รู้จัก สิริพรรณ-ชาตรี สองแคนดิเดตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หลังกรรมการสรรหาเสนอชื่อส่ง สว. พิจารณา เม.ย. 68

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นอีกหนึ่งตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ 2560 ที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) จะต้องให้ความเห็นชอบ โดยจะต้องลงมติเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา มีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจำนวนสองคนพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากดำรงตำแหน่งครบวาระพิเศษเก้าปีตามบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญ 2560  แม้ว่ารัฐธรรมนูญ 2560 จะระบุวาระการดำรงตำแหน่งไว้เพียงเจ็ดปีเท่านั้น ตุลาการสองคนนั้น คือ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและปัญญา อุดชาชน 

สาเหตุที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสองคนนี้ มีวาระดำรงแหน่งเก้าปี เนื่องจาก บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 273 กำหนดให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้ (ก่อน 6 เมษายน 2560) ให้ยังคงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป และในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 บทเฉพาะกาล มาตรา 79 กำหนดให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญซึ่งดำรงตำแหน่งยังไม่ครบวาระตามรัฐธรรมนูญ 2550 และดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ (ก่อน 3 มีนาคม 2561) ยังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะครบวาระตามรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งกำหนดไว้ที่เก้าปี (มาตรา 208)

นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2558  และปัญญา อุดชาชน ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2558 ตุลาการทั้งสองคน จึงพ้นจากตำแหน่งภายในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 โดย นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ หมดวาระในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 และปัญญา อุดชาชน ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567

ส่งผลให้ต้องมีการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใหม่สองคน หลังการประกาศรับสมัครในวันที่ 11 – 25 พฤศจิกายน 2567 สำนักงานวุฒิสภาก็ได้ประกาศรายชื่อผู้สมัครทั้งหมด ดังต่อไปนี้

ผู้สมัครแทนที่ตำแหน่งของนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์ซึ่งดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี และยังมีผลงานทางวิชาการเป็นที่ประจักษ์ จำนวนสองคน ได้แก่

1.      ศาสตราจารย์ธงพล พรหมสาขา ณ สกลนคร อาจารย์ประจำภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยลัยศิลปากร

2.      ศาสตราจารย์สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ส่วนผู้สมัครในตำแหน่งของปัญญา อุดชาชน ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิที่รับหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชกรที่เทียบเท่า หรือตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองอัยการสูงสุดมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี จำนวนเก้าคนได้แก่

1.      ร้อยตำรวจโท อุทัย อาทิเวช อดีตรองอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการสูงสุด

2.      ธัญญา เนติธรรมกุล อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อดีตอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล

3.      ชาตรี อรรจนานันท์ อดีตอธิบดีกรมการกงสุล อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก

4.      สราวุธ ทรงศิวิไล อดีตอธิบดีกรมการขนส่งทางราง อดีตอธิบดีกรมทางหลวง

5.      สุรชัย ขันอาสา อดีตอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน จังหวัดจันทบุรี จังหวัดพิจิตร และจังหวัดปทุมธานี

6.      บุญเขตร์ พุ่มทิพย์ อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ผู้พิพากษาศาลฎีกา

7.      ประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

8.      วิรุฬห์ ฉันท์ธนนันท์ อดีตอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ

9.      เชาวนะ ไตรมาศ อดีตเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ

หลังมีการตรวจสอบคุณสมบัติและมีการนัดสัมภาษณ์พบว่าผู้สมัครทั้ง 11 คน มีจำนวนลดลงเนื่องจากการขาดคุณสมบัติ ได้แก่

  1. ร้อยตำรวจโท อุทัย อาทิเวช อดีตรองอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการสูงสุด เนื่องจากดำรงตำแหน่งรองอัยการสูงสุดไม่ถึงห้าปี
  2. บุญเขตร์ พุ่มทิพย์ อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ผู้พิพากษาศาลฎีกา เนื่องจากตำแหน่งดังกล่าวไม่ใช่ตำแหน่งอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่า
  3. ประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เนื่องจากดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่ถึงห้าปี
  4. วิรุฬห์ ฉันท์ธนนันท์ อดีตอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ  เนื่องจากตำแหน่งดังกล่าวไม่ใช่ตำแหน่งอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่า
  5. เชาวนะ ไตรมาศ อดีตเลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ”

โดยมีผู้สมัครหนึ่งคนที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามที่ถอนตัวก่อนที่จะมีการสัมภาษณ์คือ ธัญญา เนติธรรมกุล

โดยในตำแหน่งแทนนครินทร์ ยังมีผู้สมัครเพียงสองคนเท่าเดิม ได้แก่

  1. ศาสตร์ตราจารย์ธงพล พรหมสาขา ณ สกลนคร 
  2. และศาสตราจารย์สิริพรรณ นกสวน สวัสดี 

ส่วนในตำแหน่งแทนปัญญา อุดชาชน มีผู้ขาดคุณสมบัติห้าคนและสละสิทธิ์ไปหนึ่งคน จึงทำให้เหลือผู้สมัครเพียงสามคน ได้แก่

  1. ชาตรี อรรจนานันท์ 
  2. สราวุธ ทรงศิวิไล 
  3. และสุรชัย ขันอาสา

ซึ่งในวันที่ 10 มกราคม 2568 คณะกรรมการสรรหาได้มีการนัดสัมภาษณ์ผู้สมัครเท่าที่เหลืออยู่และได้มีการลงมติเลือกผู้สมัครเพื่อเสนอชื่อผู้ทีผ่านการสรรหาให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่อวุฒิสภา

กก. สรรหาลงมติ “สิริพรรณ” แลนสไลด์ – ทูตฯชาตรีต้องลงมติถึงสามรอบ

ในการลงมติของคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครจะต้องได้รับคะแนนสองในสามของจำนวนกรรมการ โดยกรรมการสรรหา ณ วันที่มีการลงคะแนนมีจำนวนแปดคน เท่ากับว่าจะต้องได้คะแนนอย่างน้อยหกคะแนนถึงจะได้รับการสรรหา โดยในตำแหน่งแทนที่นครินทร์ สิริพรรณ กวาดคะแนนท่วมท้นทั้งแปดเสียง จึงทำให้เป็นผู้ได้รับการสรรหา

ส่วนในผู้สมัครที่ต้องมาแทนที่ปัญญา ในการลงคะแนนรอบแรกยังไม่มีผู้ใดได้คะแนนถึงเกณฑ์สองในสาม โดยชาตรี อรรจนานันท์ ได้ 5 คะแนน สราวุธ ทรงศิวิไล 2 คะแนน และสุรชัย ขันอาสา ได้หนึ่งคะแนน และในการลงคะแนนเรอบที่สองก็ยังได้ผลการลงคะแนนเท่าเดิม แต่ในการลงคะแนนครั้งที่สามปรากฎว่ากรรมการสรรหาทั้งแปดคนก็ได้เทคะแนนท่วมท้วนให้ชาตรี อรรจนานันท์ทั้งหมดแปดคะแนน

โดยสรุปมีผู้สมัครสองคนที่ได้รับการสรรหาที่เสนอชื่อต่อไปยังที่ประชุมวุฒิสภาได้แก่ ศาสตราจารย์สิริพรรณ นกสวน สวัสดี แทนที่นครินทร์ และชาตรี อรรจนานันท์ แทนที่ปัญญา ต่อมาวุฒิสภาได้ตั้งกรรมาธิการสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรม เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 โดยกำหนดระยะเวลาดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 60 วันนั้นก่อนที่จะเสนอกลับมายังวุฒิสภาเพื่อลงมติให้ความเห็นชอบเป็นการต่อไป ซึ่ง สว. จะได้ลงมติว่าเห็นชอบกับแคนดิเดตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสองคนนี้หรือไม่เร็วสุดคือในช่วงต้นเดือนเมษายน 2568 

รู้จักสองผู้สมัคร แคนดิเดตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในปี 2568

สิริพรรณยันต้องให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน

สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อายุ 57 ปี 8 เดือน (ถึงวันที่สมัคร) จบการศึกษาในชั้นปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) ปริญญาโทจาก School of Art and Science จาก Johns Hopkins University ประเทศสหรัฐอเมริกา และปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัย Kyoto ประเทศญี่ปุ่น สิริพรรณดำรงตำแหน่งเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาปกครองในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งแต่ปี 2542 – 2567 และเคยเป็นอนุกรรมการศึกษาแนวทางในการทำประชามติเมื่อปี 2567

ในส่วนขั้นตอนการสัมภาษณ์ สิริพรรณ นกสวน สวัสดี กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ ซึ่งสรุปใจความได้ว่า ตนคิดว่าหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญนั้นสำคัญกว่าอำนาจ ซึ่งหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญจะประกอบไปด้วย การพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข รักษาความสง่างามและมาตรฐานของระบบการเมือง และสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณชนในการทำหน้าที่อย่างเป็นมืออาชีพ

ส่วนในประเด็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ สิริพรรณอธิบายว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่ในการตรวจสอบถ่วงดุลในระบบการเมืองของฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการ ซึ่งจะเป็นอำนาจในการยืนหยัดและยืนยันสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญควรตีความอย่างเคร่งครัดเพื่อให้เป็นมาตรฐานและให้สาธารณชนเข้าใจตรงกันในคำอธิบายของศาลรัฐธรรมนูญ

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญควรจะรวดเร็วและไม่เปิดโอกาสให้เกิดทางตันทางการเมือง เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นของประชาชนซึ่งเป็นการสืบสานกระบวนการยุติธรรมไทยที่วางหลักมาหลายร้อยปี ศาลรัฐธรรมนูญควรใช้อำนาจหน้าที่ในการวางหมุดหมายความสัมพันธ์ทางอำนาจในการตรวจสอบอย่างเข้มข้นและควรยืนหยัดในหลักการสิทธิมนุษยชน สิทธิพลเมืองซึ่งเป็นประเด็นที่ยังไม่เคยเห็นในประเทศไทย สิริพรรณยกตัวอย่างการตีความว่าการค้าบริการทางเพศผิดจริยธรรมในอินเดีย โดยฝ่ายผู้ค้าบริการทางเพศอ้างว่าเป็นการประกอบอาชีพที่ซื่อสัตย์สุจริตจึงทำให้มีการตัดสินในศาลรัฐธรรมนูญอินเดียให้แก้ไขประเด็นนี้ สะท้อนให้เห็นว่าการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญควรจะเป็นรัฐธรรมนูญที่ประชาชนใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะทำให้เข้าถึงชีวิตประชาชนได้มากขึ้น

คิดเห็นอย่างไรกับประเด็นความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์?

สิริพรรณอธิบายว่า ควรต้องพิจารณาจากการเคยถูกวินิจฉัยหรือพิพากษาจากกระบวนการยุติธรรมมาก่อนหน้านี้หรือไม่ ดังนั้นถ้าเป็นกรณีของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน คิดว่ามีความย้อนแยงพอสมควร คือ ศาลใช้คำว่าขาดความรอบคอบ แต่ว่าในที่สุดแล้วก็วินิจฉัยว่าขาดความสุจริตเป็นที่ประจักษ์ การตีความเรื่องคุณธรรมจริยธรรมควรจะต้องมีหลักการและมาตรฐานเดียวกันชัดเจน

สิริพรรณยืนยันทุกเพศเท่าเทียมกัน ไม่ต้องการความเห็นใจเพราะเป็นผู้หญิง

สิริพรรณตอบว่า ที่ผ่านมาในประเทศไทยเคยมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหญิงมาก่อนและทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม ในกรณีต่างประเทศ เช่น ในสหรัฐอเมริกา อย่างน้อยก็ทำให้ภาพลักษณ์ของการมีสมดุลทางเพศดีขึ้นในสายตาประชาคมโลก แต่โดยส่วนตัวมองว่าไม่ว่าจะเพศไหนก็ตามมีความเท่าเทียมกัน ไม่ต้องการใช้สิทธิพิเศษของความเป็นผู้หญิงในกรณีนี้เพื่อทำให้ได้ความเห็นใจเป็นพิเศษ ตนยังเชื่อว่าโดยธรรมชาติความเป็นหญิงและชายต่างกันอยู่แล้ว คิดว่าน่าจะเป็นส่วนผสมที่ดีถ้ามีผู้หญิงในพื้นที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมากขึ้น

สิริพรรณระบุตอนหนึ่งในใบสมัครว่า “ดิฉันขอยืนยันว่า จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต อิสระ เที่ยงธรรม ปราศจากความโอนเอียง อคติ และรับผิดชอบต่อสังคม อันจะช่วยพยุง ปกป้องกระบวนการยุติธรรม คุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของประชาชน”

ชาตรีสนับสนุนให้ประชาชนฟ้องร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้

ชาตรี อรรจนานันท์ อายุ 62 ปี (นับถึงวันที่สมัคร) จบการศึกษาชั้นปริญญาตรีจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโทสาขานิติศาสตร์จาก University of Hull สหราชอาณาจักร และประกาศนียบัตรกฎหมายการค้าระหว่างประเทศจาก University of Turku ฟินแลนด์ ชาตรีรับราชการกระทรวงการต่างประเทศตั้งแต่ปี ถึงปี 2536 – 2566 โดยในปี 2536 – 2538 เป็นนิติกรในกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย, ปี 2538 เป็นเจ้าหน้าที่การทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม, ปี 2540 – 2542 เป็นกงสุลในสถานกงสุลใหญ่ เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น, ปี 2542 – 2550 เป็นผู้อำนวยการกองกฎหมายของกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย, ปี 2555 – 2559 เป็นอัครราชทูต สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์, ปี 2559 – 2560 เป็นรองอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย, ปี 2560 – 2564 เป็นอธิบดีกรมการกงสุล ก่อนจะเกษียณอายุราชการในตำแหน่งสุดท้ายเป็นเอกอัครราชทูต ประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ 

ชาตรี กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ต่อคณะกรรมการสรรหาสรุปใจความได้ว่า กรอบแนวคิดของตนคือ “ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย นำพาประเทศโดยหลักนิติธรรม เพื่อความเป็นธรรมถ้วนหน้า พัฒนายกระดับองค์กรในเวทีสากล” ประเด็นที่ตนอยากเน้นย้ำให้ความสำคัญคือการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทย ถ้าเปรียบเทียบกับเยอรมนี มีคดีที่ประชาชนฟ้องร้องได้เยอะมาก หากเป็นไปได้ในส่วนของการเข้าถึงศาลรัฐธรรมนูญของประชาชนตนเห็นควรที่จะต้องปรับปรุงในส่วนนี้ และประเด็นที่ตนสนใจคือต้องให้ความสำคัญคือการขยายเครือข่ายการทำงานกับสมาคมศาลรัฐธรรมนูญเพื่อนำเอาวิธีปฏิบัติที่ดีมาปรับใช้กับประเทศไทยได้

จะใช้ประสบการณ์ ความรู้ ผลการศึกษาในอดีตมาพัฒนาหรือสนับสนุนศาลรัฐธรรมนูญในทิศทางใด?

ชาตรีระบุในคำถามนี้โดยแบ่งเป็นสองประเด็น ประเด็นแรกเมื่อตนเคยทำงานอยู่ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ เวลาพิจารณาคำพิพากษาของศาลโลก แนวทางการเขียนคำวินิจฉัยภาษาอังกฤษเรียกว่า “listening opinion” คือความเห็นเสียงข้างน้อยที่ไม่เห็นด้วยจะปรากฎในคำวินิจฉัยส่วนกลางด้วย ต่างจากประเทศไทยที่จะไปเขียนในภายหลัง ตนอยากให้ประเทศไทยเป็น เช่น เนเธอร์แลนด์ เหตุผลคือโลกเปลี่ยนไป ความคิดเสียงข้างน้อยอาจจะเป็นเสียงส่วนใหญ่ได้ในอนาคต เช่น ประเด็นเรื่องสมรสเท่าเทียม

ประเด็นที่สอง ตนเห็นว่าการเข้าถึงศาลรัฐธรรมนูญของประชาชนเป็นไปได้ยาก ด้วยข้อจำกัดต่างๆ ตนเห็นว่าจะต้องแก้ไข ในประเทศไทยถ้าประชาชนจะฟ้องต้องไปผ่านตัวกลางคือผู้ตรวจการแผ่นดิน หรือสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นกระบวนการที่ยุ่งยาก ดังนั้นต้องคิดกลไกที่ทำให้ประชาชนฟ้องคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ง่ายขึ้น เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงศาลรัฐธรรมนูญได้มากกว่าเดิม

ปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญและการใช้อำนาจของตุลากรศาลรัฐธรรมนูญ?

ชาตรี อธิบายว่า “ประชาธิปไตยใกล้ครบ 100 ปีแล้วซึ่งเรามีรัฐธรรมนูญมาหลายฉบับ แต่แก่นสำคัญที่ควรยึดถือคือโครงสร้างตามหมวด 1 ที่เป็นรัฐเดี่ยว เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย การแบ่งแยกอำนาจและการมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด หลักการเหล่านี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ประเด็นที่เพิ่มเข้ามาคือหลักการคุณค่าสากล เรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือหลักนิติธรรมที่เรานำเข้ามา ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับบริบทของสังคมไทยได้”

การฟ้องศาลรัฐธรรมนูญได้ง่าย อาจนำไปสู่การฟ้องเพื่อตบทรัพย์ ฟ้องเพื่อออกข่าวหรือไม่?

ชาตรี ตอบว่าลูกค้าผู้ใช้บริการศาลรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานรัฐซึ่งมีนิติกรของหน่วยงาน  แต่ประชาชนไม่มีนิติกรเข้ามาให้ความช่วยเหลือซึ่งต่างจากหน่วยงานของรัฐ ในส่วนนี้อาจจะพัฒนาช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงในส่วนนี้ได้ ส่วนประเด็นในคำถามเห็นว่าต้องมีการคัดกรอง ตนไม่อยากให้คดีไปรกที่ศาลหรือมาฟ้องคดีด้วยไม่สุจริต ระบบปัจจุบันคือการคัดกรองผ่านผู้ตรวจการแผ่นดิน

📍ร่วมรณรงค์

JOIN : ILAW CLUB

ช่องทางการติดตาม

FACEBOOK PAGE

บทความยอดนิยม

วิดีโอแนะนำ

Amnestypeople.com
Join iLaw club
Facebook Fanpage