17 มีนาคม 2568 ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภามีวาระพิจารณาการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ฉบับต่อ หลังองค์ประชุม “ล่ม” เมื่อวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ 2568 แต่ในวาระการประชุมครั้งนี้ ไม่ได้มีการเตรียมพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อเดินหน้าจัดตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) เนื่องจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวนหนึ่ง และพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลเห็นว่าจำเป็นต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อนว่า กระบวนการนี้จะเดินหน้าไปโดยยังไม่ได้ทำประชามติก่อนได้หรือไม่

ก่อนหน้านี้ในวันที่ 13 – 14 กุมภาพันธ์ 2568 รัฐสภามีนัดสำคัญในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งในวาระดังกล่าวมีร่างสองฉบับ คือ ของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน แต่ยังไม่ทันจะได้พิจารณาในเนื้อหารายละเอียดของร่างที่เสนอทั้งสองฉบับ เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. เสนอญัตติด่วนให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาว่าจะส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อนหรือไม่ แต่ในท้ายที่สุดที่ประชุมก็มีมติเสียงข้างมากไม่เลื่อนญัตติของ สว. เปรมศักดิ์ขึ้นมาพิจารณาก่อน
ประเด็นข้อถกเถียงที่ถูกยกขึ้นมา คือ พรรคภูมิใจไทยและสว. จำนวนหนึ่งนั้นยืนยันการตีความคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 ที่แตกต่างกับประธานรัฐสภา พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน โดยฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยตีความว่าในคำวินิจฉัยระบุให้ทำประชามติ “ก่อน” ที่รัฐสภาจะพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งทำให้ต้องทำประชามติสามครั้ง หากยังไม่ได้มีการทำประชามติก่อนก็อาจทำให้การพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้
ส่วนอีกฝ่ายตีความว่าในคำว่า “ก่อน” ของศาลรัฐธรรมนูญนั้นหมายถึงก่อนมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งสามารถนับรวมกับการทำประชามติที่บังคับไว้อยู่แล้วตามมาตรา 256(8) หลังจากที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้อยู่อยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้การทำประชามติที่จำเป็นเหลือเพียงสองครั้งไม่มากจนเกินไป
หลัง สว. เปรมศักดิ์ แพ้มติเลื่อนให้นำญัตติส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยขึ้นมาพิจารณาก่อน ก็ได้มีการเดินเกมนับองค์ประชุม ซึ่ง สส.พรรครัฐบาลเกือบทั้งหมดวอล์คเอาท์ และไม่แสดงตนเข้าร่วมประชุม จนเป็นเหตุให้การประชุมในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ต้องล่มไปเพราะขาดองค์ประชุม และล่มซ้ำอีกครั้งในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568
ซึ่งในวันที่ 17 มีนาคม 2568 นี้ ที่ประชุมรัฐสภาจะ “ยัง” ไม่พิจารณาถึงเนื้อหาและรายละเอียดของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งสองร่างก่อน โดยวิปรัฐบาล-ฝ่ายค้าน-สว. ได้ประชุมหารือกันว่าในวันที่ 17 มีนาคม 2568 นี้จะเป็นการพิจารณาญัตติส่งศาลรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งประกอบไปด้วยสองญัตติ คือ
- ญัตติส่งศาลรัฐธรรมนูญที่ค้างอยู่ในวาระการประชุมของ สว. เปรมศักดิ์ เพียยุระ
- ญัตติใหม่ที่ถูกเสนอโดยวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคเพื่อไทย
สองญัตตินี้มีแม้ว่าจะมีเป้าหมายเดียวกันคือการให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ก็มีความต่างกันในคำถามที่จะส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ โดยสรุปแล้วญัตติของ สว.เปรมศักดิ์ แบ่งออกเป็นสองคำถาม
- คำถามแรก คือการถามว่ากระบวนการที่รัฐสภากำลังดำเนินการอยู่ในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่สามารถทำได้หรือไม่
- คำถามที่สอง คือหากทำได้และรัฐสภาเห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้แล้ว การทำประชามติตามมาตรา 256 สามารถทำไปพร้อมกับคำถามว่าประชาชนเห็นชอบให้ให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้หรือไม่
ส่วนในญัตติของวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส. พรรคเพื่อไทยนั้นมีเพียงคำถามเดียว สรุปใจความได้ว่า
“รัฐสภามีอำนาจพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยที่ยังไม่ได้มีการทำประชามติสอบถามประชาชนความต้องการของประชาชนในการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ได้หรือไม่”
ก่อนหน้านี้ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 เมื่อรัฐสภาลงมติกันว่า จะเลื่อนญัตติของเปรมศักดิ์ ขึ้นมาพิจารณาก่อนหรือไม่ เสียงส่วนใหญ่ของรัฐสภานำโดยพรรคประชาชน 137 เสียง กับ สว. 135 เสียง รวมกับพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ ยกเว้นพรรคพลังประชารัฐ รวมทั้งสิ้นเป็น 275 เสียง ลงมติให้ไม่เลื่อนขึ้นมา และให้พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เข้าสู่เนื้อหาต่อไปได้เลย ขณะที่ฝ่ายโหวตให้เลื่อนขึ้นมาพิจารณาก่อนนำโดยสส. พรรคเพื่อไทย 130 เสียง พรรคกล้าธรรม 24 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ 20 เสียง ขณะที่ สว. เห็นด้วย 35 เสียง เท่านั้น ทำให้แพ้ญัตตินี้ไป ด้วย 248 เสียง ซึ่งสส.พรรคภูมิใจไทย และสส.พรรคพลังประชารัฐ ไม่เข้าประชุม ขณะที่สส.พรรคร่วมไทยสร้างชาติ สส.พรรคประชาธิปัตย์ ลงมติกระจัดกระจาย
ผลการลงมติในเรื่องนี้เมื่อเดือนก่อนทำให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยคุมเสียงสส. ในฝ่ายรัฐบาลไม่ได้ และคุมเสียงข้างมากของรัฐสภาไม่ได้ ดังนั้น ในการเสนอเรื่องที่มีประเด็นทำนองเดิมเข้าสู่การลงมติครั้งใหม่ หมายความว่าพรรคเพื่อไทยต้องไปเจรจาหาเสียงสนับสนุนเพิ่ม ทั้งจากสส. และสว. อีกอย่างน้อย 30 เสียง หากสามารถเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างภูมิใจไทยให้เปลี่ยนใจมาร่วมลงมติได้ก็จะมีโอกาสชนะสูง แต่หากยังเจรจาเพื่อหาเสียงสนับสนุนเพิ่มไม่ได้พรรคเพื่อไทยที่กำลังเป็นแกนนำรัฐบาลก็อาจจะต้องหน้าแตกซ้ำสอง กระบวนการส่งเรื่องใหญ่ศาลรัฐธรรมนูญก็ไปต่อไม่ได้ และกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็จะไปต่อไม่ได้
สำหรับความเห็นของศาลรัฐธรรมนูญต่อกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น ต้องยืนยันว่า ข้อขัดแย้งนี้เริ่มขึ้นในปี 2564 เป็นประเด็นที่เสนอโดยสส.พรรคพลังประชารัฐ และกลุ่มสว. ที่มาจากคสช. ซึ่งต้องการปกป้องรัฐธรรมนูญ 2560 ให้อยู่ต่อไป จึงตั้งประเด็นว่ารัฐสภาอาจไม่มีอำนาจในการลงมติให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ และส่งเรื่องไปถามศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็ตอบมาแล้วเป็นคำวินิจฉัยที่ 4/2564 ว่า รัฐสภามีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ โดยต้องทำประชามติ “ก่อน” และ “หลัง” ซึ่งพิจารณาจากคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน ก็พบว่า เสียงส่วนใหญ่ชี้ชัดแล้วว่าจะต้องทำประชามติรวมแล้วสองครั้ง
แต่ต่อมาก็ยังมีข้อถกเถียงในประเด็นนี้เกิดขึ้นอีกว่าจะต้องทำประชามติสามครั้งหรือสองครั้ง และในปี 2567 รัฐสภาก็ลงมติให้ส่งเรื่องไปถามศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็ชี้ว่า เรื่องนี้เคยวินิจฉัยไปแล้วจึงไม่รับวินิจฉัยซ้ำอีก
ดังนั้นการนำประเด็นข้อถกเถียงนี้เข้าสู่รัฐสภาในวาระวันที่ 17 มีนาคม 2568 จะเป็นการพิจารณาว่าจะส่งเรื่องเดิมไปถามศาลรัฐธรรมนูญอีกเป็นครั้งที่สาม หรือไม่