พริษฐ์มองรัฐบาลขาดเจตจำนงจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ขอแพทองธารแสดงภาวะผู้นำ

17 มีนาคม 2568 ที่ประชุมร่วมของรัฐสภาพิจารณาญัตติของเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภาและวิสุทธิ์ ไชยณรุณ พรรคเพื่อไทย โดยจะเป็นการขอมติเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยรายละเอียดเพิ่มเติมจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 ว่าด้วยขั้นตอนและจำนวนครั้งของการออกเสียงประชามติเพื่อเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ หลังผู้เสนอญัตติทั้งสองคนอภิปราย มีสมาชิกรัฐสภาอภิปรายเสนอข้อมูลเพิ่มเติม หนึ่งในนั้นคือ พริษฐ์ วัชรสินธุ์ พรรคประชาชนผู้เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 อภิปรายถึงข้อมูลสนับสนุนคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 เขายืนยันว่า รัฐสภาสามารถพิจารณาร่างแก้ไขดังกล่าวได้และการออกเสียงประชามติจะทำสองครั้งไม่ใช่สามครั้ง

พริษฐ์ยกหลักฐานสนับสนุนเช่น คำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อินโฟกราฟิกของศาลรัฐธรรมนูญและการสรุปการพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการอีกท่านหนึ่งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 เขาระบุว่า ไม่มีใครในที่ประชุมวันดังกล่าวเสนอขึ้นมาว่า จำเป็นจะต้องมีการทำประชามติสามครั้ง และไม่มีการทักท้วงว่าขั้นตอนการดำเนินการของพรรคประชาชนเสนอกันในวันนี้ขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

นอกจากนี้ยังมองว่า การส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่ทางออกที่แท้จริง เนื่องจากอุปสรรคหลักอยู่ที่เจตจำนงทางการเมืองของพรรคร่วมรัฐบาลและ ส.ว. มากกว่าข้อกังวลทางกฎหมาย เขาตั้งข้อสังเกตว่า หากข้อกังวลทางกฎหมายเป็นอุปสรรคจริง ทำไม ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลกว่า 60 คนและ ส.ว. กว่าร้อยคนถึงไม่มาลงมติสนับสนุนการส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญในครั้งก่อน และแม้ศาลจะวินิจฉัยให้เดินหน้าได้ ก็ไม่มีหลักประกันว่ากลุ่มนี้จะมาลงมติสนับสนุนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นอกจากนี้ยังตั้งคำถามถึงบทบาทของนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลว่าได้พยายามโน้มน้าวพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่

ในตอนท้ายเขาย้ำว่า การส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญนั้นไม่จำเป็น เพราะร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญสอดคล้องกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 อยู่แล้ว และไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาเพราะอุปสรรคที่แท้จริงคือเจตจำนงทางการเมือง ทางออกจึงไม่ได้อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีต้องแสดงภาวะผู้นำในการสร้างเอกภาพระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อผลักดันนโยบายการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้สำเร็จ

พริษฐ์มองรัฐบาลขาดเจตจำนงจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ขอแพทองธารแสดงภาวะผู้นำ

“ผมเห็นว่าการส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญนั้นไม่เพียงพอต่อการจะทำให้เราสามารถประสบความสำเร็จในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ ที่ผมพูดแบบนี้เพราะแม้ผมเชื่อว่ามีสมาชิกบางท่านที่มีข้อกังวลทางกฎหมายจริงๆก็เลยอยากจะใช้กลไกในการส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญเพื่อคลี่คลายข้อกังวลของตัวท่านแต่ผมก็เชื่อเช่นเดียวกันว่าก็มีสมาชิกบางท่านในที่นี้ ที่ความจริงแล้วลึกๆแล้วไม่ได้สนใจหรือกังวลข้อกฎหมายหรอก แต่ลึกๆแล้วไม่ได้อยากแก้รัฐธรรมนูญก็ต้องเลยพยายามค้นหาข้อกังวลทางกฎหมายให้เจอเพื่อจะใช้กระบวนการในการส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อชะลอกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อหวังว่า การดึงบทสนทนามาคุยกันเรื่องเทคนิคทางกฎหมายจะทำให้สังคมหลงลืมไปว่าเรากำลังแก้รัฐธรรมนูญเพื่ออะไร เพื่อยกระดับกลไกการปราบโกงเพื่อปลดล็อกท้องถิ่น เพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของพี่น้องประชาชน 

ดังนั้นวันนี้ในที่ประชุมแห่งนี้ เราจำเป็นที่ต้องเอาความจริงมาพูดกันว่า อุปสรรคหลักที่ทำให้เรายังไม่ประสบความสำเร็จในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มันไม่ใช่ข้อกังวลทางกฎหมาย แต่มันคือเจตจำนงทางการเมืองของทุกฝ่ายในซีกรัฐบาล ซึ่งกระบวนการในการส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถแก้ไขให้กับท่านได้ เหตุการณ์ที่ผ่านมา…ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาทำให้เราสามารถตั้งคำถามได้หลายคำถามเลยเกี่ยวกับเจตจำนงทางการเมืองของแต่ละฝ่ายในซีกรัฐบาล ผมตั้งเพียงแค่สองคำถามเท่านั้น 

คำถามที่หนึ่ง ผมอยากจะตั้งคำถามไปถึงเจตจำนงทางการเมืองของพรรคร่วมรัฐบาลและสว. ที่อาจจะมีความคิดคล้ายๆกัน หากเราเชื่อว่า สิ่งเดียวที่ทำให้พรรคร่วมรัฐบาล และสว. ที่อาจจะคิดคล้ายๆกันหรือผมขออนุญาตใช้คำว่า “สว.หัวใจเดียว” กันนั้น คือกังวลว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นอาจจะไปติดที่ข้อจำกัดทางกฎหมาย หากเขาเชื่อว่า สิ่งเดียวคือปัญหาข้อกฎหมาย หากเราเชื่อว่าสิ่งเดียวที่จะทำให้เขาพร้อมเดินหน้าสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญ หรือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นคือการหาความชัดเจนเรื่องข้อกฎหมายจากศาลรัฐธรรมนูญ แล้วทำไมเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว สส.พรรคร่วมรัฐบาลกว่า 60 คน และ สว. ที่เค้าว่ากันว่า “หัวใจเดียวกัน” กว่าร้อยคนกลับไม่มาลงมติสนับสนุนเพื่อเร่งการส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นครับหากวันนี้ ทั้งสส.และสว.กลุ่มดังกล่าวยังไม่มาลงมติสนับสนุนการส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ผมคิดว่ามันก็ชัดเจนแล้วว่า อุปสรรคที่เขามี สิ่งที่เขาติดขัดนั้นมันไม่ใช่เรื่องของข้อกังวลทางกฎหมายที่เขาต้องการให้ศาลรัฐธรรมนูญมาคลี่คลายแล้วหากเป็นเช่นนั้นจริงก็ไม่มีอะไรรับประกันว่า ถึงแม้ส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญแล้วศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกลับมาให้เดินหน้าต่อได้ สส. และ สว. กลุ่มนี้จะมาร่วมลงมติสนับสนุนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่…

 คำถามที่สองที่จำเป็นต้องถาม คือการตั้งคำถามไปถึงเจตจำนงของท่านนายกรัฐมนตรีเพราะก่อนที่เราจะต้องมาเถียงกันในวันนี้ว่าจะส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ สังคมเขาก็สงสัยว่าท่านนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารได้ทำอะไรไปบ้างแล้วหรือยังในการพยายามจะคลี่คลายข้อกังวลของพรรคร่วมรัฐบาล เพราะถ้าเรานับกันจากวันที่ทางประธานรัฐสภาบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนมาจนถึงวันประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาวาระหนึ่งของร่างแก้ไขดังกล่าวเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว ผมนับดูแล้วครับ ท่านนายกมีเวลาถึงสองเดือนนะในการพยายามจะโน้มน้าวพรรคร่วมรัฐบาล แต่สิ่งที่เราเห็นคืออะไร? ร่างของคณะรัฐมนตรีก็ไม่มีเสนอเข้ามา ทั้งๆที่เป็นนโยบายของรัฐบาลเพียงแค่จะเอาเรื่องนี้ไปคุยกันในที่ประชุมครม.ผมก็เข้าใจว่าท่านนายกฯ ก็ไม่ได้ทำ ที่พูดแบบนี้เพราะว่าพอสื่อมวลชนไปสัมภาษณ์ท่านนายกฯ บ่ายในวันเดียวกันกับที่ประชุมสภาเพิ่งล่มไป สื่อมวลชนถามท่านนายกฯว่าได้คุยกับพรรคร่วมรัฐบาลมาก่อนหน้านั้นหรือไม่ ท่านนายกฯตอบกลับว่า คุยแล้วแต่ในเย็นวันเดียวกันครับ ผ่านไปไม่ถึง 4 5 6 ชั่วโมง ท่านรองนายกฯ ท่านอนุทิน…ให้สัมภาษณ์์ผ่านรายการออนไลน์ว่า ท่านนายกฯนั้นไม่เคยนำเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาคุยกับท่านเลย

ผมไม่รู้นะว่าใครพูดจริงใครพูดไม่จริง ผมเข้าใจดีว่า แม้ท่านนายกฯไปคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลแล้วก็ไม่ได้มีอะไรรับประกันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะเห็นตาม แต่ถ้าขนาดสส.จากซีกฝ่ายค้านอย่างผมยังสามารถโน้มน้าวทางประธานรัฐสภาให้บรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เลยว่า ทำประชามติ 2 ครั้งนั้นเพียงพอแล้ว ทำไมนายกฯในฐานะ หัวหน้ารัฐบาลไม่สามารถโน้มน้าวพรรคร่วมรัฐบาลภายในครม.ของตนเองได้

ดังนั้นท่านประธาน ถ้าผู้เสนอญัตติจากพรรคแกนนำรัฐบาลในวันนี้ หวังว่า การส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญจะแก้ไขปัญหาทั้งหมดให้กับเขา ผมเรียนตามตรงว่าอยากให้ท่านนั้นทบทวนใหม่ เพราะหากศาลรัฐธรรมนูญให้คำตอบชัดเจนกลับมาว่าสามารถเดินหน้าพิจารณา ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญและทำประชามติสองครั้งได้ก็ไม่มีอะไร รับประกันว่า สส. พรรคร่วมรัฐบาล และ สว. ที่หัวใจเดียวกันนั้นจะมาโหวตสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับเรื่องสสร. หากเขาไม่แม้กระทั่งสนับสนุนสติในการส่งเรื่องศาลรัฐธรรมนูญท่านในวันนี้ แต่หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินใจไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้วินิจฉัยเหมือนกับที่เคยตัดสินใจตอนต้นปี ‘67 หรือแม้จะรับไว้แต่ก็ไม่ได้วินิจฉัยอะไรที่ชัดเจนเพิ่มเติมกว่าที่เคยวินิจฉัยไว้แล้วในปี 2564 เราก็จะกลับมาอยู่ที่จุดเดิมที่เราอยู่กันในวันนี้ท่านประธานที่ต้องอาศัยเจตจำนงของท่านนายกฯ ในการโน้มน้าวสมาชิกรัฐสภาทุกคนในซีกของรัฐบาล ซึ่งภารกิจดังกล่าวนั้นไม่มีศาลรัฐธรรมนูญที่ไหนไปช่วยท่านนายกฯได้ 

ดังนั้นครับผมทิ้งท้ายแบบนี้…ประการที่หนึ่ง ผมเห็นว่าการส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญนั้นไม่มีความจำเป็นเพราะสิ่งที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนเสนอให้รัฐสภาดำเนินการนั้นสอดคล้องกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญทุกประการ แต่ประการที่สองผมเห็นว่าการส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญนั้นก็ไม่เพียงพอเช่นกันต่อการแก้ไขปัญหาเพราะอุปสรรคหลักของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ข้อกังวลทางกฎหมาย แต่อยู่ที่เจตจำนงทางการเมืองของรัฐบาล ทางออกเรื่องนี้เลยไม่ได้อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ทางออกเรื่องนี้อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล ดังนั้นผมเลยเห็นว่า สิ่งที่รัฐสภาควรจะทำกันมากกว่าในวันนี้คือการส่งสัญญาณดังๆไปถึงทำเนียบรัฐบาลว่าถึงเวลาแล้วที่ท่านนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร จะต้องแสดงภาวะความเป็นผู้นำ และแสดงความเป็นเจ้าภาพในการสร้างเอกภาพระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อผลักดันนโยบายเรือธงของตนเองในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้สำเร็จ”

📍ร่วมรณรงค์

JOIN : ILAW CLUB

ช่องทางการติดตาม

FACEBOOK PAGE

วิดีโอแนะนำ

Amnestypeople.com
Join iLaw club
Facebook Fanpage
Trending post