ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ จัดตั้งขึ้นครั้งแรกด้วยรัฐธรรมนูญ 2540 เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายนิติบัญญัติ-ฝ่ายบริหาร ศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจตรวจสอบว่ากฎหมายซึ่งเป็นผลผลิตจากฝ่ายนิติบัญญัติ ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ มีอำนาจชี้ขาดคุณสมบัติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) รวมถึง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีอำนาจหน้าที่จัดการเลือกตั้ง ตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นของนักการเมืองทั้งระดับชาติอย่าง สส. – สว. และระดับท้องถิ่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีหน้าที่ตรวจสอบทุจริตนักการเมือง
แม้บทบาทการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญ-องค์กรอิสระ มีผลกระทบต่อการเมืองและประชาชน แต่รัฐธรรมนูญ 2560 ออกแบบกลไกให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและกรรมการองค์กรอิสระ มาจากการ “คัดเลือก-สรรหา” และมีผู้ตัดสินใจในขั้นสุดท้าย ว่าบุคคลนั้นสมควรได้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหรือกรรมการองค์กรอิสระหรือไม่ คือ วุฒิสภา ซึ่งประกอบด้วย สว. 200 คนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน แต่มาจากการเลือกกันเอง
เปิดสเปกศาลรัฐธรรมนูญ-กรรมการองค์กรอิสระ
ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและกรรมการในองค์กรอิสระ นอกจากจะต้องมีคุณสมบัติเฉพาะของแต่ละตำแหน่งแล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติทั่วไปและต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญของแต่ละองค์กรกำหนดไว้
โดยคุณสมบัติทั่วไปของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 201 และมาตรา 216 กำหนดไว้ ดังนี้
- มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
- สำหรับผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการองค์กรอิสระ ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 45 ปีแต่ไม่ถึง 70 ปี ส่วนตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แตกต่างออกไป ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 45 ปี แต่ไม่ถึง 68 ปี ในวันที่ได้รับการคัดเลือกหรือสมัครเข้ารับการสรรหา
- สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
- มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
- มีสุขภาพที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และกรรมการในองค์กรอิสระ ต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังนี้
- เป็นหรือเคยเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระใด
- ติดยาเสพติดให้โทษ
- เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต
- เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ
- เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช
- อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่
- วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
- อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
- ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล
- เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ
- เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
- เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญาความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนักกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน
- เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง
- อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
- เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย
- เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่าเป็นผู้มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
- เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
- เป็นหรือเคยเป็นตำแหน่งเหล่านี้ ในระยะ 10 ก่อนเข้ารับการคัดเลือกหรือสรรหา
- สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)
- สมาชิกวุฒิสภา (สว.)
- ข้าราชการการเมืองสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
- สมาชิกของพรรคการเมือง
- ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นของพรรคการเมือง
- เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ
- เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือกรรมการหรือที่ปรึกษาของหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ
- เป็นผู้ดำรงตำแหน่งใดในห้างหุ้นส่วนบริษัท หรือองค์กรที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้างของบุคคลใด
- เป็นผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ
- มีพฤติการณ์อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
สำหรับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามเฉพาะอีกหนึ่งประการ คือ ต้องไม่เป็นผู้ที่มีประวัติการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างชัดแจ้ง
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมาหลายทาง เกินครึ่งสายผู้พิพากษา-ตุลาการ

รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 200 กำหนดให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีทั้งหมดเก้าคน มีวาระการดำรงตำแหน่งเก้าปี โดยตุลาการทั้งเก้าคน มีคุณสมบัติเฉพาะตามประสบการณ์ทำงานแตกต่างกัน แบ่งออกได้เป็นสี่กลุ่ม ดังนี้
1) ผู้พิพากษาในศาลฎีกา โดยต้องเคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกามาไม่น้อยกว่าสามปี จำนวนสามคน โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกลุ่มนี้จะมาจากการคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
โดยผู้พิพากษาในศาลฎีกา ที่จะเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้นั้น ผู้ที่เป็นประธาน-รองประธานศาลฎีกา ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ผู้พิพากษาศาลฎีกา และยังหมายความรวมถึง ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา ซึ่งเป็นผู้พิพากษาที่จะเกษียณอายุราชการแล้ว และประสงค์ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสต่อ โดยผู้ที่จะเป็นผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกาได้ ต้องเคยดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกา ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา รองประธานศาลฎีกา ประธานศาลฎีกา
สำหรับผู้ที่จะเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาได้นั้น จะต้องเลื่อนขึ้นมาจากผู้ที่ดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค โดยการเลื่อนตำแหน่งของผู้พิพากษา จะมีคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) เป็นผู้พิจารณา
2) ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าตุลาการศาลปกครองสูงสุดมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี จำนวนสองคน โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกลุ่มนี้ จะได้รับการคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุด
ผู้ที่จะเป็นตุลาการศาลปกครองสูงสุดได้นั้น มาจาก 1) ตุลาการศาลปกครองชั้นต้นที่เคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าตุลาการหัวหน้าคณะ เลื่อนขึ้นขึ้นมา โดย คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง (ก.ศป.) จะพิจารณาจากหลักอาวุโส ความรู้ความสามารถ ความรับผิดชอบ ความเหมาะสม ประวัติ และผลงานการปฏิบัติราชการ 2) ก.ศป. พิจารณาคัดเลือกจากผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ หรือในการบริหารราชการแผ่นดิน และมีคุณสมบัติอื่นๆ ได้แก่
- เป็นหรือเคยเป็นกรรมการร่างกฎหมาย กรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ หรือกรรมการกฤษฎีกา
- รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองชั้นต้น
- รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกาหรือเทียบเท่าหรือตุลาการพระธรรมนูญศาลทหารสูงสุด
- รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอัยการพิเศษประจำเขตหรือเทียบเท่า
- รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือเทียบเท่าหรือตำแหน่งอื่นในหน่วยงานของรัฐที่เทียบเท่าตามที่ ก.ศป. ประกาศกำหนด
- เป็นหรือเคยเป็นผู้สอนวิชาในสาขานิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ หรือวิชาที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินในสถาบันอุดมศึกษา และดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์หรือศาสตราจารย์พิเศษ
- เป็นหรือเคยเป็นผู้ประกอบวิชาชีพทนายความไม่น้อยกว่า 20 ปี และมีประสบการณ์ในคดีปกครอง
ทั้งนี้ ผู้ที่จะเป็นตุลาการศาลปกครองสูงสุดได้ ไม่ว่าจะจากผู้ที่เป็นตุลาการศาลปกครองชั้นต้นเลื่อนขั้นขึ้นมา หรือจะเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ ก.ศป. แต่งตั้ง จะต้องได้รับ “ความเห็นชอบ” จากวุฒิสภาก่อน จึงจะสามารถดำรงตำแหน่งตุลาการศาลปกครองสูงสุดได้ (พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 15 วรรคสาม)
3) ผู้ทรงคุณวุฒิทางวิชาการ ด้านนิติศาสตร์หนึ่งคน และด้านรัฐศาสตร์หนึ่งคน โดยต้องดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยไม่น้อยกว่าห้าปี และมีผลงานเชิงวิชาการเป็นที่ประจักษ์
4) ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งสรรหาจากผู้รับหรือเคยรับราชการ ในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าหรือตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองอัยการสูงสุดแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี จำนวนสองคน
ทั้งนี้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจาก “ผู้ทรงคุณวุฒิ” ทั้งทางวิชาการหรือสายราชการ จะมาจากการสรรหาของคณะกรรมการสรรหา และส่งให้วุฒิสภาให้ความเห็นชอบ
กรรมการองค์กรอิสระ เน้นเชี่ยวชาญ-มีประสบการณ์ในสายงานของแต่ละองค์กร
1. คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จำนวนเจ็ดคน ประกอบไปด้วย
- ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาการต่างๆ ที่จะยังประโยชน์แก่การบริหารและจัดการ การเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการสรรหา จำนวนห้าคน
- ผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านกฎหมาย ที่ได้รับการคัดเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา จำนวนสองคน
2.ผู้ตรวจการแผ่นดิน มาจากมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน จำนวนสามคน
3. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มาจากผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านกฎหมาย บัญชี เศรษฐศาสตร์ การบริหารราชการแผ่นดิน หรือการอื่นใดอันเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริต จำนวนเก้าคน
4.คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) มาจากผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์เกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดิน กฎหมาย การบัญชี การตรวจสอบภายใน การเงินการคลัง และด้านอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการตรวจเงินแผ่นดิน จำนวนเจ็ดคน
5. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) มาจากผู้มีความรู้และประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เป็นกลางทางการเมือง จำนวนเจ็ดคน
รธน. 60 วางระบบ ศาลรธน. – องค์กรอิสระ ตั้งคนมา “เวียนกัน” เป็นกรรมการสรรหา ยกเว้น กสม. มีกรรมการสรรหาแยกเฉพาะ

นอกจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ สายผู้พิพากษาในศาลฎีกา ที่ได้รับคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา และสายตุลาการศาลปกครอง ที่ได้รับคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด และ กกต. สายผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่มาจากคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและกรรมการในองค์กรอิสระที่เหลือยกเว้น กสม. จะต้องผ่านการ “สรรหา” โดยคณะกรรมการสรรหา ซึ่งประกอบด้วยประมุขฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการ และบุคคลที่ศาลรัฐธรรมนูญหรืองค์กรอิสระแต่ละองค์กร แต่งตั้ง “เวียนกัน” มาเป็นกรรมการสรรหา
รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 203 และมาตรา 217 กำหนดให้คณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งขององค์กรอิสระแต่ละองค์กร ประกอบด้วย
- ประธานศาลฎีกา เป็นประธานกรรมการ
- ประธานสภาผู้แทนราษฎร
- ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
- ประธานศาลปกครองสูงสุด
- บุคคลซึ่งถูกแต่งตั้งโดยศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระที่มิใช่องค์กรอิสระที่ต้องมีการสรรหาองค์กรละหนึ่งคน ได้แก่
- บุคคลที่ กกต. แต่งตั้งหนึ่งคน
- บุคคลที่ผู้ตรวจการแผ่นดินแต่งตั้งหนึ่งคน
- บุคคลที่ ป.ป.ช. แต่งตั้งหนึ่งคน
- บุคคลที่ กสม. แต่งตั้งหนึ่งคน
- บุคคลที่ คตง. แต่งตั้งหนึ่งคน
- บุคคลที่ศาลรัฐธรรมนูญแต่งตั้งหนึ่งคน
หากสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรใด ก็จะไม่มีตัวแทนองค์กรนั้นมาเป็นกรรมการสรรหา เช่น คณะกรรมการสรรหา กกต. จะประกอบไปด้วยตัวแทนจากองค์กรอิสระทุกองค์กร ยกเว้น ตัวแทนจาก กกต., คณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก็จะประกอบด้วยตัวแทนจากองค์กรอิสระทุกองค์กร ยกเว้นตัวแทนจากศาลรัฐธรรมนูญ หรือ คณะกรรมการสรรหา ป.ป.ช. ก็จะประกอบด้วยตัวแทนจากองค์กรอิสระทุกองค์กร ยกเว้นตัวแทนจาก ป.ป.ช. เป็นต้น
กรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้าน หรือกรรมการที่เป็นตัวแทนจากศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระมีไม่ครบ คณะกรรมการสรรหาจะประกอบด้วยกรรมการสรรหาเท่าที่มีอยู่
สำหรับคณะกรรมการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่ง กสม. จะไม่ได้มีตัวแทนจากศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระเวียนกันมานั่งตำแหน่งกรรมการ แต่จะประกอบไปด้วยตัวแทนจากองค์กรต่างๆ แทน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 มาตรา 11 กำหนดให้คณะกรรมการสรรหา กสม. ประกอบด้วย
- ประธานศาลฎีกา ประธานกรรมการ
- ประธานสภาผู้แทนราษฎร
- ผู้นำฝ่ายค้าน
- ประธานศาลปกครอง
- ผู้แทนองค์กรเอกชนด้านสิทธิมนุษยชน องค์กรละหนึ่งคน เลือกกันเองให้เหลือสามคน
- ผู้แทนสภาทนายความหนึ่งคน
- ผู้แทนสภาวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุขเลือกกันเองให้เหลือหนึ่งคน
- ผู้แทนสภาวิชาชีพสื่อมวลชนเลือกกันเองให้เหลือหนึ่งคน
- อาจารย์ประจำหรือผู้เคยเป็นอาจารย์ประจำในสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งสอนหรือทำงานวิจัยหรือทำงานด้านสิทธิมนุษยชนมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 10 ปีหนึ่งคน โดยผู้ที่จะมาเป็นกรรมการในตำแหน่งนี้ได้ จะต้องได้รับเลือกจากกรรมการตำแหน่งอื่นที่เหลือด้วยคะแนนเสียงสองในสาม
ด่านแรก ผ่านกรรมการสรรหา ต้องได้เสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3
หลักเกณฑ์กระบวนการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและกรรมการองค์กรอิสระ ถูกกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญของแต่ละองค์กร ได้แก่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2561 มีขั้นตอนโดยสรุป ดังนี้
ขั้นตอนแรก : เปิดรับสมัคร
เมื่อมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหรือกรรมการองค์กรอิสระที่จะพ้นตำแหน่ง สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ซึ่งเป็นองค์กรที่รับผิดชอบงานธุรการกระบวนการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ก็จะเปิดรับสมัครผู้ที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามในตำแหน่งต่างๆ หลังจากนั้นทางสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาจะเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติ ลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ประวัติส่วนตัว และพฤติกรรมของผู้สมัคร แล้วรายงานผลการตรวจสอบดังกล่าว พร้อมทั้งบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ใบสมัคร เอกสารและหลักฐานประกอบการสมัครอื่นๆ ต่อคณะกรรมการสรรหา
กรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการวินิจฉัยคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร จะเป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการสรรหาในการวินิจฉัย และถือว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นที่สุด (รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 203 วรรคห้า และมาตรา 217 วรรคสอง)
ขั้นตอนที่สอง : สัมภาษณ์
กรณีที่ได้ผู้สมัครที่มีคุณสมบัติ ไม่มีลักษณะต้องห้ามแล้ว คณะกรรมการสรรหาจะต้องปรึกษาหารือเพื่อให้ได้ผู้ที่มีความเหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่ตำแหน่งนั้นๆ โดยกฎหมายเปิดทางให้คณะกรรมการสรรหาสามารถใช้วิธีการสัมภาษณ์หรือให้ผู้สมัครแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระนั้นๆ เพื่อประกอบการพิจารณาได้ โดยหลักเกณฑ์นี้ก็นำไปใช้กับกระบวนการคัดเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มีที่มาจากผู้พิพากษาศาลฎีกาและตุลาการศาลปกครองสูงสุดเช่นกัน
ขั้นตอนที่สาม : ลงคะแนน
หลังจากสัมภาษณ์แล้วเสร็จ คณะกรรมการสรรหา จะต้อง “ลงคะแนน” เลือกผู้สมัคร วิธีการลงคะแนนเลือกแบบเปิดเผย และให้กรรมการสรรหา แต่ละคนบันทึกเหตุผลในการเลือกไว้ด้วย โดยกรรมการสรรหา แต่ละคนสามารถลงคะแนนเลือกได้ไม่เกินจำนวนที่ต้องสรรหา ผู้สมัครต้องได้รับคะแนนเสียงสองในสามของจำนวนคณะกรรมการสรรหาทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ถึงจะผ่านด่านกรรมการสรรหาเข้าสู่กระบวนการให้ความเห็นชอบโดยวุฒิสภาได้
สำหรับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มาจากการคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาหรือที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดต้องได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจํานวนทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของผู้พิพากษาในศาลฎีกาหรือตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ส่วน กกต. สายผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่มาจากการคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ก็ต้องได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของผู้พิพากษาในศาลฎีกาเช่นกัน
กรณีที่ไม่มีบุคคลใดได้รับคะแนนเสียง หรือมีแต่ยังไม่ครบจำนวนที่จะต้องสรรหา กรรมการสรรหาจะต้องลงคะแนนใหม่สำหรับผู้ได้รับคะแนนไม่ถึงสองในสาม หรือไม่เกินกึ่งหนึ่ง (กรณีคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาหรือศาลปกครองสูงสุด) ถ้ายังได้ไม่ครบตามจำนวน ให้มีการลงคะแนนอีกครั้งหนึ่ง หากการลงคะแนนครั้งหลังนี้ยังได้บุคคลไม่ครบตามจำนวนที่จะต้องสรรหาหรือคัดเลือก ให้ดำเนินการสรรหาใหม่สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่
ด่านสุดท้าย ส่งวุฒิสภาให้ความเห็นชอบ ต้องได้เสียง สว. ไม่น้อยกว่าครึ่ง
เมื่อคณะกรรมการสรรหา ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด สรรหาหรือคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และกรรมการองค์กรอิสระเรียบร้อยแล้ว ต้องส่งรายชื่อผู้เหมาะสมไปให้วุฒิสภา พิจารณาให้ความเห็นชอบ ผู้ได้รับการเสนอชื่อจะต้องผ่านขั้นตอน “การตรวจสอบประวัติ” ตามข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ.2562 ข้อ 105 ที่กำหนดไว้ว่า เมื่อ วุฒิสภาจะต้องพิจารณาบุคคลให้ดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญหรือตามกฎหมาย ให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญจำนวนไม่เกิน 15 คน (กมธ.สอบประวัติฯ) ทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อดังกล่าว รวมถึงรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานอันจำเป็นสำหรับตำแหน่งนั้น
กมธ.สอบประวัติฯ จะต้องดำเนินการตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายใน 60 วันนับแต่วันที่ตั้ง กมธ. หากไม่ทันสามารถขยายเพิ่มได้อีก 30 วัน ตามข้อ 108 กำหนดให้ กมธ.สอบประวัติฯ มีอำนาจในการเรียกเอกสารหลักฐานต่างๆ หรือเรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นได้ กระบวนการในกมธ.สอบประวัติฯ ให้กระทำเป็นการลับ ผู้อื่นผู้ใดจะเข้าร่วมต้องได้รับอนุญาตจาก กมธ. ก่อน
เมื่อ กมธ.สอบประวัติฯ ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วให้เสนอรายงานต่อประธานวุฒิสภา โดยรายงานดังกล่าวจะแยกจัดทำบางส่วนเป็นรายงานลับก็ได้ เมื่อประธานวุฒิสภาได้รับรายงานแล้วให้จัดส่งรายงานให้สมาชิกได้รับโดยไม่ต้องส่งส่วนที่เป็นความลับให้วุฒิสภาทราบ ส่วนในการนำเสนอรายงานของ กมธ.สอบประวัติฯ ต่อที่ประชุมวุฒิสภา ทั้งนี้ กมธ.สอบประวัติฯ สามารถร้องขอให้ประชุมลับได้ หากมีความจำเป็นต้องประชุมเป็นการลับ และอาจแจกเอกสารส่วนที่เป็นความลับให้วุฒิสภาได้พิจารณา แต่จะไม่สามารถนำเอกสารดังกล่าวออกจากห้องประชุมได้ และจะต้องส่งคืนต่อเลขาธิการวุฒิสภาเพื่อไปทำลายทิ้ง
ผู้ที่จะได้รับการเห็นชอบโดยวุฒิสภา จะต้องได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของ สว. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ดังนั้นหากมี สว. ครบจำนวน 200 คน ไม่มีผู้ที่ถูกศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นศาลรัฐธรรมนูญจำเป็นต้องได้รับเสียงเห็นชอบจาก สว. ตั้งแต่ 100 เสียงขึ้นไป
หาก สว. ไม่เห็นชอบผู้ใดไม่ว่าจะทั้งหมดหรือบางส่วน ต้องส่งรายชื่อนั้นกลับไปยังคณะกรรมการสรรหา ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา หรือที่ประชุมให้ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด พร้อมด้วยเหตุผลเพื่อให้มีการสรรหาหรือคัดเลือกใหม่อีกครั้งแล้วเสนอกลับมายังวุฒิสภาใหม่ โดยผู้ที่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาจะไม่สามารถเข้ารับการสรรหาใหม่ได้อีก
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการการเห็นชอบโดยวุฒิสภาแล้ว ให้ประธานวุฒิสภานำความกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระต่อไป