8 มีนาคม 2568 มีการจัดงาน Stand Together ep.12 เพื่อให้กำลังใจจำเลยในคดีทางการเมืองที่กำลังจะต้องไปรับฟังคำพิพากษาในเดือนนี้ ซึ่งมีทั้งคดีของอานนท์ นำภา จำเลยที่อยู่ในเรือนจำมากกว่าหนึ่งปี คดีของพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิ้นที่ลี้ภัยไปต่างประเทศแล้ว ในงานนี้จึงชวนจำเลยคนอื่นๆ ที่ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ด้วยและกำลังจะต้องเผชิญคำพิพากษาคดีจากการชุมนุมอื่นๆ ในเดือนนี้มาพูดคุยกัน เพื่อให้เห็นมิติมากขึ้นถึงผลกระทบของคดีทางการเมืองที่ไม่มีวันจบสิ้น ท่ามกลางความเงียบงันของการออกกฎหมายนิรโทษกรรม

อั๋ว จุฑาทิพย์ หางานทำลำบาก เดินทางไปต่างประเทศยังติดแบล็กลิสต์
จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ หรืออั๋ว ซึ่งถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 ด้วยหนึ่งคดีแต่ยังไม่มีคำพิพากษา กำลังมีนัดฟังคำพิพากษาในคดีฐานฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ประกาศใช้เพื่อควบคุมโรคโควิด 2019 จากการที่เธอไปย้ายกระถางต้นไม้บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในการชุมนุมวันที่ 14 ตุลาคม 2563 ซึ่งศาลแขวงดุสิตนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 25 มีนาคม 2568
จุฑาทิพย์ กล่าวว่า เหตุการณ์นี้ก็ผ่านมาเกือบห้าปีแล้ว ในวันเกิดเหตุปี 2563 กระแสการชุมนุมของกลุ่ม “ราษฎร” กำลังได้รับความสนใจและมีความหวังว่าจะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงได้ เรานัดชุมนุมกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและเตรียมเคลื่อนขบวนไปทำเนียบรัฐบาล ซึ่งบริเวณโดยรอบก่อนหน้าวันนัดหมายก็มีพื้นที่ให้ยืนได้แต่พอถึงวันชุมนุมมีการเอากระถางต้นไม้มาวาง เป็นการปิดกั้นแบบเล็กๆ น้อยๆ ประชาชนจำนวนหนึ่งก็ช่วยกันเอากระถางต้นไม้หลบออก เพื่อที่เราจะไม่ต้องเหยียบต้นไม้ ไม่ต้องให้ต้นไม้ตาย เหตุการณ์นี้เป็นที่มาให้ถูกดำเนินคดีฐานฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
กิจกรรมที่เกิดขึ้นในวันที่ทำให้อั๋วถูกดำเนินคดีนั้นเป็นการชุมนุมใหญ่ ที่ในวันเดียวกันเกิดเหตุการณ์มากมาย มีความรุนแรง มีการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุม มีคนถูกดำเนินคดีฐานประทุษร้ายพระราชินีตามมาตรา 110 ไม่มีใครเป็นผู้นำการชุมนุมที่ชัดเจน และมีการเข้าสลายการชุมนุม จับกุมคนที่ตำรวจคิดว่าเป็นแกนนำ เรียกได้ว่าเป็นวันที่เกิดการดำเนินคดีตามมามากมาย
จุฑาทิพย์เล่าว่า สำหรับตัวเธออาจจะถือว่าโชคดี แต่ก็ยังรู้สึกแปลกๆ เพราะเธอยังได้รับประกันตัวแล้วก็ออกมาต่อสู้คดี แต่เรื่องที่เป็นปัญหาหลักสำหรับเธอ คือ เรื่องการหางานทำ เพราะตอนที่มีการชุมนุมนั้นเธอยังเป็นนักศึกษาอยู่ เมื่อเรียนจบออกมาก็ต้องว่างงานอยู่ 5-6 เดือน โดยเมื่อได้งานทำแล้วก็ยังต้องทำงานไปพร้อมกับความกังวลว่า จากคดีที่มีอยู่นั้นไม่แน่ใจว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร จึงต้องรีบทำงานเพื่อเก็บเงินไว้เผื่ออนาคตด้วย
ผลกระทบสำคัญที่เกิดขึ้นกับจุฑาทิพย์ มาจากการถูกศาลสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศและถูกเพิกถอนหนังสือเดินทาง เนื่องจากมีช่วงหนึ่งที่เธอเป็นที่รู้จักในฐานะผู้จัดและนัดหมายการชุมนุม แม้จุฑาทิพย์เคยคิดว่าอยากเรียนต่อ อยากมีโอกาสไปเรียนปริญญาโทที่ต่างประเทศเช่นเดียวกับเพื่อนรุ่นเดียวกันหลายคน แต่ด้วยเงื่อนไขที่เมื่อถูกดำเนินคดีแล้วถูกเพิกถอนหนังสือเดินทาง ทำให้เดินทางออกนอกประเทศไม่ได้ ทำให้เธอไม่มีโอกาสนั้น รวมถึงการเดินทางไปท่องเที่ยว หรือการทำงานก็เป็นเรื่องยากลำบาก แม้ภายหลังเงื่อนไขดังกล่าวถูกยกเลิกและตามกฎหมายเธอก็สามารถทำหนังสือเดินทางเพื่อไปต่างประเทศได้แล้ว แต่ในทางปฏิบัติสิทธิของเธอยังไม่คืนมาเต็มที่

จุฑาทิพย์ เล่าว่า เมื่อเธอไปติดต่อทำพาสปอร์ตตามระบบปกติเจ้าหน้าที่ก็พาแยกตัวออกไป คนอื่นก็เห็นว่ามีการปฏิบัติไม่เหมือนกันโดยเขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทำให้สำหรับเธอแล้วรู้สึกเหมือนขั้นตอนเหล่านี้เป็นการประจาน ปัญหาหลักที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมานั้นเนื่องจากหลังเธอเคลียร์คดีความของตัวเองได้ข้อมูลในระบบราชการก็ยังไม่เชื่อมโยงกัน หน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองยังคงมี “แบล็กลิสต์” ชื่อของเธออยู่และไม่มีใครลบออกหรือยกเลิก เจ้าหน้าที่ก็ผลักภาระมาให้เธอเองที่ต้องเดินทางไปติดต่อทุกหน่วยงานเพื่อขอให้แก้ปัญหาข้อมูลนี้ เมื่อจะเดินทางแต่ละครั้งต้องพกเอกสารเป็นร้อยหน้าเพื่อใช้ยืนยัน และต้องไปถึงสนามบินล่วงหน้า 5-6 ชั่วโมงเผื่อเวลาสำหรับการไปอธิบายตัวเองกับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง
“ล่าสุดที่ไปสนามบินสุวรรณภูมิ ติดเงื่อนไขตั้งแต่ตอนเช็คอิน ไม่สามารถเช็คอินกับสายการบินได้ ซึ่งเป็นประวัติเดิม อันนี้ก็ตั้งข้อสงสัยเหมือนกันว่าทำไมเอกชนถึงมีข้อมูลของเราได้ พอไปที่จุดตรวจหนังสือเดินทางมันก็ยังขึ้นหมายแดง ตำรวจบางที่ก็ไม่ได้มีวิจารณญาณเพียงพอ เขาก็ไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจ เราต้องคุยกับเขานานเกือบสองชั่วโมง จนสามารถเดินทางได้ เราเดินทางไปกับแม่ ไปกับครอบครัว เรารู้สึกมันเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพราะคุณไม่มีสิทธิมาจองจำเราแบบนี้ เรารู้เสมอว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมีราคาต้องจ่าย แต่เราจ่ายไปแล้ว ทำไมเราต้องจ่ายซ้ำอีก?” อั๋วเล่า
อาเล็ก ได้รอลงอาญาแต่ร้องได้แต่เพลงเกี่ยวกับนก
โชคดี ร่มพฤกษ์ หรือ “อาเล็ก” ซึ่งถูกดำเนินคดีฐานฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากการไปยืนเล่นกีต้าร์ร้องเพลงคนเดียวอยู่บนฟุตบาทที่หน้าแมคโดนัลด์ ข้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในกิจกรรมชื่อ “ยืนยันดันเพดาน พูดด้วยหัวใจ ด้วยเสียงเพลง” วันที่ 10 กรกฎาคม 2564 ซึ่งเป็นวันนัดหมายจัดกิจกรรม “คาร์ม็อบ” บริเวณนั้น เป็นการชุมนุมระหว่างที่มีโรคโควิด2019 ที่ผู้ชุมนุมต้องรักษาระยะห่างและดูแลตัวเอง
โชคดี กล่าวว่า เดิมที่เขาเคยเป็นนักร้องในค่าย RS แต่ตอนนี้หมดสัญญาแล้วและทำเพลงใต้ดินเอง ก่อนหน้านี้เป็นนักร้องอาชีพทำงานร่วมกับวงดนตรีเพื่อชีวิตในภาคใต้ แต่ตอนนี้เปลี่ยนเส้นทางมาทำเพลงการเมือง แต่งเพลงการเมือง และไปยืนร้องเพลงเกี่ยวกับการเมือง ทำให้ถูกดำเนินคดีมากกว่า 40 คดี ไปถึงศาลแล้ว 23 คดี ในช่วงสองปีที่ผ่านมาเดินทางไปขึ้นศาลอยู่ต่อเนื่อง ทำให้สูญเสียอาชีพนักร้องในวงการไปแล้วเพราะเกรงใจคนอื่นที่อาจได้รับผลกระทบ แต่ก็ปลื้มใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ในนามกลุ่มราษฎรยุคใหม่

เมื่อถูกถามว่า วันเกิดเหตุเกิดอะไรขึ้นบ้าง โชคดีบอกว่า แทบจำไม่ได้แล้ว เพราะมีคดีเกิดขึ้นเยอะมาก และมีการชุมนุมเยอะมาก เมื่อมีการชุมนุมก็ไปทุกครั้ง ก็จะไปเพื่อแสดงตัวตนให้เห็นว่า เราเป็นนักร้องเพลงเพื่อราษฎร
ก่อนหน้านี้โชคดี ร้องเพลงชื่อ “โชคดีที่มีคนไทย” ซึ่งเขาร้องเพลงนี้ร่วมกับผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่ง เป็นเหตุให้มีอย่างน้อยสามคนที่ร้องเพลงถูกดำเนินคดีมาตรา 112 รวมถึงตัวเขาด้วย ซึ่งโชคดียืนยันว่า วันนั้นเขาไม่ได้ร้องเขาแค่ไปยืนประกอบฉากให้คนอื่นร้อง แต่ถูกกล่าวหาว่า ยังขยับปากตามไปด้วย คดีของเขาศาลยังมีผลลัพธ์ที่ดีเนื่องจากศาลพิพากษาให้รอลงอาญา ทำให้วันนี้เขายังได้อยู่นอกเรือนจำ ส่วนคดีฐานฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 19 มีนาคม โชคดีก็จะไปฟังคำพิพากษาโดยยังมีความหวังว่า คงไม่ถูกโทษจำคุกมั้งเพราะเราแค่ไปยืนร้องเพลง
“คนที่มาต่อสู้เนี่ยเขารู้อยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งเขาก็ต้องโดน ผมคาดการณ์มาแล้วว่าจะต้องโดนคดีสักวันหนึ่ง แต่ไม่คิดว่ามันจะเยอะขนาดนี้ ทำใจมาแล้วและพร้อมที่จะรับสารภาพ สองคดีที่ผมโดน112 ผมรู้ชะตากรรมครับ ทนายอานนท์เขาก็แนะนำให้จนได้รอลงอาญาสองปี แต่ระหว่างสองปีนี้คือทำอะไรไม่ได้ ร้องเพลงเกี่ยวกับนกได้ แต่ร้องเพลงที่เนื้อหาการเมืองเข้มข้นไม่ได้ อย่าพูดคำว่าสถาบันนะ” อาเล็กเล่า
“เสียงเพลงที่เราใช้กันอยู่นี้ไม่ใช่เพิ่งมาเกิดขึ้นในการปลอบประโลมใจให้นักต่อสู้ทางการเมือง สมัยจีนโบราณ สมัยอียิปต์ สมัยต่างๆ ทั่วโลกเขาก็ใช้บทกวีดนตรีศิลปะ บางครั้งเราถูกเหยียบย้ำจากผู้เห็นต่างทางการเมืองว่า มึงจะมาร้องเพลงบ้าบอคนฟังแค่สามสี่พันวิว จะไปสู้กับสามล้านวิวได้ยังไง ผมรู้ครับว่า เพลงการเมืองมันน่าเบื่อ มันฟังแล้วมันขมขื่น มันรันทด มันเศร้าใจ แต่ถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ” อาเล็กฝาก
ตี้ วรรณวลี ถ้าย้อนเวลาได้จะใส่ให้สุดเลย
วรรณวลี ธรรมสัตยา หรือ “ตี้” เดิมรู้จักกันในนาม “ตี้ พะเยา” จำเลยในคดีฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112 จากการปราศรัยบริเวณสกายวอล์ค ปทุมวัน วันที่ 24 มิถุนายน 2564 ในกิจกรรมชื่อ “ราษฎรยืนยันดันเพดาน” ซึ่งศาลอาญากรุงเทพใต้นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 24 มีนาคม 2568 วรรณวลี เป็นจำเลยในคดีมาตรา 112 รวมแล้วสี่คดี
วรรณวลี เล่าว่า ในปี 2564 เธอต้องเข้าเรือนจำเป็นระยะเวลา 11 วัน และเพิ่งได้รับการปล่อยตัวออกมาในเดือนพฤษภาคม จนมาในเดือนมิถุนายน ก็มีการจัดกิจกรรมในวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเธอต้องการจะบอกคนที่จับเธอไปขังว่า การคุมขังไม่ได้ทำให้หวาดกลัวหรือหมดกำลังใจ แต่ทำให้เข้มแข็งขึ้น เธอจึงอยากยืนหยัดให้เห็นว่าอุดมการณ์ของเธอยังอยู่ จึงเข้าร่วมการชุมนุมในวันนั้นและหลายครั้งหลังจากนั้นเท่าที่จะสามารถไปได้
“การที่คุณจับพวกเราไปคุมขังมันไม่ได้สร้างความหวาดกลัวอะไรให้พวกเราเลย เห็นไหม แม้คุณจะจับเราไปขังอุดมการณ์เราก็ยังอยู่ แม้คุณจะจับเราไปขังปัญหาที่เราพูดมาทั้งหมดก็ยังอยู่ ไม่ได้หมายความว่าพวกเราคือตัวปัญหา พวกเราคือกระบอกเสียงที่มาบอกปัญหาให้คุณไปแก้ แต่การที่คุณมาจับเราไปขังมันคือการตัดกระบอกเสียงนั้น เพื่อส่งเสียงออกมาว่า ฉันไม่แก้ ฉันไม่สน”
วรรณวลีเล่าถึงเนื้อหาของคดีที่ศาลกำลังจะพิพากษาว่า ประโยคที่พูดและไม่คิดว่าจะเป็นประโยคที่ต้องเข้าไปในสำนวนคดี คือ “ยิ่งยักษ์ตัวใหญ่แค่ไหน ยิ่งล้มดังแค่นั้น” ซึ่งเป็นอะไรที่คิดว่าไม่น่าโดน เมื่อวันที่ต้องไปขึ้นศาล ศาลก็ยังไม่กล้าอ่านประโยคนี้เต็มปากด้วยซ้ำ เหมือนมีธงปักไว้แล้วว่า เมื่อโดนคดีมาตรา 112 โอกาสได้รับความเป็นธรรมก็ค่อนข้างน้อย

จากประสบการณ์ในฐานะคนที่มีคดีมาตรา 112 ติดตัว วรรณวลีเล่าว่า เธอทำงานหลายอย่างเพื่อการเลี้ยงชีพไปพร้อมๆ กัน มีทั้งงานเอ็มซีพิธีกร และงานขับรถส่งอาหาร ซึ่งเมื่อมีคดีมาตรา 112 ติดตัวนายจ้างก็ไม่กล้าให้เธอเป็นคนออกหน้าทำไลฟ์สด และตอนที่เคยทำงานในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ก็ยังเคยมีเจ้าหน้าที่ตามมาเฝ้า ก่อให้เกิดความกลัวกับนายจ้าง ทำให้งานของเธอลดลง ตอนที่ออกจากเรือนจำใหม่ๆ ต้องใส่กำไลอิเล็กทรอนิกส์ (EM) ก็ทำให้เธอต้องใส่กางเกงขายาวเพื่อปกปิดไว้ เพราะเมื่อไปทำงานที่ไหนนายจ้างก็ไม่อยากจ้าง อยากเลือกจ้างคนที่ไม่มีกำไลมากกว่า
สำหรับคดีที่กำลังจะตัดสินในเดือนมีนาคม 2568 วรรณวลีมองว่า เธอมีโอกาสที่จะต้องเข้าเรือนจำเลยประมาณ 50% ส่วนความหวังที่จะไม่ต้องเข้าเรือนจำเลย คิดว่ามี แต่ริบหรี่มาก ซึ่งความหวังนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นจากประชาชน และวันนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้น
“ถ้าต้องเข้าไปกังวลไหม หนูก็ยืนยันว่าเหมือนไปเข้าค่าย หนูเคยอยากเป็นทหารและชอบการฝึกแบบนั้นอยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าเข้าไปก็ไม่เครียดอะไรมากมาย ตัวของหนูน่าจะอยู่ได้ น่าจะวิดพื้นและปราศรัยข้างในด้วยซ้ำ จับหนูเข้าเรือนจำไหน คนในเรือนจำนั้นคือมวลชนของหนู” ตี้เล่า
“ถ้าย้อนกลับไปได้ ก็จะบอกตัวเองว่า ไหนๆ ก็จะโดนอยู่แล้ว แค่ไม่กี่คำก็โดนแล้วก็น่าจะใส่ให้สุดไปเลย สิ่งเดียวที่อยากแก้ไขคืออยากจะใส่ข้อมูลให้มากกว่านี้ อยากจะกระจายให้มันมากกว่านี้ เพิ่มอรรถรส เพิ่มความเห็น เพิ่มความจริงให้มากกว่านี้”
เมื่อถามถึงสิ่งที่ยังห่วงกังวล หรือสิ่งที่อยากฝากไว้ วรรณวลีกล่าวว่า ไม่ค่อยถนัดบอกความอ่อนแอให้ใครเห็น เพียงอยากเล่าว่า หลังๆ เธอเริ่มเป็นเสาหลักของครอบครัว เพราะเป็นคนทำงานส่งเงินให้ที่บ้านซึ่งมีน้องชาย มีแม่ที่ลงทุนแล้วเจ๊งไปในช่วงโควิดอาจต้องทำงานวันนึงได้สองร้อยบาท มีน้าชายสองคนที่ตอนนี้ป่วย ต้องเข้าห้องไอซียูอยู่ตลอด แล้วก็ยาย ซึ่งเป็นคนที่เป็นห่วงมากที่สุดในชีวิต เพราะไม่อยากให้ยายต้องไปทำงาน ต้องไปเก็บผักข้างบ้าน ไปฆ่าไก่ด้วยมือของตัวเองอีกแล้ว แต่ถ้าหากเธอต้องเข้าเรือนจำแล้วยายต้องเดินทางมาเยี่ยม ก็ฝากให้คนที่เจอยายหน้าเรือนจำช่วยดูแลยายด้วย เพราะกลัวว่ายายที่มีเลือดนักสู้เหมือนกับเธอจะไปทะเลาะกับผู้คุมเรือนจำอีก