เดือนมีนาคม 2568 ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีมาตรา 112 อย่างน้อยห้าคดี โดยเป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้นทั้งหมด จนถึงวันที่ 4 มีนาคม 2568 มีผู้ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 อย่างน้อย 278 คน ใน 311 คดี โดยมี 175 คดี ภาพรวมของคำพิพากษา บาส-มงคล ถิระโคตร ยังคงเป็นจำเลยที่มีโทษจำคุกสูงที่สุดในชุดคดีมาตรา 112 หลังการชุมนุม 2563 รวมโทษในทุกคดีของเขาอยู่ที่จำคุก 54 ปี 6 เดือน
รายละเอียดคดีมาตรา 112 ที่จะมีคำพิพากษาดังนี้

3 มีนาคม 2568 เวลา 9.00 น. ศาลจังหวัดธัญบุรีนัดฟ้าลิขิตหรือพรหมศร วีระธรรมจารี ฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.472/2568 กรณีชุมนุมเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยตัวนิว-สิริชัย นาถึง หน้า สภ.คลองหลวง เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2564 วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 พนักงานสอบสวน สภ.คลองหลวงนัดผู้ต้องหา 12 คนในจำนวนนี้มีพรหมศรรวมอยู่ด้วยมารายงานตัว โดยกล่าวหาว่า ละเมิดพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ, ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 136 และ 215 ส่วนผู้ถูกกล่าวหา 5 คนที่พ่นสเปรย์ถูกกล่าวหาร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358 โดยยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

จากนั้นในเดือนถัดมาจึงทยอยแจ้งข้อหาตามมาตรา 112 กับผู้ต้องหารวมอย่างน้อยเจ็ดคน เช่น เบนจา อะปัญและพรหมศร วันที่ 27 มกราคม 2568 ในนัดสอบคำให้การจำเลย พรหมศรถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจึงจำหน่ายคดีในส่วนของพรหมศร และให้อัยการฟ้องเป็นคดีใหม่ และนัดฟังคำพิพากษาในวันดังกล่าว
24 มีนาคม 2568 เวลา 9.00 น. ศาลจังหวัดกระบี่นัด ‘ดลพร’ ชาวจังหวัดพังงาฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.666/2567 กรณีคอมเมนต์ใต้โพสต์เรื่องซุ้มเฉลิมพระเกียรติในกลุ่ม “รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส-ตลาดหลวง” เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2566 คดีนี้มีทรงชัย เนียมหอม กลุ่มประชาภักดิ์พิทักษ์สภาบัน เป็นผู้กล่าวหาที่สภ.เมืองกระบี่ ต่อมาตำรวจออกหมายเรียกพยานให้ ‘ดลพร’ ไปให้ปากคำ แต่ปรากฏว่า วันดังกล่าวตำรวจกลับแจ้งข้อหาตามมาตรา 112 ทันทีหลังสอบถามเบื้องต้น ทำให้เขาไม่มีทนายความอยู่ร่วมกระบวนการ ตำรวจยื่นคำร้องขอฝากขังต่อศาลจังหวัดกระบี่ เขาได้รับความช่วยเหลือจากการประกันตัวจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนและกองทุนราษฎรประสงค์ และได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเรื่อยมา
ตามคำฟ้องระบุว่า จำเลยแสดงความคิดเห็นใต้โพสต์ภาพถ่ายซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ ที่ติดตั้งไว้บริเวณถนนอู่ทองใน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นการจาบจ้วง ล่วงเกิน ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายรัชกาลที่เก้าและสิบ และพระราชินีสุทิดา เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง โดยจำเลยมีเจตนาอาฆาตมาดร้าย และทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์
24 มีนาคม 2568 เวลา 9.00 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดตี้-วรรณวลี ธรรมสัตยา บิ๊ก-เกียรติชัย ตั้งภรณ์พรรณและเบนจา อะปัญ ฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.877/2565 กรณีชุมนุม #ม็อบ24มิถุนา64 #ราษฎรยืนยันดันเพดาน 89 ปี การอภิวัฒน์สยาม บริเวณสกายวอล์คปทุมวัน ตามคำฟ้องระบุว่า จำเลยทั้งสามกระทำการที่เข้าข่ายมาตรา 112 จากการปราศรัยกล่าวคือ ตี้ปราศรัยเกี่ยวทำนองว่า หากเป็นคนของรัชกาลที่สิบเมื่อทำผิดกฎหมายไม่ต้องรับโทษ อว่าพระองค์อยู่เหนือกฎหมาย สามารถปกป้องพรรคพวกและบริวารของตนได้ บิ๊กปราศรัยเกี่ยวกับการเลิกทาสของรัชกาลที่ห้า การโต้แย้งเรื่องรัชกาลที่เจ็ด เป็นกษัตริย์ประชาธิปไตย ประเด็นการยกย่องสถาบันกษัตริย์ให้สูงส่งเกินไปและข้อเสนอในการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เบนจาปราศรัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกษัตริย์กับการรัฐประหาร และการใช้เงินภาษีประชาชนในการจัดกิจกรรมวันพ่อแห่งชาติและวันเกิดของรัชกาลที่เก้า


25 มีนาคม 2568 เวลา 9.00 น. ศาลอาญานัดเพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ ฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.286/2564 กรณีปราศรัยในการชุมนุม MobFest #ม็อบ14พฤศจิกา2563 ตามคำฟ้องระบุพฤติการณ์ที่นำมาสู่การกล่าวหามาตรา 112 คือ การที่จำเลยปราศรัยให้กษัตริย์ธำรงตนภายใต้รัฐธรรมนูญ พร้อมขอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยนอกจากข้อหาตามมาตรา 112 แล้วเขายังถูกกล่าวหาตามมาตรา 116 ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯและใช้เครื่องเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต

ปี 2567 เพนกวินลี้ภัยทางการเมืองและศึกษาต่อต่างประเทศ ต่อมาวันที่ 5 มิถุนายน 2567 ศาลอาญาออกหมายจับเพนกวิน หลังจากนั้นศาลดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ต่อไปและวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ในนัดสืบพยานโจทก์ ทนายจำเลยไม่มาศาล จึงถือว่า ไม่ติดใจสืบพยานจำเลย นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 มีนาคม 2568
27 มีนาคม 2568 เวลา 9.30 น. ศาลจังหวัดเชียงใหม่นัดอานนท์ นำภา ฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.28/2566 กรณีปราศรัยในการชุมนุม “ปาร์ตี้ริมเขา เป่าเค้กวันเกิด พลเรือเอกก๊าบ ๆ” ที่ลานหอศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คดีนี้มีผู้ถูกกล่าวหาสองคนได้แก่อานนท์และเพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ แต่เนื่องจากเพนกวินอยู่ระหว่างลี้ภัยทางการเมืองและศึกษาต่อต่างประเทศ ทำให้เหลือจำเลยคนเดียวคือ อานนท์ พฤติการณ์แห่งคดีคือ การที่อานนท์ปราศรัยในประเด็นทรัพย์สินกษัตริย์ และประเด็นการถือหุ้นบริษัทไทยพาณิชย์ และปูนซีเมนต์ของรัชกาลที่สิบ รวมไปถึงการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจากในครอบครองของรัฐเป็นการครอบครองในนามของกษัตริย์รัชกาลที่สิบ