10 เรื่องเด็ดในรัฐธรรมนูญไทย ที่ครั้งหนึ่งพวกเราทุกคน “เคยมี”

ผ่านมาแล้วกว่า 90 ปีของการเมืองไทยภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญถือเป็นกฎหมายสูงสุดทำหน้าที่จัดสรรอำนาจของประชาชน อำนาจของรัฐ และการเข้าสู่ตำแหน่งต่างๆ เนื้อหาของรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่กำหนดบทบาทตัวละครในสนามการเมืองอย่างรัฐสภา การปกครองส่วนท้องถิ่น ศาล หรือองค์กรอิสระ และยังรวมไปถึงสิทธิ สวัสดิการและกำหนดทิศทางคุณภาพชีวิตของพวกเราทุกคนด้วย 

10 เรื่องเด็ดในรัฐธรรมนูญไทย ที่ครั้งหนึ่งพวกเราทุกคน “เคยมี”

ไทยมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 ฉบับ แต่ละฉบับก็เขียนเพื่อรองรับหรือแก้ปัญหาที่ผู้ร่างในยุคนั้นๆ ให้ความสำคัญ รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจึงกลายเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ว่า ผู้มีอำนาจในแต่ละช่วงเวลาขบคิดเรื่องอะไรกันบ้าง และเปิดให้ประชาชนมีสิทธิมีอำนาจได้แค่ไหน หลักการหลายอย่างเคยเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญให้ชัดเจนมาก่อน แต่พอมาถึงรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 กลับ “หาย” คนยุคใหม่อาจไม่อยากเชื่อว่า เรา “เคยมี” หลักการเหล่านี้อยู่ด้วย ลองมาดูตัวอย่างกัน

  1. รับประกันค่าแรงที่เป็นธรรม

รัฐธรรมนูญ 2540 เคยระบุเรื่องของค่าแรงเอาไว้อย่างชัดเจนผ่านมาตรา 86 ว่า รัฐต้องจัดระบบแรงงานสัมพันธ์ การประกันสังคม รวมทั้งค่าตอบแทนแรงงานให้เป็นธรรม ต่อมาในรัฐธรรมนูญ 2550 เรื่องของค่าแรงก็มีการเขียนเอาไว้ด้วยเช่นเดียวกันใน มาตรา 84 ว่า รัฐต้องจัดระบบแรงงานสัมพันธ์และระบบไตรภาคีที่ผู้ทำงานมีสิทธิเลือกผู้แทนของตน จัดระบบประกันสังคม รวมทั้งคุ้มครองให้ผู้ทำงานที่มีคุณค่าอย่างเดียวกันได้รับค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์ และสวัสดิการที่เป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ

แต่ว่าพอมารัฐธรรรมนูญฉบับปัจจุบันนั้นคำว่า “ค่าแรงเป็นธรรม” ได้ถูกนำออกไปและแทนที่ด้วย “เหมาะสมแก่การดำรงชีพ ” แทน ทำให้ต่อมาก็เกิดข้อครหาจากนักวิชาการและภาคประชาสังคมว่า อาจสุ่มเสี่ยงต่อการทำให้เกิดการระบบการจ่ายค่าแรงแบบใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นธรรมกับคนทำงานที่ทำงานในลักษณะเดียวกัน แต่เพียงให้คนทำงานดำรงชีพได้บ้างตามฐานะและพื้นที่นั้นๆ ก็เพียงพอที่จะไม่ผิดจากรัฐธรรมนูญ

  1. สวัสดิการสาธารณสุข “เสมอกัน”

ความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การดูแลเรื่องสาธารณสุขจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่รัฐต้องทำการดูแลและอำนวนความสะดวกเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพ รัฐธรรมนูญในปี 2540 และ 2550 ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่าประชาชนชาวไทยทุกคนมี “สิทธิเสมอกัน” ที่จะได้รับการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพและได้รับมาตรฐาน

กลับกันในฉบับปี 2560 ถ้อยคำเหล่านี้กลับหายไป ทำให้มีข้อกังวลว่ารัฐธรรมนูญอาจเขียนเปิดทางให้ “ล้มบัตรทอง” ออกไปจากระบบประกันสุขภาพ ทำให้ปัจจุบันคนไทยไม่มีหลักประกันที่จะเข้าถึงระบบสาธารณสุขแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายอย่างเท่าเทียมกัน และสิทธิการได้รับบริการสาธารณสุขเป็นของผู้ที่พิสูจน์ได้ว่า เป็น “คนยากไร้” เท่านั้น 

  1. การศึกษาฟรีถ้วนหน้า จนจบม.6

การศึกษาถือว่าเป็นหัวใจสำคัญอย่างหนึ่งในการพัฒนาศักยภาพของผู้คนในประเทศ รัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 เคยให้ความสำคัญกับการจัดการศึกษาฟรีให้ประชาชนโดยระบุเอาไว้ว่า บุคคลมีสิทธิได้รับการศึกษา “เสมอกัน” โดยรัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย รัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับนี้มีรายละเอียดแตกต่างกันอยู่บ้างตรงที่กรอบระยะเวลาของการศึกษา  ฉบับปี 2540 คนไทยเรียนฟรีได้ 12 ปี ตั้งแต่ ป.1 – ม.6 รัฐอาจสนับสนุนมากกว่านี้ได้แต่ต้องไม่ต่ำกว่านี้ลงไปอีกแล้ว ส่วนรัฐธรรมนูญ 2550 ไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าภายใน 12 ปีเริ่มต้นจากจุดไหน

ตัดภาพมารัฐธรรมนูญ 2560 “สิทธิ” ของประชาชนถูกแปลงโฉมใหม่เป็น “หน้าที่ของรัฐ” และกำหนดให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ตั้งแต่ “ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับ” อย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ซึ่งผู้ร่างก็เคยอธิบายไว้ว่า การเขียนแบบนี้เพื่อคุ้มครองเด็กเล็กให้ได้รับการศึกษาฟรีตั้งแต่ก่อนชั้นประถมศึกษา แต่ไม่ได้คุ้มครองให้ประชาชนมีสิทธิเรียนฟรีจนจบชั้นม.6

        4. สิทธิอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี

การมีส่วนร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 เขียนไว้ในมาตรา 43 ว่า บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิจัดการ บํารุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลาย ทางชีวภาพ โดยที่ไม่ได้เขียนรับรองสิทธิของประชาชนที่จะร่วมแสดงความคิดเห็นก่อนการสร้างโครงการต่างๆ ไม่ได้รับรองสิทธิที่จะดำรงชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เป็นอันตราย ไม่ได้รับรองการจัดตั้งองค์กรอิสระเพื่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่จะมาคอยตรวจสอบดูแลเพิ่มเติมจากหน่วยงานราชการที่มีอยู่ 

สิทธิทั้งหลายนี้ไม่ได้เป็นเรื่องเพ้อฝันแต่เคยมีเขียนอยู่ในรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 และกำลังอยู่ระหว่างพัฒนาในทางปฏิบัติให้เป็นจริง แต่เมื่อรัฐธรรมนูญถูกยกเลิกไปด้วยการรัฐประหาร รายละเอียดเหล่านี้ก็หายไปในยุคต่อมา

        5. สิทธิมีทนายความ

เมื่อเกิดการฟ้องร้องขึ้นศาล เส้นทางของกระบวนการยุติธรรมหลายขึ้นตอนในอดีตเคยได้รับความสะดวกจากรัฐในฐานะ “สิทธิ” ที่เราต้องได้รับ รัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 ระบุเอาไว้ว่าประชาชนมีสิทธิที่จะมีทนายความเมื่อตกเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลย โดยรัฐธรรมนูญ 2540 เขียนไว้ชัดในมาตรา 242 ว่า รัฐต้องให้ความช่วยเหลือโดยจัดหาทนายความให้ “โดยเร็ว” โดยไม่แบ่งแยกสถานะของผู้ที่มีสิทธิ

สำหรับรัฐธรรมนูญ 2560 ได้มีการปรับเปลี่ยนไป คือ ไม่เขียนให้การมีทนายความเป็นสิทธิของประชาชนทุกคนอีกต่อไป แต่เขียนให้เป็นหน้าที่ของรัฐจัดหาทนายความให้เฉพาะ “ผู้ยากไร้” ภายใต้เงื่อนไข “ที่จำเป็นและเหมาะสม ” เท่านั้น คนที่มีทรัพย์สินอยู่บ้างไม่อาจเรียกร้องให้รัฐจัดหาทนายความให้ได้ ซึ่งภาระค่าใช้จ่ายสำหรับการมีทนายความเป็นจำนวนที่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะบางคนอาจถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม

        6. สิทธิทางการเมือง

คำว่า สิทธิทางการเมือง (Political Rights) คือ สิทธิที่ประชาชนจะได้มีส่วนร่วมในการเข้าสู่อำนาจรัฐและออกแบบการใช้อำนาจรัฐ อาจรวมถึงสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง สิทธิในการแสดงความคิดเห็น สิทธิในการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย สิทธิในการจัดตั้งพรรคการเมือง ฯลฯ ซึ่งรัฐธรรมนูญ หลายๆ ฉบับรวมทั้งฉบับปี 2560 เขียนรับรองสิทธิในประเด็นต่างๆ แยกกันไปตามรายละเอียด และสร้างข้อจำกัด เช่น เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามาตรา 34 ถูกจำกัดได้ตามกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ สิทธิในการเลือกตั้งเป็นของบุคคลที่มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ 

อย่างไรก็ดีในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2534 นอกจากจะเขียนรับสิทธิในประเด็นต่างๆ แล้ว ยังเคยเขียนรับรอง “สิทธิทางการเมือง” ไว้แบบกว้างๆ โดยตรงในมาตรา 26 โดยระบุว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิทางการเมือง การใช้สิทธิทางการเมืองย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย” 

        7. ผู้พิพากษามีอิสระ ห้ามสั่งย้าย

รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 เขียนรับรองความเป็นอิสระของตุลาการในการตัดสินคดีไว้ค่อนข้างละเอียดในมาตรา 249 กำหนดว่า การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของผู้พิพากษาและตุลาการ ไม่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาตามลําดับชั้น การเรียกคืนสํานวนคดีหรือการโอนสํานวนคดีจะกระทํามิได้ การโยกย้ายผู้พิพากษาและตุลาการโดยไม่ได้รับความยินยอมจะกระทํามิได้ ซึ่งต่อมาในรัฐธรรมนูญปี 2550 ก็ยังคงหลักการห้ามสั่งย้ายไว้แต่เพิ่มข้อยกเว้นกรณีเหตุสุดวิสัยให้ยังโยกย้ายได้

ส่วนรัฐธรรมนูญ 2560 แม้ยังรับรองหลักความเป็นอิสระของผู้พิพากษาในการตัดสินคดีให้เป็นไปโดยรวดเร็ว เป็นธรรม และปราศจากอคติทั้งปวง ตามมาตรา 188 แต่ไม่ได้เขียนคุ้มครองไม่ให้เกิดการบังคับบัญชาโดยผู้พิพากษาที่ลำดับชั้นสูงกว่า ไม่ได้คุ้มครองการห้ามเรียกคืนสำนวนคดี และไม่ได้คุ้มครองห้ามโยกย้ายผู้พิพากษาโดยไม่ยินยอม

        8. นายกรัฐมนตรีต้องเป็น สส.

นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร ตามรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 ได้ระบุเอาไว้ชัดเจนว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ซึ่งอาจเป็นสส. ระบบแบ่งเขตหรือบัญชีรายชื่อก็ได้ แสดงให้เห็นนัยอีกมุมว่านายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งของประชาชน และมีความรับผิดชอบโดยตรงต่อประชาชนที่ลงคะแนนให้มา

รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ไม่ได้บอกว่า ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจำเป็นต้องมาจากสส. เท่ากับเป็นการเปิดทางให้คนนอกที่ไม่ได้เป็นสส.ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีได้ด้วย อาจเท่ากับว่านายกรัฐมนตรีจากรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ซึ่งนายกรัฐมนตรีภายใต้รัฐธรรมนูญนี้ ทั้งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา, เศรษฐา ทวีสิน และแพทองธาร ชินวัตร ต่างไม่ได้เป็นสส. ทำให้พวกเขาไม่ต้องเข้าประชุมกับสภาผู้แทนราษฎร ไม่ต้องร่วมลงมติทั้งการออกกฎหมายและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในขณะที่สภาผู้แทนราษฎรกำลังถกเถียงในเรื่องสำคัญ นายกรัฐมนตรีก็ไม่ต้องอยู่ร่วมรับผิดชอบด้วย

  1. วุฒิสภามาจากการเลือกตั้ง 100%

วุฒิสภา (สว.) หรือคำลำลองว่า “สภาสูง” มีหน้าที่ในการกลั่นกรองกฎหมายจากสภาผู้แทนราษฎร คัดเลือกคนเข้าตำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ สำหรับรัฐธรรมนูญ 2560 สว.ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง รุ่นแรงมาจากกระบวนการคัดเลือกของคณะรัฐประหาร 250 คน และรุ่นถัดจากนั้นใช้ระบบ “เลือกกันเอง” ของบรรดาผู้สมัครเข้ามาแทนโดยมีการแบ่งกลุ่มสาขาอาชีพเข้ามาเลือกกัน 3 สนามคือ ระดับอำเภอ ระดับจังหวัดและระดับประเทศ โดยผู้สมัครต้องเสียค่าธรรมเนียม 2500 บาท ซึ่งทดลองใช้ไปแล้วหนึ่งครั้งได้ผลเป็นกระบวนการจัดตั้งหาคะแนนครั้งใหญ่ของกลุ่มผู้มีอิทธิพล

แม้รัฐธรรมนูญส่วนใหญ่จะกำหนดให้วุฒิสภามาจากกระบวนการสรรหาที่มีความซับซ้อนแตกต่างกัน แต่ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2540 ที่มาของสว. มาจากการเลือกตั้งโดยตรงแบบแบ่งเขตจังหวัด 100% หากเกิดตำแหน่งว่างต้องมีการเลือกตั้งซ่อมกันใหม่ ต่อมาในรัฐธรรมนูญ 2550 ที่มาสว.เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนโดยให้มาจากการเลือกตั้ง 76 คน และสรรหาจากภาคส่วนต่างๆ เช่น วิชาการ เอกชน วิชาชีพ เป็นต้น จำนวน 74 คน หรือประมาณครึ่งต่อครึ่ง

  1. ประชาชนเสนอถอดถอนสส.-สว.ได้

ไม่นานเกินไปก่อนหน้านี้ ประชาชนสามารถรวบรวมรายชื่อเสนอเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ให้พ้นจากตำแหน่งได้ ไม่เพียงเท่านั้นยังสามารถถอดถอนบุคลากรในตำแหน่งสำคัญที่มีผลต่อความเป็นไปของบ้านเมืองได้รวมทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี กรรมการการเลือกตั้ง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการ อัยการ เป็นต้น

รัฐธรรมนูญ 2540 เป็นฉบับแรกที่มีหลักการนี้ โดยระบุไว้ว่าหากจะยื่นถอดถอนจะต้องมีประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 50,000 คน และรัฐธรรมนูญ 2550 จะต้องใช้การเข้าชื่อไม่น้อยกว่า 20,000 คน เมื่อรวบรวมรายชื่อได้ครบก็จะยื่นให้วุฒิสภาเป็นผู้พิจารณาข้อกล่าวหาและลงมติว่าจะถอดถอนตามที่ประชาชนเสนอมาหรือไม่ ส่วนรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ได้เอากระบวนการการถอดถอนนักการเมืองออก และสิทธิของประชาชนที่จะมีส่วนร่วมในการตรวจสอบนักการเมืองจึง “ถอยหลัง” กลับไปก่อนปี 2540

📍ร่วมรณรงค์

JOIN : ILAW CLUB

ช่องทางการติดตาม

FACEBOOK PAGE

บทความยอดนิยม

วิดีโอแนะนำ

Amnestypeople.com
Join iLaw club
Facebook Fanpage