฐสภาต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องให้ประชาชนลงมติเห็นชอบเสียก่อนจึงจะดำเนินการก่อนได้ เมื่อมีร่างฉบับใหม่แล้วจึงค่อยให้ลงประชามติอีกครั้งหนึ่ง
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการส่งศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่าในกรณีที่ยังไม่มีการจัดทำประชามติ รัฐสภาจะสามารถพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญไปก่อนได้หรือไม่
โดยสรุปแล้วญัตติของ สว.เปรมศักดิ์ แบ่งออกเป็นสองคำถาม
- คำถามแรก คือการถามว่ากระบวนการที่รัฐสภากำลังดำเนินการอยู่ในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่สามารถทำได้หรือไม่
- คำถามที่สอง คือหากทำได้และรัฐสภาเห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้แล้ว การทำประชามติตามมาตรา 256 สามารถทำไปพร้อมกับคำถามว่าประชาชนเห็นชอบให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้หรือไม่
วิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส. พรรคเพื่อไทย อภิปรายหลักการของตนเองว่า ในรัฐสภามีความขัดแย้งกันในการตีความ ฝ่ายหนึ่งเห็นว่ารัฐสภาไม่มีอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่เนื่องจากยังไม่ได้มีการทำประชามติว่าประชาชนเห็นชอบให้มีการจัดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งก็เห็นว่ารัฐสภามีอำนาจหน้าที่เพราะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีหลักเกณฑ์ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เท่านั้นซึ่งสามารถจัดทำประชามติในภายหลังพร้อมกับการทำประชามติตามมาตรา 256 ได้ และถือว่าเป็นการทำประชามติ “ก่อน” การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้เช่นกัน
เมื่อรัฐสภามีความเห็นแย้งกันเช่นนี้ รัฐสภาไม่สามารถดำเนินการต่อได้ จึงถือว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วและยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในปัญหาดังกล่าว
ญัตติของวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส. พรรคเพื่อไทยนั้นมีเพียงคำถามเดียว ใจความว่า “รัฐสภามีอำนาจพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยที่ยังไม่ได้มีการทำประชามติสอบถามประชาชนความต้องการของประชาชนในการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ได้หรือไม่”
ย้ำคิด-ย้ำทำ ถ่วงเวลาเขียนรัฐธรรมนูญใหม่
เทวฤทธิ์ มณีฉาย สว. อภิปรายว่า คำวินิจฉัยที่ 4/2564 วินิจฉัยไว้อย่างละเอียดและชัดเจนแล้ว โดยทำประชามติเพียงสองครั้ง และระบุว่าอย่างชัดเจนว่า “หากรัฐสภาต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” คำถามคือเราจะทราบได้อย่างไรว่ารัฐสภาต้องการ เราจะทราบความต้องการของรัฐสภาก็ต่อเมื่อรัฐสภาเห็นชอบแล้ว เท่ากับว่ากระบวนการที่ติดขัดในรัฐสภาตอนนี้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ตามคำวินิจฉัยที่ 4/2564
หากมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญก็จะทำให้ในอนาคตเกิดปัญหาสมดุลอำนาจระหว่างสถาบันทางการเมือง รัฐสภาจะทำอะไรก็ต้องมีการถามศาลรัฐธรรมนูญทุกครั้งไป
พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. พรรคประชาชน อภิรายว่าการส่งไปศาลรัฐธรรมนูญไม่มีความจำเป็น รัฐสภาสามารถเดินหน้าต่อไปเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยทำประชามติเพียงสองครั้งก็ไม่ได้ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด พริษฐ์นำเสนอสามประการหลักเพื่อสนับสนุนการทำประชามติสองครั้ง
- คำวินิจฉัยส่วนตนที่ตุลาการเสียงข้างมากห้าคนระบุว่าการทำประชามติสองครั้งเพียงพอ มีเพียงคนเดียวที่บอกว่าต้องทำสามครั้งเท่านั้น อีกสองคนระบุไว้คล้ายกับคำวินิจฉัยกลาง ส่วนอีกคนหนึ่งที่ระบุว่าทำรัฐธรรมนูญใหม่ไม่ได้เลย
- ภาพอินโฟของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญที่สรุปคำวินิจฉัยที่ 4/2564 ไม่ได้ระบุว่าต้องทำประชามติก่อนแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 256
- ผลการหารืออย่างไม่เป็นทางการกับประธานศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีข้อขัดแย้งใดเลยว่าต้องทำประชามติถึงสามครั้ง
ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส. พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นอภิปรายว่า ยืนยันว่าการส่งศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่การเตะถ่วงหรือเยื้อเวลาการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่แต่จะเป็นการทำให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น เพื่อให้ “ทำได้” ไม่ใช่แค่ “ได้ทำ”
จาตุรนต์ ฉายแสง สส. พรรคเพื่อไทยระบุว่า สาเหตุหลักที่ต้องการให้มีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญคือการตัด “ข้ออ้าง” หรือข้อกังวลของหลายฝ่ายที่กังวลต่อการที่ยังไม่มีการทำประชามติซึ่งกังวลจนประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมกับกระบวนการเมื่อวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ จาตุรนต์เชื่อว่าการส่งศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นการลดอุปสรรคให้น้อยลงและจะเพิ่มโอกาสในการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่
หลังอภิปรายครบถ้วนทุกฝ่าย เวลา 17.35 น. ที่ประชุมรัฐสภาลงมติเห็นชอบให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 304 เสียง ไม่เห็นชอบ 150 เสียง งดออกเสียง 124 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง กระบวนการต่อไปต้องจับตาดูว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องหรือไม่ โดยในปี 2567 ที่ประชุมรัฐสภาเคยส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญในกรณีเกี่ยวกับการทำประชามติเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ใช้เวลาราวหนึ่งเดือนก่อนศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งที่ 21/2567 ไม่รับคำร้อง