สามฉากทัศน์หลังรัฐสภาเห็นชอบส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย “เขียนรัฐธรรมนูญใหม่” ซ้ำรอบสาม

17 มีนาคม 2568 ที่ประชุมร่วมรัฐสภามีมติโดยเสียงข้างมากเห็นชอบในญัตติของเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภาและวิสุทธิ์ ไชยณรุณ พรรคเพื่อไทยให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความในรายละเอียดจำนวนครั้งและขั้นตอนการทำประชามติเพื่อเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ที่ผ่านมาแม้ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 จะมีความชัดเจนเรื่องดังกล่าวแล้ว แต่สมาชิกรัฐสภาบางส่วนยังมีความพยายามที่จะตั้ง “ข้อสงสัย” ขั้นตอนการดำเนินการ โดยเฉพาะประเด็นว่ารัฐสภาสามารถพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ก่อนการทำประชามติครั้งแรกได้หรือไม่ ซึ่งนำไปสู่การยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญซ้ำๆ และการเล่นเกมสภาล่มในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 

การส่งเรื่องให้ศาลตีความครั้งที่สามนี้สะท้อนให้เห็นถึงการใช้กระบวนการทางกฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการ “ถ่วงเวลา” กระบวนการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่

สำหรับคำร้องในวันที่ 17 มีนาคม 2568 ถือเป็นคำร้องที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ครั้งที่สามในรอบสี่ปี โดยครั้งแรกศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 4/2564 สรุปว่า รัฐสภามีหน้าที่และอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ และเขียนชัดเจนว่า ต้องทำประชามติสองครั้ง หลังจากนั้นประธานรัฐสภาไม่ยอมบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อเปิดทางการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย สสร. เข้าสู่วาระการพิจารณาอ้างว่า จะขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564

ต่อมาวันที่ 29 มีนาคม 2567 รัฐสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในรายละเอียดอีกว่า รัฐสภามีอำนาจบรรจุและพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยยังไม่มีการออกเสียงประชามติได้หรือไม่ และถามลงในรายละเอียดของขั้นตอนการทำประชามติ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องระบุว่า วินิจฉัยโดยละเอียดและชัดเจนแล้ว ต่อมาประธานรัฐสภาบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญและนัดประชุมร่วมกันของรัฐสภาในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568  ระหว่างนี้สมาชิกรัฐสภาเกิด “ข้อสงสัย” ในประเด็นหน้าที่และอำนาจการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภาอีกครั้ง กังขาในรายละเอียดจำนวนครั้งและขั้นตอนของการทำประชามติ โดยพยายามจะยื่นญัตติด่วนขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเพิ่มเติมในรายละเอียดอีกรอบและนำมาสู่เกมสภาล่มสองวันติด

ญัตติด่วนทั้งสองญัตติของเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา และวิสุทธิ์ ไชยณรุณ พรรคเพื่อไทยเป็นญัตติที่มีรายละเอียดคำถามที่คล้ายคลึงกับคำถามตามญัตติของชูศักดิ์ ศิรินิล พรรคเพื่อไทยที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัยในปี 2567 พยายามขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความจำนวนครั้งและขั้นตอนการทำประชามติเพื่อเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ โดยยังยึดคำถามหลักเดิมที่ว่า รัฐสภาจะดำเนินการการเกี่ยวกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 โดยไม่มีผลประชามติก่อนได้หรือไม่ 

โดยหลังจากนี้ศาลรัฐธรรมนูญอาจมีคำสั่งและวินิจฉัยออกมาเป็นสามแนวทาง ซึ่งไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ก็มีแนวโน้มที่จะทำให้การเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ล่าช้าออกไป และอาจไม่ทันในสมัยรัฐบาลปัจจุบัน สำหรับสามฉากทัศน์ที่จะเกิดขึ้นมีดังนี้

หนึ่ง ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา

ตามคำร้องเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2567 เป็นกระบวนการที่ใช้เวลานับแต่วันที่รัฐสภามีมติจนถึงวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณารวม 19 วัน ศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า คำร้องมีสาระสำคัญเป็นเพียงข้อสงสัยและขอให้ศาลรัฐธรรมนูญอธิบายเนื้อหาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยโดยละเอียดและชัดเจนแล้ว ไม่ใช่กรณีปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาที่เกิดขึ้นแล้วตามมาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งเช่นเดียวกันอีกครั้งก็อาจส่งผลให้การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ไม่สามารถพิจารณาได้ในสมัยประชุมนี้ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 11 เมษายน 2568 

สอง  รับคำร้องไว้พิจารณาและวินิจฉัยในแนวทางเดิมว่า ทำประชามติสองครั้ง

หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า คำร้องมีบริบทที่แตกต่างออกไปจากคำร้องเดิมของชูศักดิ์ในปี 2567 รับคำร้องไว้พิจารณาและวินิจฉัยออกมาที่มีผลเช่นเดิมว่า รัฐสภามีหน้าที่และอำนาจในการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ได้ก่อนมีผลประชามติ จะเป็นการทำให้วาระพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ต้องล่าช้าโดยไม่จำเป็น อ้างอิงจากระยะเวลาตามคำวินิจฉัยที่ 4/2564 นับแต่วันที่รัฐสภามีมติเห็นชอบแล้วรวม 30 วัน ซึ่งคาดการณ์ว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามคำร้องไม่ทันสมัยประชุมนี้ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 11 เมษายน 2568 แม้การพิจารณาคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญจะต้องเป็นไปด้วยความรวดเร็ว แต่ไม่มีการประกันว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะใช้เวลาเท่าใดในการพิจารณาคำร้องดังกล่าว หากศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาวินิจฉัยหลายเดือนก็ยิ่งจะทำให้วาระแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ล่าช้าออกไปมากขึ้นอีก

สาม รับคำร้องไว้พิจารณา และวินิจฉัยในแนวทางใหม่ประชามติสามครั้ง

นอกจากการใช้ระยะเวลาพิจารณาอันอาจเป็นผลให้เริ่มกระบวนการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ไม่ทันรัฐบาลนี้แล้ว ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในแนวทางใหม่ว่า ก่อนการพิจารณาและลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ต้องมีผลการออกเสียงประชามติว่าประชาชนต้องการจะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ส่งผลให้ต้องทำประชามติสามครั้งไม่ใช่สองครั้งตามคำวินิจฉัยที่ 4/2564 จะส่งผลกระทบต่อบรรทัดฐานเดิมที่ศาลรัฐธรรมนูญวางไว้ 

เนื่องจากในคำสั่งไม่รับคำร้องของรัฐสภาไว้พิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2567 ระบุว่า ศาลวินิจฉัยในคำวินิจฉัยที่ 4/2564 โดยละเอียดและชัดเจนแล้ว ในเนื้อหาว่าด้วยจำนวนครั้งของการทำประชามติ คำวินิจฉัยระบุว่า ต้องให้ประชาชนลงประชามติ “เสียก่อน” และหลังทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้วก็ทำประชามติ “อีกครั้งหนึ่ง” คำว่า “อีกครั้งหนึ่ง” อันเป็นคำสุดท้ายของคำวินิจฉัยฉบับนี้จึงทำให้เห็นชัดแล้วว่า ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ทำประชามติสองครั้ง ไม่เพียงเท่านั้นในคำวินิจฉัยส่วนตนพบว่า ตุลาการเสียงข้างมากหกคน เห็นว่าต้องทำประชามติสองครั้ง 

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2564 สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้จัดทำและเผยแพร่ภาพอินโฟกราฟฟิก อธิบายคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 ว่ารัฐสภาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ และวาดผังขั้นตอนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่แสดงว่ามีการทำประชามติทั้งหมดสองครั้ง ในข้อถกเถียงประเด็นนี้จึงชัดเจนว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยชัดเจนถือเป็นที่ยุติแล้ว

📍ร่วมรณรงค์

JOIN : ILAW CLUB

ช่องทางการติดตาม

FACEBOOK PAGE

วิดีโอแนะนำ

Amnestypeople.com
Join iLaw club
Facebook Fanpage
Trending post